วันอาทิตย์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2557

Danganronpa: Trigger Happy Havoc [ Game Review ]

Game Review
เกมแห่งคำโกหก และโป้ปด




Game Name : Danganronpa : Trigger Happy Havoc 
Developer : Spike Chunsolf 
Platform : PSVita , PSP , iOS , Android 
Rating : Mature 



           
                                    ก็เรียกได้ว่า ผ่านกันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วกับงาน E3 ปีนี้ที่มีเกมใหม่ๆเปิดตัวมากมายไม่ว่าจะเป็น Assassins Creed Unity , Destiny หรือแม้กระทั่งเกมยักษ์ใหญ่อย่าง Uncharted 4 ถึงแม้ว่าจะมีบางเกมที่แฟนๆกำลังตั้งหน้าตั้งตารอคอยอย่าง Fallout 4 หรือ The Last Guardian ที่ดองมาไม่รู้กี่ปี จะไม่ยอมโผล่มาซะทีก็ตาม ก็ถือได้ว่าเป็นงานที่สร้างความตื่นเต้นให้กับวงการเกมทั่วโลกอยู่เหมือนกัน นี้ยังไม่นับถือเทศกาลลดราคาแหลกกระจายของ Steam ในตอนนี้ที่คงพาชาวเกมจนกันไปอีกหลายเดือนเลยทีเดียว (รวมถึงเกมที่ดองยันปีหน้า)


ในขณะที่ผู้เขียนกำลังตื่นเต้นอยู่กับเกมใหม่ๆอยู่นั้นเอง ผู้เขียนก็ได้บังเอิญไปสะดุดเข้ากับตัวอย่างเกม เกมหนึ่งเข้า นั้นก็คือตัวอย่างเกม Danganronpa 2 : Goodbye Despair ซึ่งเป็นภาคต่อของ Danganronpa : Trigger Happy Havoc ที่กำลังจะวางจำหน่ายเป็นภาษาอังกฤษเดิอนกันยายนนี้ และผู้เขียนก็รู้สึกสนใจมันขึ้นมาทันทีเลยทีเดียวเชียว อาจจะเป็นเพราะส่วนตัวชอบเกมแนวสืบสวนสอบสวนอยู่แล้วก็เป็นได้ เช่นเกมชื่อดังอย่าง L.A. Noire ก็ได้สัมผัสมาแล้ว แต่ก็หาเกมแนวนี้ที่น่าสนใจจริงๆอีกไม่ได้ซักที จนกระทั่งมาเจอเกมนี้เข้าให้ (บวกกับลงให้เครื่อง PSVita ยิ่งเข้าทางเข้าไปใหญ่) ก็เลยได้โอกาสหาข้อมูล จนนำไปสู่การเล่นเกมภาคแรก Trigger Happy Havoc เข้าจริงๆ



เรื่องราวที่เกิดขึ้นในเกม Danganronpa : Trigger Happy Havoc นั้นก็คือ เรื่องราวของกลุ่มนักเรียนกลุ่มหนึ่ง ที่พบว่าตัวเองถูกขังอยู่ในโรงเรียนโดยไม่มีทางออก ทันใดนั้นเองหุ่นยนตร์หน้าตาแปลกประหลาดที่เรียกตัวเองว่า Monokuma ก็ปรากฏตัวขึ้นและบอกว่า พวกเขามีสองทางเลือก หนึ่งคืออยู่ในโรงเรียนนี้ตลอดไปจนตาย หรือทางเลือกที่สอง คุณจะต้องฆ่าคน !! และจะต้องไม่ถูกจับได้ด้วย ถ้าหากคุณทำสำเร็จคุณก็จะสำเร็จการศึกษาและได้ออกไปจากโรงเรียน 


