GAME REVIEW
จงเลือก สังเวย หรือ ช่วยเหลือ ท่ามกลางหนทางแห่งความสิ้นหวัง
Game Name : Soul Sacrifice , Action / RPG
Director : Teruhiro Shimokawa
Platforms : PSVITA Exclusive
Rating : R ( Lots of Violence , Blood , Gore , Frightened Screen )
GAME REVIEW
Soul Sacrifice ต้องขอบอกเลยว่ารีวิวนี้โคตรช้าครับ 555+ เพราะผมเพิ่งจะเล่นจบมาหมาดๆเลยนี้เอง (เก็บทั้ง Bad ทั้ง Good Ending) แต่ไม่ว่ายังไงตอนผมเล่น ผมก็ตั้งใจเอาไว้แล้วว่าต้องเขียนรีวิวให้ได้ เพราะ Soul Sacrifice (ต่อจากนี้ไปขอย่อเหลือ SS) เป็นเกมที่ผมชอบและรักมากๆ ในตอนนี้ จะว่าเป็นเกมอันดับหนึ่งของผมเลยก็ว่าได้ ต้องขอบอกเอาไว้ก่อนเลยว่า ตัวผมนั้นด้านความรู้ภาพยนตร์ กับ เกม ห่างกันราวฟ้ากับเหว (จริงๆด้านภาพยนตร์ผมก็รู้น้อยมากครับ แต่เยอะกว่าเกมเยอะ) คิดซะว่าผมเป็นผู้เล่นคนนึงที่ชอบ และ รักใน SS มากจนอยากเขียน รีวิวละกันครับผม ยังไงถ้าขาดหรือพลาด หรือ ข้อมูลผิดตรงไหนไปต้องขออภัยด้วยครับ
Soul Sacrifice เป็นเกมที่ผมรู้จักมาตั้งแต่ตอนประกาศว่าจะมีเกมนี้ลง PS Vita เป็น Exclusive (เครื่องอื่นอดนะจ๊ะ) ตอนแรกขอสารภาพเลย ผมแทบจะไม่สนใจเกมนี้เลย ทั้งๆที่หลายๆท่านสนใจ และ ตั้งตารอคอยกันมาก ไม่รู้ว่ามาจากสาเหตุที่ส่วนตัวเคยเล่น Monster Hunter มาแล้วรู้สึกไม่ชอบ ด้วยรึเปล่า แถมภาพมันออกแนวหดหู่ๆ รุนแรงๆชอบกลก็เลยไม่รู้สึกอยากเล่นซักเท่าไรนัก แต่หลังจากเกมออกมาได้ซักพัก ผมก็ด้วยความเห็นหลายท่านบอกว่าสนุก บอก ว่าดี ก็เลยลองซื้อมาเล่นดู ว่างั้น ปรากฏว่า พอซื้อมาแทนที่ผมจะไปเล่นเกมบน PS3 กลับไปติดหนึบติดหนับกับเกมนี้แทนซะงั้น
Soul Sacrifice นั้นจุดที่ผมชอบมากที่สุด และ เป็นสิ่งที่ผมอยากจะคาราวะ ทีมสร้างจริงๆ ถึงแม้ว่าอาจจะเป็นเพราะ เป็นแค่เครื่อง Hand Held ด้วยก็เลยทำให้สร้าง CG อลังการงานสร้าง แบบ PS3 หรือ XBOX360 ไม่ได้ ในการเล่าเรื่อง แต่ทีมงานกลับใช้ "หนังสือ คำพูด และ เสียง" ในการเล่าเรื่องแทน ซึ่งในเกมจะเล่าเรื่องราวในแบบเหมือนเราอ่านหนังสืออยู่นั้นเอง แต่เพียงมีเสียงพูดมาให้ด้วย ซึ่งขอสารภาพเลยว่าผมไม่ใช่คนที่ชอบอ่านหนังสือเท่าใดนัก นวนิยาย ยังไม่เคยอ่านจบซักเล่มเลยด้วยซ้ำไป แต่ไม่รู้ทำไมผมกลับโคตรชอบ วิธีการเล่าเรื่องของ SS อย่างมาก เหมือนมีคนมานั่งอ่านนิทานให้ฟังเลย ซึ่งถึงแม้จะเป็นเสียงอังกฤษ แต่ผมก็ว่าเสียงเขา เลือกคนมาได้เหมาะสมดี โอเคอยู่ ในบางจุดของเกม จะมีการเล่าเรื่องแบบ ที่ไม่ใช่แค่เพียงตัวหนังสือ แต่จะมีภาพเคลื่อนไหวเข้ามาด้วย ซึ่งยิ่งทวีคูณความสุดยอดของเรื่องเข้าไปอีก ภาพเคลื่อนไหวเหล่านี้ ทั้งๆที่ไม่มีความอลังการอะไรเลยแม้แต่น้อย ดูธรรมดา แต่กลับช่างทรงพลัง และ สร้างความน่าสนใจให้คนอ่าน หรือ ดูเป็นอย่างมาก หลายๆครั้งที่คุณไม่ได้ยินเสียงคนข้างๆ เพราะ คุณมัวแต่สนใจอยู่กับการเล่าเรื่องของตัวเกม ที่ช่างน่าสนใจ น่าติดตาม และ เข้ากับสถานการณ์ได้เป็นที่สุด นี้เป็นข้อพิสูจน์สำหรับผมเลยว่า เกมที่ดี ไม่จำเป็นเลยที่จะต้องมี CG ที่สวยงามอลังการงานสร้าง เนี้ยบ ตัวละครดูสมจริง เพียงแต่หากคุณรู้วิธีที่จะทำมันออกมาอย่างสร้างสรรค์ และ เหมาะสมกับสิ่งที่คุณอยากจะเสนอออกมาได้อย่างดีเยี่ยม แล้วล่ะก็ มันก็จะมีโอกาสที่จะเป็นเกมที่ดีอีกเกมได้ไม่ยากเลย
จุดต่อมาคือ เพลง หรือ Soundtrack ของเกม ต้องขอบอกว่า "สุดยอด และ อลังการ " เป็นที่สุดหลายๆครั้งที่ผมกดหน้าค้างไว้อยู่หน้าเมนูโดยไม่ทำอะไร เพียงแต่นั่งฟังเพลง อันไพเราะ ที่แสนจะหดหู่และสิ้นหวังไปพร้อมๆกัน ซึ่งปกติผมจะไม่ทำอะไรแบบนี้เลย แม้กระทั่งเพลง Soundtrack ในฉากในเกมต่างๆก็ช่างไพเราะ ซึ่งธีมหลักของเพลงใน SS ดูเหมือนจะเป็น ความหวัง ความสิ้นหวัง ความหดหู่ และ โศรกเศร้า เสียมากกว่า แต่ แต่ละเพลงนั้นมันช่างไพเราะเหลือเกิน ในหลายๆเพลงก็ดูยิ่งใหญ่อลังการ โดยที่ไม่จำเป็นต้องพึ่ง CG ใดๆ แค่เพียงคุณได้ฟังเพลงคุณก็รู้สึกถึงมันได้แล้ว เป็นเพียงไม่กี่เกมที่ผมยอมลงทุนซื้อ Soundtrack มาใน PSN Store ของ US ในราคา 10 เหรียญเต็มๆ โดยไม่ลังเล ไม่เสียใจเลยแม้แต่น้อย (แต่ต้องซื้อใน PSN บน PS3 นะครับ บน VITA มันไม่ขึ้น = = ) ต้องขอชมคุณ Yasunori Mitsuda
Wataru Hokoyama Composer ของเกมจริงๆ สุดยอดผลงานมากๆ
จุดต่อมาคือเนื้อเรื่อง บอกตามตรงว่าจริงๆโดยหลักผมเป็นพวกชอบเนื้อเรื่องอะไรออกแนวๆดาร์คๆ หน่อยอยู่แล้ว ก็เลยถูกใจผมเป็นพิเศษก็ว่าได้ เนื้อเรื่องของ SS นั้น ช่างน่าติดตาม น่าสนใจเหลือเกิน และยิ่งผนวกกับ การเล่าเรื่องที่สุดยอด น่าสนใจ น่าติดตามเข้าไปอีกแล้ว มันทำให้คุณ หรือ อย่างน้อยก็ผม ไม่เป็นอันทำอะไรกันเลยทีเดียว คุณจะรู้สึกอยากเล่นต่อไปอยู่ตลอดเวลา คุณอยากรู้ว่า มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ กับตัวละครเหล่านี้ ทำไมเขาถึงทำเช่นนั้น ทำไมมันถึงเกิดอย่างนั้นขึ้น และ ในหลายๆครั้งคุณช๊อคไปกับเนื้อเรื่อง และ เศร้าไปกับเนื้อเรื่องอย่างง่ายดาย ในหลายๆจุดในเนื้อเรื่อง ผมชอบความ Creative ของบทมากๆ การตีความใหม่ในหลายๆสิ่งหลายๆอย่าง ทั้งๆที่ในจุดๆนั้นมันก็เป็นการสร้างขึ้นมาใหม่อยู่แล้วแท้ๆ เหมือนเขากล้าที่จะสร้างอะไรซักสิ่งขึ้นมา แล้วต่อยอดสร้างสิ่งใหม่ๆขึ้นมาบนนั้นไปอีก เหมือนหอคอยที่เราไม่สามารถที่จะมองเห็นยอดมันได้เลย ซึ่งมันเป็นความกล้าอย่างมาก เพราะ ถ้าหากไอ้สิ่งที่เขาสร้างขึ้นมา มันดันไม่เวิรค์ ไม่สมเหตุสมผล และดู ปยอ แล้วล่ะก็ มันคงเฟลเอามากๆ
อีกจุดนึงที่ผมชอบก็คือ จะมีในหลายๆส่วนที่ตัวเกมสามารถให้คุณอ่านเรื่องราวได้ เช่น เรื่องราว ของมอนสเตอร์ หรือ ปีศาจที่เราเจอในด่านต่างๆ เช่น จะมีบอสตัวนึงที่ใส่หน้ากาก ถือขวาน ซึ่งในบางเกมคุณอาจจะไม่มีทางรู้เลยว่าทำไมมันถึงเป็นแบบนั้น ก็เป็นแค่บอสตัวนึงที่มีมาให้คุณตบก็เท่านั้นเอง แต่ใน SS มีอธิบายไว้ เช่น บอสใส่หน้ากาก เป็นเพราะ เมื่อก่อนนั้น เธอเคยถูกคนมองอย่างเหยียดหยามอย่างมาก จนเธอจะต้องใส่หน้ากากเพื่อหลบหน้าคนเหล่านั้น อะไรแบบนั้น ซึ่งมันน่าสนใจมากๆ ถ้าคุณอ่านประวัติพวกมอนสเตอร์เหล่านี้ โดยเฉพาะ พวกบอสทั้งหลาย คุณจะเล่นได้อย่างสนุกขึ้น และ อาจจะตัดสินใจลำบากขึ้นในการฆ่าพวกมัน รวมไปถึงหลายๆครั้งที่พอเราโจมตีพวกบอสเหล่านี้ดาเมจไปได้ซักระยะ พวกบอสจะพูด และ ร้องเหมือน กรีดร้องคำพูดออกมา ซึ่งถ้าคุณไม่ได้อ่านประวัติของตัวเหล่านั้นมาก่อน คุณอาจจะไม่เข้าใจว่า มันพูดถึงเรื่องอะไร ซึ่งในแต่ตัวละคร นั้นประวัตินั้นช่างหดหู่ เศร้า สิ้นหวังเสียเหลือเกิน แต่ในเรื่องราวเหล่านั้น กลับดูน่าสนใจ น่าอ่าน น่าติดตามอย่างมาก ทั้งๆที่ผมเคยบอกไว้แล้ว ว่าผมไม่ใช่คนที่จะชอบอ่านหนังสือเท่าใดนัก แต่ผมกลับเสียเวลาไปพอสมควร ในการมานั่งอ่านเหล่านี้ เพราะมันน่าสนใจเหลือเกิน เหมือนทีมงานจะพยายามสร้างสิ่งใหม่ๆ เล็กๆน้อยๆ อยู่ตลอดเวลา ซึ่งมันสุดยอดมาก ในส่วนของการเล่าเรื่องโดยใช้เสียง หลายๆครั้ง เสียงของคนเล่าเรื่องจะเหมือนมีเสียงของวิญญาณ หรือ เสียงคนพูดซ้อนติดมาด้วย ไม่ต้องตกใจนะครับ อันนั้นเขาจงใจ ซึ่งจุดนี้ผมกลับชอบมากๆ มันทำให้การเล่าเรื่องมันไม่ใช่แค่ มาถึงนั่งพูดเลย แต่มันเหมือนมีอะไรมากกว่านั้น และ น่าสนใจมากกว่า
มาถึงในส่วนของ Gameplay กันบ้าง จุดนี้หลายๆคนอาจจะพูดหรือคิดว่า SS ลอกมาจาก Monster Hunter จริงๆมันก็ไม่เชิงขนาดนั้น แต่ในจุดนี้ผมค่อนข้างจะเห็นด้วยกับความคิดของ ท่านนึงมากๆ ก็คือ คุณ Maximillian ที่เป็นเกมเมอร์ในยูทูปคนนึง (พี่แกบ้าพวกเกม Fighting มาก) ก็คือ เกมนั้นไม่มีคำว่าลอกกันหรอก เพราะ เกมที่เราเล่นๆกันอยู่ปัจจุบัน มันก็ต่อยอดมาจากเกมที่มีมาก่อนในอดีตนั้นแหละ (ยกเว้นลอกกันแบบทุกส่วนและไม่ทำอะไรเพิ่มเติม อันนั้นลอกจริง) มาพูดกันต่อ ในเกมนั้นจะมีสิ่งที่เรียกว่า " Offerings " หรือ เรียกง่ายๆก็สกิล หรือ เวท หรือ อาวุธ นั้นแหละ จะมีให้เราเลือกมาใช้ได้ 6 อย่างต่อเกม ซึ่งอาวุธ หรือ สกิลเหล่านี้ เราจะสามารถเปลี่ยนได้ตอนก่อนที่จะเข้าไปเล่นในฉากนั้นๆ ซึ่งอาวุธมีหลายรูปแบบอยู่พอตัว และแต่ละอาวุธจะมีธาตุต่างๆ ซึ่งถ้าหากเราเอาอาวุธที่ชนะธาตุไป โจมตีใส่มอนสเตอร์ หรือ บอสที่แพ้ธาตุ ก็จะสามารถทำดาเมจได้รุนแรงมากขึ้น เช่น เอาอาวุธขว้างธาตุสายฟ้า ไปโจมตี ใส่บอสธาตุน้ำแข็งอย่าง Jack Frost เราก็จะสามารถทำดาเมจได้รุนแรงมากขึ้น แต่จะต้องระวังด้วย เพราะ แต่ละอาวุธในหนึ่งฉากนั้น มีจำนวนการใช้จำกัด ซึ่งเราจะสามารถดูได้จากหน้าเปลี่ยนอาวุธ จะมีบอกเอาไว้ว่าใช้ได้กี่ครั้ง และ ถ้าหากในฉากเราใช้เกินค่าที่มันจะใช้ได้ จะทำให้อาวุธนั้นเกิดการแตกขึ้นมา แล้วจะใช้ไม่ได้อีกในฉากนั้นๆ และ เกมต่อๆไป โดยในจุดนี้เราสามารถ นำน้ำตาของ Librom หรือ หนังสือ มาซ่อมอาวุธให้กลับมาใช้ได้ (น้ำตาแค่เล่นไปซักด่านนึงออกมาก็ได้แล้วครับ แต่ต้องดูด้วยนะว่าใช้เยอะไหม แต่หลังๆเล่นไปเยอะๆ มันโคตรเหลือครับ ) แต่ถ้าอาวุธมันใกล้จะหมดแล้วมันจะขึ้นเป็นกระพริบสีแดงๆ เราสามารถไปหาสิ่งที่อยู่รอบๆฉากได้ เช่น ศพ ต้นไม้ หลุมฝังศพ เพื่อจะ Refill จำนวนการใช้ของเราในฉากนั้นๆได้