สิ่งแรกที่ต้องพูดถึงของเกมนี้เลยก็คือ ตัวเกม Danganronpa : Trigger Happy Havoc นั้นเป็นเกมแบบ 2.5 D ก็คือเป็นการผสมผสานระหว่างเกมแบบ 2 มิติ กับ 3 มิติ และเรียกได้ว่าเป็นเกมชนิดที่ค่อนข้างอาศัย กดหรือจิ้มสิ่งต่างๆในเกมเพื่อใช้หรือคุยกับสิ่งนั้นๆเป็นหลัก ยิ่งความที่ตัวเกมค่อนข้างจะมีสไตล์เป็นอนิเมะอยู่พอสมควรผสมกับความเป็น 2.5 D ก็ทำให้กราฟฟิคของมันโดดเด่นขึ้นมาไม่น้อยเลยทีเดียว แต่ในอีกด้านหนึ่งมันก็ถูกจำกัดด้วยความเป็น 2.5 D ในตัวมันเองเช่นเดียวกัน เช่นมุมกล้องที่จำกัดมากๆในหลายๆห้อง แต่ก็ไม่ได้หนักมากถึงขนาดทำลายความสนุกของเกมซักทีเดียว แต่ถ้าหากท่านใดเล่นเกมแนวนี้เป็นครั้งแรก ก็อาจจะรู้สึกรำคาญบ้างเล็กน้อย


และเมื่อพูดถึงเกม Danganronpa แล้ว สิ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือระบบ Class Trial ของตัวเกม ที่ในความเห็นของผู้เขียน มันคือสิ่งที่ทำให้ตัวเกมโดดเด่น สนุก และตื่นเต้นอย่างแท้จริงเลยทีเดียว ถ้าหากตัวเกมไม่มีระบบนี้แล้วล่ะก็ มันคงจะจืดชืดกว่านี้หลายเท่าตัว
ระบบ Class Trial นั้นก็เปรียบเสมือนการขึ้นศาลนั้นเอง เมื่อมีเหตุการณ์การฆ่าเกิดขึ้นในโรงเรียน คุณจะต้องทำหน้าที่หาหลักฐานให้ได้ว่าใครเป็นคนฆ่า และเมื่อถึงเวลา คุณและทุกๆคนที่อยู่ในโรงเรียนก็จะถูกเรียกเข้าสู่ Class Trial เพื่อทำการหาว่าใครเป็นคนฆ่าให้จงได้ และแต่ละหลักฐานที่คุณหาเจอ มันก็จะเปรียบเสมือนกับ "Truth Bullet" หรือกระสุนแห่งความจริงที่คอยเอาไว้ยิงใส่คนที่พูดโกหก โดยกระสุนนี้ก็คือหลักฐานที่คอยเอาไว้ต้อนคนร้ายให้จนมุมนั้นเอง 



โดยใน Class Trial นั้นเมื่อเข้าสู่โหมด Non-Stop Debate แต่ละคนจะพูดคำพูดของตัวเองออกมาตามคำถามในสถานการณ์นั้นๆ และคุณจะต้องหาให้ได้ว่าหนึ่งในคำพูดที่พวกเขาพูดออกมานั้น คำไหนเป็นคำโกหกหรือคำที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ จากนั้นคุณจึงเลือกหลักฐานที่ถูกต้องและยิงใส่คำพูดนั้นเพื่อเป็นการโต้แย้งคำพูดของพวกเขา นอกจากนั้นแล้วใน Class Trial ยังมีมินิเกมอีก 3 เกมด้วยกัน นั้นก็คือ Hangman Gambit หรือ เกมที่ให้คุณเติมตัวอักษรที่หายไปให้เป็นคำตอบตามโจทย์นั้นๆ อีกเกมก็คือ มินิเกมที่ให้คุณกดปุ่มตามจังหวะเสียงเพลงและทำลายคำโต้เถียงของอีกฝ่าย รวมไปถึงตอนท้ายที่จะมีมินิเกมที่ให้คุณเรียงเหตุการณ์การฆาตกรรมที่เกิดขึ้นให้ถูกต้องในหนังสือการ์ตูนอีกด้วย ซึ่งตัว Non-Stop Debate นั้น เรียกได้ว่าเป็นมินิเกมที่สนุก ตื่นเต้น และเคร่งเครียดมากที่สุดเลยทีเดียว เพราะคุณจะต้องหาให้ได้ว่าคำใดเป็นคำโกหก ส่วนมินิเกมอื่นๆก็ถือว่าบันเทิงในระดับหนึ่ง ถึงมันจะให้ความรู้สึกแปลกๆไปบ้างก็ตาม 