ซึ่งบอสด่านหลังๆค่อนข้างจะโหดมาก จนคุณจะต้องพยายามเอาธาตุที่ชนะไปสู้กับมัน บางตัวเพียงแค่โดดมาใส่คุณทีเดียวก็ครึ่งหลอดแล้ว ซึ่ง ในการสู้กับบอสนั้น เราสามารถกด ปุ่มลง เพือใช้โหมด Mind's Eye ได้ แล้วเราจะเห็นจุดที่ Mark สีแดงๆเอาไว้ ซึ่งในจุดๆนั้นถ้าเราโจมตีจุดนั้นไปเรื่อยๆ จะทำให้ส่วนนั้นๆของบอสแตกออกมา ทำให้บอสถึงกับใช้บางท่าหรือบางสกิลใส่เราไม่ได้เลยทีเดียว (แต่ไม่ง่ายนะที่จะทำลาย) รวมถึง Mind's Eye เราสามารถกดเอาไว้ใช้ดูสิ่งที่อยู่รอบๆ Map ได้ด้วย เช่นจุด Refill ต่างๆ หรือ จุดทีเราสามารถไป Absorb มาทำเป็นอาวุธได้
ส่วนในตอนจบฉาก เราก็จะได้รางวัลตามคะแนนที่เราทำได้จากเงื่อนไขต่างๆ เช่น กดใช้โหมด Mind's Eye ทำลายส่วนของบอสได้ สังเวยบอส สังเวยมอนสเตอร์หลายๆตัว เคาท์เตอร์ เป็นต้น ซึ่งแน่นอน ยิ่งได้คะแนนเยอะ ของที่คุณจะได้ก็จะเยอะขึ้นตามที่บอกเอาไว้ในตอนหน้าก่อนที่จะเข้าสู่ฉากนั้นๆ แต่ถ้าหากดันได้คะแนนน้อยๆ คุณก็จะได้ของที่ห่วยขึ้น และ จำนวนที่น้อยขึ้น
จุดที่ทำให้เกม SS เป็น SS ก็คือ ระบบ " Save Or Sacrifice " ซึ่งเวลาเราฆ่ามอนสเตอร์หรือบอสซักตัวลง มันจะกลายเป็นร่างเดิมแล้วจะขึ้นให้เรากด เลือก ว่าจะ "ช่วย" หรือ "สังเวย" ซึ่งในการตัดสินใจแต่ละครั้งมันจะไปเพิ่มค่าของหลอดนั้นๆซึ่งถ้าหลอดนั้นๆเต็มก็จะทำให้เราเลเวลอัพในค่านั้นๆและจะได้ค่าเพิ่มตามหลอดนั้นๆ เช่น หลอดช่วยเลเวลอัพจะได้ พลังป้องกันมากขึ้น หลอดสังเวย จะได้ค่าพลังโจมตีที่มากขึ้น แต่อย่าลืมว่าในบางครั้ง มอนสเตอร์บางตัว จะมีติดลบอีกค่าด้วย เช่น ได้ค่า สังเวยสูงขึ้นมากกว่าปกติ แต่จะโดนลบค่า ช่วย ก็ต้องระวังกันหน่อย รวมไปถึงการอัพเลเวลในค่าต่างๆด้วย ถ้าหากคุณอัพแต่สายสังเวย คุณก็จะไม่มีพลังป้องกันเลย ซึ่งถ้าหากคุณโดนโจมตีคุณอาจจะตายได้ในการโจมตีครั้งเดียว แต่ นั้นก็แลกมากับการคุณมีพลังโจมตีที่สูงมาก หรือ สายช่วยเหลือ คุณจะมีพลังป้องกันที่สูงมาก(แต่ไม่ใช่อมตะนะ โดนก็ตายเป็น) แต่คุณก็ต้องแลกมากับการโจมตีสุดอนาจที่โคตรเบา เป็นต้น หรือ คุณจะเดินทางสายกลางก็ยังได้ และ ทุกๆสิ่งนั้นไม่มีการบังคับอย่างใด "คุณ" เป็นคนกำหนดเท่านั้น ซึ่งในบางฉาก หรือ บาง Mission การเลือกที่จะ ช่วย หรือ สังเวย บอสบางตัว จะส่งผลต่อฉากต่อไปที่จะ Reveal หรือ เปิดออกมาให้เลือก รวมไปถึงรูปร่างของตัวละครเรา ถ้าหากคุณอัพสาย ช่วยเหลือจน 99 (MAX 99 แต่อย่างน้อยจะต้องมีอย่างละ 1 สรุปคือ MAX 100 นั้นแหละ) ตัวคุณจะได้ชุดที่มีรูปร่างหยั่งกะเทพจุติ ขาวสว่าง พร้อมกับ แขนสุดเท่ห์ แต่ถ้าหากคุณอัพสาย สังเวยจน 99 ตัวคุณจะได้ชุดสุดแสนจะอุบาทว์น่ากลัว สุดๆ พร้อมกับแขนที่เน่าเฟะ ซึงนั้นก็แล้วแต่คุณที่จะเลือก (แต่ถ้ารับไม่ได้ก็เปลี่ยนชุดเถอะฮ่าๆๆ แต่รูปร่างแขนไม่เปลี่ยนนะครับ)