จะว่าไปแล้ว สิ่งหนึ่งเลยที่ตัวเกม Danganronpa : Trigger Happy Havoc ทำได้อย่างยอดเยี่ยมก็คือ การสร้างความตึงเครียด และเคร่งเครียดให้กับผู้เล่น ด้วยสถานการณ์ต่างๆในตัวเกมที่ชาญฉลาด แค่คิดว่าคุณติดแหงกอยู่ในโรงเรียนโดยไร้ทางออกก็แย่พอแล้ว แต่นี้คุณยังจะต้องกลัวว่าเพื่อนร่วมโรงเรียนของคุณจะฆ่าใครสักคนอีกด้วย นอกจากนั้นแล้วตัวเกมยังหาอีกหลากหลายวิธีที่ทำให้คุณรู้สึกเครียดโดยที่ไม่รู้ตัวได้อย่างชาญฉลาดอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นแรงกดดันที่ตัวละครได้รับจากคำพูดและเหตุการณ์ต่างๆในเกม ซึ่งคุณก็ได้รับความกดดันนั้นเข้าไปด้วยโดยที่ไม่รู้ตัวเลย โดยเฉพาะเมื่อเข้าสู่ Class Trial หลายๆครั้งที่ผู้เขียนพบว่าตัวเองตื่นเต้น และเครียดมาก ทั้งๆที่ในบางครั้งผู้เขียนพอที่จะเดาได้แล้วด้วยซ้ำไป ว่าใครเป็นผู้ร้ายในเหตุการณ์นี้ อีกส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะบทพูดตัวเกมที่สร้างสรรค์มาได้อย่างยอดเยี่ยม นอกจากมันจะแอบล่อหลอกให้คุณไปผิดทางแล้ว มันยังสร้างความสงสัยในตัวคุณอีกด้วยว่าสิ่งที่คุณคิดมันถูกจริงๆหรือ ? 



อีกหนึ่งองค์ประกอบในตัวเกมที่อาจจะถูกใจหลายๆคนเลยก็คือส่วนเวลาว่างจากการคลี่คลายคดีในเกม ให้คุณสามารถไปคุยกับตัวละครต่างๆ หรือพูดง่ายๆว่าเกมจีบสาวนั้นแหละ (แต่คุยกับผู้ชายในเกมก็ได้นะ) โดยที่เมื่อคุณพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครไปถึงจุดหนึ่งคุณจะได้สกิลของพวกเขามาเพื่อช่วยให้เกมต่างๆใน Class Trial ง่ายยิ่งขึ้นนั้นเอง นอกจากนั้นแล้วคุณจะยังได้รู้ความคิด และเบื้องหลังความเป็นมาเป็นไปของพวกเขาอีกด้วย แต่ในจุดนี้ก็เป็นจุดที่เข้าไปผสมผสานกับเหตุการณ์การฆาตกรรมในตัวเกมหลักได้เป็นอย่างดี เพราะการที่คุณพบว่าในท้ายที่สุด คนที่เป็นคนลงมือทำเหตุฆาตกรรมสุดสยอง เป็นคนที่คุณเชื่อใจมากที่สุด คงไม่มีอะไรเจ็บปวดไปกว่านี้แล้ว ซึ่งตัวเกมเล่นกับจุดนี้ได้ดีอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว


อีกสิ่งหนึ่งที่อาจจะทำให้หลายๆคนตกใจเมื่อเห็นแค่หน้าปกของตัวเกมก็คือ การที่ตัวเกมได้เรท M หรือ Mature นั้นเอง ทั้งๆที่มีกราฟฟิคเป็นตัวละครโมเอะสดใสน่ารัก เกมอย่างนี้จะได้เรท M ได้อย่างไรกัน ? ใช่ในเวลาปกตินั้นตัวเกมอาจจะไม่ได้มีความรุนแรงเท่าไรนัก แต่เมื่อมันจำเป็นจะต้องรุนแรงมันก็ไม่ค่อยจะมีการประนีประนอมใดๆเลยเช่นเดียวกัน เช่นฉากฆาตกรรมต่างๆ ที่เรียกได้ว่าโหดอยู่พอตัว ยิ่งไปกว่านั้นก็คือบทลงโทษผู้ที่ถูกจับได้ว่าฆาตกรรมหรือสิ่งที่เกมเรียกว่า Ultimate Punishment ก็ยิ่งโหดเข้าไปใหญ่ นี้ยังไม่นับความที่ตัวเกมค่อนข้างจะแอบแฝงธีมการเสียดสี ตลกร้ายหรือ Black Comedy เข้าไปเยอะมากอีกด้วย 


ถึงแม้ว่าเกมนี้จะเป็นหนึ่งในเกมที่ผู้เขียนชอบมากที่สุดเกมหนึ่งบนเครื่อง PSVita รองลงมาจาก Soul Sacrifice และ Persona 4 Golden แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่า มีหลายๆสิ่งหลายๆอย่างที่รู้สึกว่ามันยังทำได้ไม่ดีนักอย่างน้อยก็ในตัวเกม Danganronpa ภาคนี้


อย่างแรกที่ขัดหูขัดตาผู้เขียนมากที่สุดในเกมนี้เลยก็คือ การที่ตัวเกมจูงมือผู้เล่นมากจนเกินไป มากเสียจนหลายๆครั้งรู้สึกว่าอารมณ์ความเป็นเกมสืบสวนสอบสวน มันแทบจะหายไปหมด โดยเฉพาะเมื่อเข้าสู่เวลาที่คุณจะต้องหาหลักฐาน เมื่อคุณเข้าไปซักห้องใดห้องหนึ่ง แล้วคุณหาหลักฐานไม่ครบ ตัวเกมจะไม่ยอมให้คุณออกจากห้องๆนั้นเลย จนกว่าคุณจะหาหลักฐานครบ นอกจากนั้น ถ้าหากคุณหาหลักฐานไม่ครบ มันก็จะไม่ยอมให้คุณเข้าไปสู่ Class Trial อีกด้วย ซึ่งมันทำให้ผู้เขียนตั้งคำถามว่าทำไม เพราะเกมสืบสวนสอบสวน ควรจะเป็นเกมที่คุณตั้งสมมุติฐาน คลี่คลายคดี และหาหลักฐานด้วยตนเอง ไม่ใช่ให้ตัวเกมมาบอกว่า "โอ้วเนี้ย แกลืมหลักฐานนะ ลองหาดีๆ ถ้ายังไม่ครบฉันไม่ให้แกไปสู่ Class Trial หรอกนะ" ถ้าทำแบบนั้น มันจะแตกต่างไปจากการที่คุณให้หลักฐานมาทั้งหมดตั้งแต่แรกเลยยังไง ในกรณีนี้ขอเปรียบเทียบกับเกม L.A. Noire ในเกม L.A. Noire นั้น แต่ละหลักฐานสำคัญมากจนขนาดที่บางชิ้นแทบจะทำให้คุณเลือกคนร้ายผิดคนด้วยซ้ำไป ซึ่งในกรณีนี้ คนที่ผิดไม่ใช่ตัวเกม ไม่ใช่ตัวละคร แต่คือคุณ ผู้เล่น เพราะคุณไม่สามารถที่จะหาหลักฐานได้ครบ เพราะคุณไม่ใส่ใจพอ มันจึงล้มเหลว คนที่คุณควรจะโทษคือตัวคุณเอง ไม่ใช่ตัวเกม เพราะฉะนั้น ทำไมตัวเกมจะต้องมาบังคับและจูงมือผู้เล่นในการหาหลักฐานขนาดนั้น เพราะจริงๆแล้ว การที่คุณหาหลักฐานไม่ครบจนนำไปสู่การทำให้คดีนั้นล้มเหลว มันก็ถือเป็นหนึ่งในเอกลักษณ์ของเกมสืบสวนสอบสวนอย่างแท้จริงเหมือนกัน แต่เมื่อเกมนี้จูงมือขนาดนี้ จุดๆนี้จึงหายไปอย่างน่าเสียดาย นี้ยังไม่นับถึงความน่ารำคาญในบางครั้ง ที่ผู้เขียนอยากจะไปสำรวจห้องอื่นก่อน แต่ตัวเกมดันไม่ยอมให้ออกห้องนั้นเพราะหาหลักฐานไม่ครบ