บอสในเกมของ Soul Sacrifice นั้นมีค่อนข้างจะเยอะ และแต่ละตัวจะมีท่าโจมตีแตกต่างกันออกไป และ ในแต่ละท่าถ้าหากคุณจับทางมันดีๆแล้วล่ะก็คุณจะสู้กับมันได้ง่ายขึ้นมาก เช่น Wyvern ที่มันมักจะชอบใช้ท่าแยกร่างเงา ถ้าหากคุณดันไม่รู้วิธีหาร่างที่แท้จริงของมันล่ะก็ งานนี้มีหนักแน่นอน แต่ถ้าหากคุณรู้วิธีล่ะก็ ก็ไม่ยากนัก (แต่ไม่เคยง่ายนะครับ) บอสบางตัว มีการโจมตีที่น่ารำคาญ จนคุณอยากจะปาเครื่องก็มี แต่นั้นก็ทำให้คุณตั้งใจเล่นกับตัวเกมมากขึ้น ไม่ใช่มาถึงวิ่งไปตีๆๆแล้วจบ คุณจะต้องมี Strategy หรือ แผนการเอาไว้ในหัวบ้างเอาไว้แล้ว
บอสบางตัวคุณจะสามารถเดาธาตุของตัวมันได้จาก ชื่อของมันเลย ก็ได้ ถ้าหากคุณเป็นพวกบ้า พวกสัตว์ประหลาดในตำนาน/นวนิยาย Wyvern Harpy อะไรแบบนี้แบบผม แต่สำหรับตัวผม ที่ว่าก็บ้าพวกนี้อยู่แล้วนะ ยังถือว่าเดาออกยากมาก แต่มันมีทริคอย่างนึงก็คือ ก่อนเล่น ให้คุณเข้าไปอ่านเรื่องราว หรือ เนื้อเรื่องของ บอสตัวนั้นๆก่อน ในบางจุดที่มีมาร์คตัวหนังสือสีแดง มันจะใบ้ให้คุณ ว่าบอสตัวนี้ แพ้ธาตุอะไร (แต่บางตัวก็ไม่ใบ้นะครับ เข้าไปเดากันเอาเอง) บอสบางตัวในเกม ไม่แพ้ธาตุอะไรเลยยังมี
Soul Sacrifice นั้นมีระบบมัลติเพลย์เยอร์นะครับ ซึ่งจะต้องใช้ Online Pass ด้วยซึ่งจะแถมมากับตัวเกม(ถ้าเป็นกล่อง) อยู่แล้ว หรือถ้าซื้อออนไลน์ก็จะมีมาให้อยู่แล้ว เพราะ ฉะนั้นซื้อมือสองต้องดูดีๆนะครับผม แล้ว อย่าลืมว่าจะต้องซื้อแผ่นให้ตรงกับ User PSN ของโซนเราด้วยนะครับ ไม่งั้นงานนี้ Redeem Code ไม่ได้คงต้องมีได้เสียเงินกันอีกรอบแน่นอน
ในมัลติเพลย์เยอร์นั้น เราสามารถชวนเพื่อน หรือ ไปเล่นกับคนอื่นๆได้ ซึ่งจะมีข้อดีที่อย่างน้อย คนที่เล่นกับเราด้วยก็จะฉลาด ไม่โง่แบบ AI ของเราบางที ที่ก็ไม่เข้าใจ ว่าจะไปยืนรับส้นเท้าบอสทำไม ทำให้ในบางด่านเช่นระดับ 10 ดาว ในบาง Mission ที่บอสโคตรบรมมหาโหด แถมยังดันมี 2 ตัว OMG นั้น เป็นไปได้ (มั้ง ? ) ต้องพูดว่า มีความหวังมากขึ้นมากกว่า ฮ่าๆๆ
แต่เกมนี้นั้น ใครทำอะไรก็ได้อย่างนั้นนะครับใน มัลติเพลยเยอร์ เพราะ ฉะนั้น กะจะเข้าไปยืนหามุมหลบแล้วไม่ทำอะไร รอของ นี้ไม่ได้นะครับ เพราะ ระบบจะคำนวนคะแนนแยก ใครทำดี ก็ได้ของดีๆไป ใครไม่ทำอะไรเลย ยืนเฉยก็ไม่ได้อะไร นะคร้าบ
ในบางครั้ง เพื่อนๆของเรา หรือ AI ของเราที่ตายนั้น เราสามารถเลือกได้สองทางเช่นเดิม ช่วย หรือ สังเวย ถ้าหากช่วย เราจะเสีย HP ประมาณครึ่งนึงของที่มีอยู่ และ จะสามารถชุบชีวิตเพื่อนของเรามาช่วยเราได้ในตอนนั้นเลย (ดูด้วยนะครับว่ามีตัวอะไรแถวนั้นไหม ไม่งั้นชุบเลือดลดครึ่งนึง โดนบอสตบต่อทันทีไม่ทันหลบ ตายนะเอ่อ) แต่ถ้าเราเลือก สังเวย เพื่อนของเราจะปล่อยพลังเวทย์มหากาฬ (?) ออกมา ใส่มอนสเตอร์ทุกตัวในฉาก ทำดาเมจค่อนข้างมาก จำนวนหนึ่ง แต่เพื่อนเราจะตายทันที แล้วจะชุบขึ้นมาไม่ได้อีก ก็คือ จะเหลือแต่เราแล้วล่ะครับ (ซึ่งก็ตัดสินใจกันเอาเองในสถานการณ์แบบนั้นว่าคุ้มไหม) และถ้า เราเลือกสังเวยเพื่อนของเรา ถ้าหากเป็น AI ตัวละครนั้นๆก็จะอยู่ในสถานะ ตาย เราจะไม่สามารถนำตัวละครนั้นมาใช้ในด่านต่อไปได้อีก แต่เราสามารถใช้น้ำตาของ Librom เช่นเคย ชุบชีวิตขึ้นมาได้ครับผม
AI ในเกม SS นั้น สำหรับเพื่อนเรา ถือว่าอยู่ในระดับค่อนข้างจะ โง่ไปหน่อย ในบางครั้ง บอส ใช้ท่าโจมตี แบบ เห็นๆอยู่ว่ามันชารจ์อยู่ ก็ยังจะเดินไปรับซะงั้น แตกต่างกับบอสในเกมที่ไม่รู้จะฉลาดไปไหน แต่ AI เพื่อนเรา ก็ไม่ถึงกับโง่จนเป็นภาระมากนัก ในหลายๆครั้ง การที่มีหลายคน ย่อมดีกว่าลุยคนเดียว (อย่างน้อยก็จงไปเป็นโล่ห์ รับส้นเท้าของบอสแทนข้าเถอะ เพื่อนเอ๋ย)
ในกรณีนี้ค่อนข้างจะคล้ายๆกับเกม Dragon's Dogma บน PS3 และ XBOX 360 พอสมควร แต่ผมว่า AI ของ SS ฉลาดกว่าติ๊ดดดดดส์ นึง (จริงๆ Dragon's Dogma เป็นอีกเกมที่ผมชอบมากๆ แสดงว่าผมชอบเกมที่ AI เพื่อนเราโง่สิเนี้ย แต่ผมไม่ได้ชอบ Resident Evil 5 ขนาดนั้นน่ะ เอ่อ อันนั้นเพื่อนเรานี้อนาจกว่าอีก คุณท่าน Sheva เดินไปรับเลื่อยดื้อๆซะงั้น แถมพอตายปุ๊บ Game Over เลย หนักกว่าเยอะ)
ตัวเกม SS จะมีอีกระบบนึงนอกเหนือจาก Skill ก็คือระบบ Sigil นั้นเอง ซึ่ง Sigil เหล่านี้ พูดเอาง่ายๆเข้าใจง่ายๆที่สุด มันก็คือ สกิล Passive นั้นแหละครับ ที่จะเพิ่มค่าต่างๆให้เรา เช่น โจมตีแรงขึ้น เลือดเยอะขึ้น ต้านทานผลของการโดนติดสถานะ ช๊อค มากขึ้น เป็นต้น ซึ่งใน Sigil ระดับสูงๆการที่เราจะนำมาใช้ได้จะต้องได้ ไอเทมที่ได้จากมอนสเตอร์ตัวนั้นๆก่อน ซึ่งจะมีระดับ ตั้งแต่ธรรมดาไปจนถึง + และ ++ ซึ่งส่วนใหญ่ที่ได้ยากๆจะมาจากพวกบอสทั้งหลาย ในระดับ ++ ซึ่งหลายท่านนั่งฟารม์กันทั้งวันไม่ดรอป บางท่านเข้าไป 3 รอบได้เลยยังมี เป็นดวงกันไปครับ
Soul Sacrifice เป็นเกมที่สุดยอดอีกเกมหนึ่งอย่างน้อยก็สำหรับผมมากๆ ด้วยการเล่าเรื่องที่น่าสนใจ น่าติดตาม และสุดยอด เนื้อเรื่องที่น่าสนใจ น่าติดตาม จนคุณไม่เป็นอันทำอะไร อยากเพียงแต่จะกดเล่นบทต่อๆไปเพื่อจะได้รู้ว่ามันจะเป็นอย่างไรต่อไป Soundtrack ที่สุดยอดอลังการ หดหู่ สิ้นหวัง แต่ช่างไพเราะ Gameplay ที่สนุก มันส์ และทางเลือกของคุณเองว่าคุณจะ "ช่วย" หรือ "สังเวย" แต่ถึงกระนั้นตัวเกมก็ยังมีข้อเสียอย่างน้อยก็สำหรับผม
จุดแรกคือสกิล Offerings หรือ อาวุธ ต่างๆ ที่เอาเข้าจริง พอคุณเล่นไปซักพักคุณก็จะใช้แต่สกิลชุดเดิมๆ เปลี่ยนแค่ธาตุบ้างแหละ ไม่ก็สลับเปลี่ยนไปไม่กี่ชุด เช่น สกิลประเภทขว้าง ที่คุณมักจะใช้ตลอด และเปลี่ยนแค่ธาตุพอ โดยเฉพาะในช่วงท้ายของเกม ที่บอสโคตรโหด ที่โดดมาใส่คุณทีละครึ่งหลอด หรือ อาจจะตายเลยทันทีก็ได้ มันทำให้คุณถูกบังคับใช้ Offerings หรือ สกิล ประเภทขว้างทันที คนที่เป็นแฟนพวกอาวุธระยะประชิด เช่นดาบ หรือ Arm ก็อาจจะผิดหวังไป เพราะ แค่ระยะไกลก็จะแย่แล้ว ขืนคุณวิ่งไปตีบอสระยะใกล้คงตายใน1ท่าของบอส แน่นอน
และ หลายๆ Type ของสกิล ผมรู้สึกว่ามันค่อนข้างไร้ประโยชน์และผมแทบจะไม่ใช้มันเลย เช่น Lure ล่อศัตรู , สายอาวุธต่างๆ , สายยิง Wave เป็นต้น เพราะหลายๆสาเหตุ เช่น จำนวนการใช้ที่จำกัด และ ระยที่ใกล้เกินไปเสี่ยงต่อโดนบอสตบตายเอาง่ายๆ หรือ แม้กระทั่งความจริงที่ ระบบ ดันจำกัดมาให้ใช้ได้แค่ 6 สกิลต่อแมช แถมแต่ละอัน พอใช้จริง มันหมดไวโคตรๆอีกต่างหาก บอสก็โคตรอึด อีกด้วย