อาจจะเป็นไปได้ว่าเพราะเนื่องจาก Class Trial ถูกพัฒนาแยกจากตัวเกมจึงทำให้ไม่สามารถที่จะย้ายข้อมูลของผู้เล่นที่เปลี่ยนแปลงได้ ลงไปได้ เช่น ตัวเกมถูกพัฒนามาให้โต้เถียงตามหัวข้อ 1 2 และ 3 แต่ถ้าหากคุณดันหาหลักฐานที่ 2 ไม่ครบ คุณก็จะตอบคำถามที่ 2 ไม่ได้ และตัวทีมผู้พัฒนาเองก็คงจะกลัวว่าจะทำให้ผู้เล่นตอบผิดหมดจนผ่านได้ยากหรืออย่างไรไม่ทราบ จึงต้องบังคับให้เก็บหลักฐานครบทุกชิ้นก่อนถึงจะเข้าไปสู่โหมด Class Trial ได้ เพราะอย่างน้อย 1 ในนั้นก็ต้องถูกซักอันอย่างแน่นอน 


"OBJECTION !! เอ้ย ไม่ใช่.. C... COUNTER !!"


และเมื่อตัวเกมจูงมือมาถึงขนาดนั้น มันก็ส่งผลในส่วนของ Class Trial เช่นเดียวกัน นั้นก็คือ การที่คุณรู้ว่า ต่อให้กดมั่วๆยังไง ก็ต้องถูกซักอันนั้นเอง ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นอย่างมากในเกมแนวนี้ มันทำให้การตัดสินใจของคุณนั้นใส่ใจผลที่ตามมาน้อยลง ในขณะที่เกมอย่าง L.A. Noire ในหลายๆครั้ง คุณมีสิทธิที่จะโต้แย้งเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ถ้าหากคุณเลือกหลักฐานผิด = ข้อๆนั้นเป็นอันล้มเหลวไปโดยปริยาย นั้นหมายความว่าหลักฐานชิ้นสำคัญอาจจะหลุดลอยจากมือคุณไปแล้วนั้นเอง ซึ่งมันเป็นเสน่ห์ของเกมแนวสืบสวนสอบสวนอย่างหนึ่งเหมือนกัน 


ในมินิเกมส่วน Class Trial ที่ให้ผู้เล่นเรียงฉากต่างๆให้สมบูรณ์เป็นหนังสือการ์ตูนนั้น มีสิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนรู้สึกว่า ผู้สร้างเกมใส่เข้ามาอย่างไม่จำเป็น ก็คือจิ๊กซอว์ที่มีภาพคล้ายๆกัน สร้างความสับสนแก่ผู้เล่น เปรียบเสมือนการแกล้งก็ไม่ปาน เช่น สมมุติว่าคดีนี้คนร้ายใช้อาวุธเป็นไม้กอลฟ์ จิ๊กซอว์อันหนึ่งจะเป็นรูปคนร้ายกำลังหยิบไม้กอลฟ์ กับอีกอันหนึ่งที่เป็นคนร้ายถือไม้กอลฟ์ ซึ่งมันหาความแตกต่างกันยากมาก จนบางครั้งพาไปสู่การผิดโดยที่ไม่จำเป็น สำหรับคนที่ไม่ได้คิดอะไรก็อาจจะไม่ได้คิดอะไรกับจุดนี้มาก แต่ถ้าหากคนที่ตั้งความหวังไว้ว่า จะเล่นจนจบโดยไม่ผิดเลยซักครั้ง การใส่เทคนิคแบบกลั่นแกล้งผู้เล่นเช่นนี้เข้ามา มันเป็นทางเลือกที่่ไม่น่าให้อภัยอยู่เหมือนกัน


อีกสิ่งหนึ่งในตัวเกมที่ผู้เขียนรู้สึกสับสนเล็กน้อยก็คือ ความโหดของตัวเกม ที่ถึงแม้ว่าสำหรับบางท่านอาจจะเรียกว่าเยอะแล้ว แต่สำหรับผู้เขียน กลับรู้สึกว่าตัวเกมค่อนข้างที่จะไม่ใส่เต็มและกั๊กความโหดอยู่พอสมควร โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับเนื้อเรื่องและตัวละครต่างๆในเกม แทบจะพูดได้เลยว่า เกมนี้จะโหดแค่ไหนก็คงจะไม่โอเวอร์ แต่ในหลายๆครั้งกลับพบว่ามันไม่โหดพอที่จะทำให้รู้สึกสยดสยองได้เลย ไม่ว่าจะเป็นเลือดที่เปลี่ยนเป็นสีชมพูแทนแดง หรือฉากฆาตกรรมส่วนใหญ่ในเกม แต่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือเมื่อเข้าสู่ช่วง Punishment Time หรือช่วงลงโทษคนร้ายที่ทำเหตุฆาตกรรม ผู้เขียนรู้สึกว่าแทบจะทุกครั้ง บทลงโทษของพวกเขา มันไม่สมใจหรือมันไม่เหมาะสมกับสิ่งที่พวกเขาได้ทำลงไปเลย แต่ในส่วนนี้ อาจจะพอยกประโยชน์ให้ได้บ้างเพราะเป้าหมายหลักของตัวเกม ก็ไม่ได้เน้นไปที่ความโหดของตัวเกมซะทีเดียว


สิ่งสุดท้ายก็คือ อย่างที่บอกไปแล้วว่า ถ้าหากตัวเกมตัดระบบ Class Trial ที่เป็นจุดเด่นของตัวเกมออกไป เมื่อมานั่งคิดดูจริงๆแล้ว ตัวเกมนั้นแทบจะไม่มีอะไรเหลือเลย เพราะระบบจีบสาวต่างๆก็ไม่ได้น่าสนใจพอ ตัวเกมเองก็ไม่ได้มีมินิเกมอื่นๆหรือมีหลายๆอย่างให้ทำแบบเกม Persona 4 Golden ที่มีทั้งตกปลา เสี่ยงโชค หรือไปซื้ออาหาร จริงๆแล้วแทบจะไม่มีอะไรให้ทำเลยนอกจากจีบสาว หรือนอนฆ่าเวลาเฉยๆ นอกจากนั้นแล้ว ความที่ตัวเกมเองเป็น 2.5 D มันจึงน่าสนใจเฉพาะช่วงแรกเท่านั้น หลังจากนั้นคุณก็จะเริ่มเบื่อสถานที่ซ้ำๆไม่น้อย แถมการที่ตัวเกมมีมุมการเคลื่อนกล้องที่ค่อนข้างจำกัดยิ่งทำให้ตัวเกมไม่น่าสำรวจเท่าที่ควรอีกด้วย


สิ่งสุดท้ายที่ต้องพูดถึงก็คือระบบ School Mode ซึ่งเป็นโหมดที่จะปลดล็อคหลังจบเกมแล้ว ซึ่งโหมดนี้จะเป็นโหมดที่ให้เราไปคุยหรือจีบตัวละครต่างๆในเกมโดยที่ไม่ต้องห่วงว่าจะมีคดีเกิดขึ้นแต่อย่างใด เสมือนเราอยู่แต่ในโรงเรียนโดยตัดเรื่องการฆ่ากันไปนั้นเอง แต่สิ่งที่ต้องขอชมทีมผู้สร้างเลยจริงๆก็คือ ถ้าเอาจริงๆ พวกเขาก็แค่ใส่โหมดนี้เข้าไปเฉยๆก็ได้ ให้ผู้เล่นได้โอกาสสร้างความสัมพันธ์กับตัวละครต่างๆจบ คงไม่ต้องสร้างระบบอะไรใหม่มากมาย Copy / Paste บางส่วนที่มีอยู่แล้วก็จบ แต่ทีมพัฒนาเกมกลับใช้เวลา ใส่ระบบเล็กๆน้อยๆเพื่อเพิ่มสีสันให้กับโหมดนี้อีกด้วย โดยเราจะต้องสร้างของตามที่ Monokuma บอกให้ทำต่างๆ ซึ่งเรียกได้ว่ายากพอตัวเลยทีเดียว จึงทำให้โหมดนี้มีความหมายขึ้นมาทันที ไม่ใช่โหมดที่เพิ่มขึ้นมาลวกๆมั่วๆ แต่เป็นโหมดที่เรียกได้ว่าแทบจะเป็นอีกหนึ่งมินิเกมฟรีๆให้เล่นเลยทีเดียว แต่ต่อให้คุณไม่ผ่านการสร้างของก็ตาม ตัวเกมก็จะไม่ลงโทษคุณ คุณยังคงเล็งไปที่การสร้างความสัมพันธ์ตัวละครต่างๆเพื่อจะเก็บถ้วยแพลตทินัมหรืออะไรก็แล้วแต่ได้อยู่ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าชื่นชมและเพิ่มคุณค่าในการหยิบเกมกลับมาเล่นหลังจากเล่นจบแล้วอยู่มากพอสมควร