ระบบ Sigil เองก็เช่นกัน ให้ความรู้สึกคล้ายๆกับ Offerings ที่ผมว่ามันใช้จริงๆอยู่ไม่กี่อัน เป็นผลมาจาก Offerings ที่เราดันใช้อยู่ไม่กี่ชนิด ไม่กี่อย่าง เราก็จึงมัวแต่ใช้ Sigil อันเดิมๆ ไม่เปลี่ยนใดๆ เลย มันทำให้ระบบ Sigil ดูน่าสนใจน้อยลงอยู่พอควรเลยทีเดียว ยิ่ง Sigil ระดับสูงๆที่ต้องใช้วัตถุดิบที่ดรอปยากๆ ตอนที่คุณไม่ได้ไปฟารม์วัตถุดิบนั้นๆ คุณมักจะไม่แม้แต่จะเข้าไปเปลี่ยนหน้า Sigil ด้วยซ้ำไป เพราะ คุณก็จะใช้อันเดิมๆ
จุดต่อมาคือ มอนสเตอร์ พวกลูกกระจ๊อก ทั้งหลาย มันซ้ำกันมากเกินไป มีอย่างมากก็แค่ 3-4 รูปแบบเท่านั้น ทั้งๆที่บอสมอนสเตอร์ กลับมีค่อนข้างเยอะ แต่ลูกกระจ๊อกกลับมีแค่กระติ๊ดเดียว ช่างน่าน้อยใจนัก ทั้งๆพวกลูกกระจ๊อกเหล่านี้เป็นตัวที่คอยช่วยซ้ำเติม หรือ ช่วยเหลือคุณ ในบางครั้งแท้ๆ ทำไมถึงทำกับฉันได้หนอ (ตอนนี้มี DLC บอสตัวใหม่ๆออกมาแล้วนะครับ ซึ่ง FREE !!! ) มันทำให้คุณรู้สึกเบื่อหน้าพวกลูกกระจ๊อกพวกนี้อย่างมาก เพราะ อย่างมาก มันก็เปลี่ยนแค่ ธาตุ ซึ่งหน้าตามันแทบจะไม่เปลี่ยนไปเลย เรียกง่ายๆ เปลี่ยนแค่สี นั้นแหละ
จุดสุดท้ายคือ แผนที่ในเกมที่ดูเหมือนจะเยอะ แต่เอาเข้าจริง มีอยู่ไม่กี่แบบ แถม แต่ละที่ก็ไม่ได้ให้ความรู้สึกแตกต่างกันมากนัก เหมือนแค่เปลี่ยนอะไรบ้างนิดหน่อย ถ้าหากแต่ละแผนที่ มีระบบอะไรที่ส่งผลต่อรูปแบบเกมในระดับที่ส่งผลแบบเห็นได้ชัด ในแต่ละแผนที่ทุกๆแผนที่ คงจะดี
Soul Sacrifice เป็นเกม ที่พิสูจน์แล้วว่าไม่จำเป็นเลยสำหรับเกมๆนึงที่จะดีได้ โดยจำเป็นจะต้องมี CG งดงามอลังการงานสร้าง แต่ทีมงานกลับใช้ การเล่าเรื่องอย่างแสนชาญฉลาด เนื้อเรื่องที่น่าสนใจ น่าติดตาม จริงจัง ระบบ Gameplay ที่สนุก ตื่นเต้น เร้าใจ โดยเฉพาะ เมื่อสู้กับบอสที่โหดมหาบรมชนิดโดนทีเดียวตาย มันช่างตื่นเต้นเหลือเกิน Soundtrack ที่สุดยอด ทั้งหดหู่ สิ้นหวัง แต่ช่างไพเราะ เป็นที่สุด และส่งเสริมตัวเกมในแต่ละฉากๆได้เป็นอย่างดีที่สุด ระบบ Multiplayer ที่ไม่แลคเลยแม้แต่น้อย แม้กระทั่งเน็ตกากๆอย่างบ้านผม บอส แต่ละตัว มอนสเตอร์แต่ละตัวที่มีเรื่องราว Background ในแต่ละตัว ที่ช่างน่าสนใจ น่าติดตาม และยังเป็น Tip ให้คุณได้รู้สึกจุดอ่อนของบอสตัวนั้นๆอีกด้วย ถึงแม้ตัวเกมจะมีจุดอ่อน อย่างเช่น Offerings ที่คุณวนใช้อยู่อันเดิมๆ มอนสเตอร์ลูกกระจ๊อก ที่มีอยู่ 3-4 ชนิดอย่างน่าน้อยใจไปบ้าง แต่นั้นก็ไม่เพียงพอเลย ที่จะลดระดับความสุดยอดของ Soul Sacrifice ลงเลย ถ้าหากในมือของคุณตอนนี้ มี PSVITA แล้วคุณยังไม่ได้เล่นเกมนี้แล้วล่ะก็ คุณพลาดอย่างใหญ่หลวงแล้ว ผมหวังเหลือเกินที่จะอยากให้มันมีภาคต่อไปเรื่อยๆ
โดยคุณ Keiji Inafune ได้เปรยเอาไว้ดังนี้
“I’m interested in making other console games for PlayStation, not just for the Vita,” Inafune said. “Soul Sacrifice is something I specifically designed for Vita using [the] hardware’s specific features. To drive Vita sales even more, I have an idea for a Soul Sacrifice sequel. I’m actually approaching [Sony Computer Entertainment] regarding this project.”