ในท้ายที่สุดแล้ว Danganronpa : Trigger Happy Havoc  เป็นเกมอีกหนึ่งเกมที่ยอดเยี่ยมเลยทีเดียว จากแก่นเรื่องและอารมณ์ของเกมที่ตื่นเต้น เนื้อเรื่องที่น่าสนใจและน่าค้นหา รวมไปถึงระบบ Class Trial ที่ยอดเยี่ยม ระทึก ถึงแม้ว่าตัวเกมจะประสบปัญหากับการที่จูงมือผู้เล่นมากเกินไป จนทำให้ความเป็นเกมสืบสวนสอบสวนหายไปบ้าง แต่ก็ถือว่ายังพออยู่ในจุดที่ให้อภัยได้ ตอนนี้ก็คงต้องตั้งตารอคอยภาคต่อของตัวเกมกับ Danganronpa 2 : Goodbye Despair กันไปเลยทีเดียวเชียว ว่าจะสานต่อตัวเกมภาคแรกได้ดีเยี่ยมแค่ไหน



Final Score : [ B+ ] 


เพิ่มเติม

                                         หลังจากที่ผมได้ไปชม Danganronpa ฉบับ Animation มาหลายตอน    ส่วนตัวคิดว่า ถ้าเป็นไปได้อยากให้เพื่อนๆหาเกมมาเล่น หรือ อย่างน้อย ก็หาวิดีโอใน Youtube ที่เป็นฉบับเกมดูดีกว่านะครับ ตัว Animation ทำได้แย่กว่าเกมค่อนข้างเยอะ คือเนื้อหามันอันเดียวกันก็จริง แต่มันสรุปเร็วมากจนเกินไป เพราะเวลาที่น้อย พวกหลักฐานต่างๆนี้มันแทบจะโยนใส่หน้าเราหมดเลย ตัวละครต่างๆมันก็ผิวเผินมาก (ในขณะที่เกมตัวละครต่างๆค่อนข้างจะลึก เพราะสามารถไปคุยสร้างความสัมพันธ์และรับรู้ถึงเบื้องหลังของแต่ละตัวละครได้) ทำให้บรรยากาศ ความตึงเครียด กดดัน  และสยดสยองที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเกม มันแทบจะหายไปหมดเลยครับบอกตรงๆเพราะทุกอย่างมันสรุปรวบๆมาให้เราหมด ไม่ว่าจะเป็นตัวคดีต่างๆ ที่มันให้เวลาเราน้อยมากจนถึงไม่ให้เวลาเลย แล้วมันก็สรุปให้เราโดยเราไม่ได้คิดอะไรเลย ซึ่งทำให้องค์ประกอบด้านความเป็นเกมสืบสวน สอบสวนหายไปเยอะมาก ที่สำคัญคือ  Class Trial ใน Animation ค่อนข้างจะแย่มากครับ มันเหมือนเอาตัวละครมานั่งพูดเฉยๆมากกว่ามาเถียงกันแบบในเกม แถมหลักฐานที่มีในตามคดีต่างๆก็ใช้น้อยมาก จนเรียกว่าไม่ได้ใช้เลยมากกว่า นี้ยังไม่รวมถึงมินิเกมที่ชวนให้เรามานั่งคิดว่าคำตอบที่ถูกต้องคืออะไรต่างๆ ที่หายไปหมด เรียกได้ว่าน่าเสียดายพอสมควร

 แต่อาจจะเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้เพราะว่า Animation ไม่ได้มีเวลามากมายขนาดตัวเกม คิดง่ายๆครับ Class Trial เพียงอย่างเดียวของตัวเกมแต่ละตอน ก็ล่อไป ชั่วโมงกว่าๆแล้ว ยังไม่นับพวกตอนหาหลักฐาน หรือ ก่อนเหตุการณ์เลย ในขณะที่ Animation ตั้งแต่เริ่มตอนยันจบตอน ต้องรวบๆภายใน 1 ชั่วโมง (Class Trial ราวๆ 10 นาทีได้)

เอาเป็นว่าถ้าท่านอยากรู้แค่ว่าเกมนี้มันเป็นแนวไหน หรืออยากรู้แค่ว่า ใครทำอะไรแบบไม่ต้องเสียเวลามากดู Animation ก็โอเคอยู่ครับ แต่ถ้าอยากได้แบบอารมณ์เต็มๆ เครียด กดดัน และได้สืบสวนด้วยตัวเอง แนะนำว่าหาเกมมาเล่นเถอะครับ

วันพฤหัสบดีที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2557

Resident Evil ภาคที่ 6 จะเป็นภาคสุดท้ายแล้ว ?