He concluded: “Let’s say the talks are ongoing and I’d love to make it happen.”
He concluded: “Let’s say the talks are ongoing and I’d love to make it happen.”
กรื้ดดด Day One Only
The Best Quote from " Soul Sacrifice "
"Have you checked for droplets recently?" - Librom
+ จุดที่ตัวเกมทำได้ดี :
+ การเล่าเรื่องที่น่าสนใจ น่าติดตาม ฉลาด
+ บทที่น่าสนใจ น่าติดตาม จนคุณไม่อันเป็นทำอะไร นอกจากจะเล่นต่อไป เพราะ คุณอยากรู้เหลือเกินว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป และ มันเกิดอะไรขึ้น
+ Soundtrack ที่สุดยอด อลังการ หดหู่ สิ้นหวัง และ เหมาะสมกับสถานการณ์ต่างๆในเกมเสมอๆ
+ บอสแต่ละตัวที่มีท่าโจมตี และ จุดอ่อนที่แตกต่างกันออกไป รวมถึงยังฉลาด น่ากลัวสมกับเป็นบอส รวมถึงแต่ละตัวจะมีเรื่องราวของตัวมันเองที่น่าสนใจ น่าติดตาม รวมถึงยังเป็น Tips ให้ผู้เล่นในการเผชิญหน้ากับมันอีกด้วย
+ ระบบ Multiplayer ที่ไม่แลคเลยแม้เน็ตห่วยแตก
+ ระบบ อย่าง Save Or Sacrifice และ ระบบ Level ของ Soul Sacrifice ที่น่าสนใจ สนุก และ ไม่บังคับผู้เล่นแต่อย่างใดเลย
+ Offerings หรือ สกิลมีให้เลือกมากมาย
+ แม้แต่ Side Mission ก็ยังน่าตืนเต้น น่าติดตาม ไม่แพ้ Main Mission เลย
+ ตัวละครที่น่าสนใจ น่าติดตาม และ ความคิดเป็นของตัวเอง
+ ความกล้าที่จะสร้างไอเดียใหม่ๆขึ้นมา แล้วยังซ้อนไอเดียใหม่ๆเข้าไปในนั้นอีกชั้น
+ มีความสมเหตุสมผลในจุดต่างๆของเรื่อง สำหรับในโลกของ Soul Sacrifice
+ การตีความในโลกของ Soul Sacrifice ที่น่าสนใจ และ ความคิดของตัวละครต่างๆ
+ หลายๆอย่างในเกม ไม่มีการบังคับ แต่เป็นการเลือกของ " คุณ "
- จุดที่ตัวเกมทำได้แย่ :
- Offerings ที่เยอะ แต่เอาเข้าจริง ใช้อยู่ไม่กี่อัน เปลี่ยนแค่ธาตุก็พอ เนื่องจากการจำกัดของตัวเกมในระบบต่อสู้ และ Offerings บางประเภทดูไร้ประโยชน์
- เนื่องจาก Offerings ใช้ไม่กี่อัน ส่งผลให้ Sigil ก็ใช้ไม่กี่อันหนักกว่า Offerings อีก จนคุณแทบจะไม่เปลี่ยนมันเลย
- ลูกกระจ๊อก ที่มีแค่ 3-4 รูปแบบ บางทีก็แค่เปลี่ยนธาตุ หรือ เปลี่ยนสี
- เนื่องจากบอสในช่วงหลังๆก็เกมโหดมากถึงมากที่่สุด ทำให้เหมือนคุณถูกบังคับให้ใช้ Offerings หรือ สกิลที่โจมตีได้จากระยะไกลเท่านั้น เพราะ หากคุณใช้สกิลโจมตีระยะใกล้อาจตายได้ง่ายๆ โดยเฉพาะ คนที่ไปทางสายโจมตี หรือ สังเวย ยิ่งถูกบังคับแล้วใหญ่
- แผนที่แทบจะไม่รู้สึกถึงความแตกต่างเท่าใดนัก
Final Score : [ A+ ] & [ MUST PLAY !!! BADGE ]
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น