News




สำหรับท่านใดที่กำลังสงสัยว่าภาพยนตร์ที่มีต้นแบบมาจากวิดีโอเกมชื่อดังอย่าง Resident Evil หายไปไหน ตอนนี้ตัวผู้กำกับอย่าง Paul W.S. Anderson ก็ได้ออกมาให้สัมภาษณ์แล้วว่า กำลังอยู่ในขั้นตอนการเขียนบทอยู่ ยังไม่มีกำหนดที่ชัดเจนว่าจะเข้าฉายโรงภาพยนตร์วันไหน แต่ที่แน่ๆคือทำออกมาเป็น 3D อย่างแน่นอน และเขายังเปิดเผยด้วยอีกว่า นี้น่าจะเป็นภาคสุดท้ายสำหรับภาพยนตร์ชุดนี้แล้ว ก็ต้องคอยดูกันต่อไปว่าตัวภาคสุดท้ายจะออกมาเป็นเช่นไร




อ้างอิง

http://www.ign.com/articles/2014/06/17/paul-ws-anderson-reveals-resident-evil-the-final-chapter

วันศุกร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ประเด็นของเกย์และเลสเบี้ยนในภาพยนตร์ของ Disney ? (Spoiler)

Off Story

อาจมีการสปอยหรือการพูดถึงเนื้อหาสำคัญของภาพยนตร์ 2 เรื่อง Frozen กับ Maleficent 


                                     ภาพยนตร์ในช่วงปีที่ผ่านมาของ Disney  มีภาพยนตร์อยู่เรื่องหนึ่งที่มีการถกเถียงกันอย่างมากมายถึงประเด็นแอบแฝงของมัน ภาพยนตร์เรื่องนั้นก็คือ Frozen ที่ถกเถียงกันเรื่องประเทศของ "เกย์" ในภาพยนตร์ ว่าเป็นไปได้หรือไม่ ที่ภาพยนตร์เรื่องนี้แอบแฝงประเด็นของเพศที่สามอย่างเกย์เข้าไป (ไม่ว่าจะตั้งใจ หรือไม่ตั้งใจก็ตาม) ดูได้จากง่ายๆแบบจริงจังที่สาเหตุว่าทำไมถึงมีประเด็นนี้คือ อนิเมชั่นสุดแสนสดใสน่ารักร้องเพลงอย่างดิสนีย์จะมีประเด็นเหล่านี้ได้อย่างไรกัน ? ลองคิดดูนะครับ ตัวละครหลักอย่างเอลซ่าที่ถึงแม้จะเป็นผู้หญิง แต่มีทัศนะคติ และท่าทางแบบเพศชาย แข็งแกร่ง โต แตกต่างจากน้องสาวเธออย่างเห็นได้ชัด ยิ่งไปกว่านั้นพลังของเธอก็คือการปล่อยน้ำแข็งสีขาวๆออกมา และพลังนี้ของเธอทำให้เธอถูกรังเกียจจากสังคม ในท้ายทีสุดแล้วรักแท้ของเธอกลับไม่ใช่เพศตรงกันข้าม แต่กลับเป็นเพศเดียวกัน ซึ่งมันคล้ายๆกับเรื่องราวของเกย์อย่างมาก


แต่ภาพยนตร์เรื่องต่อมาของดิสนีย์ล่าสุดนี้เอง ยิ่งทำให้ผู้เขียนรู้สึกว่าดิสนีย์พยายามที่จะต้องการสื่ออะไรบางอย่างกับผู้ชม ภาพยนตร์เรื่องนั้นก็คือ Maleficent ที่แฝงประเด็นของเลสเบี้ยนเข้าไปอย่างค่อนข้างจะชัดเจนมากๆ (ถึงแม้ตัวภาพยนตร์จะเรต PG ก็ตาม) สังเกตุได้เลย เรื่องราวของหญิงสาวที่พบรักกับชายหนุ่ม แต่ถูกชายหนุ่มหักหลัก ทำให้เธอไม่รักใครอีก จนกระทั่งเธอมาพบเจอกับออโรร่าหญิงสาวผู้เลอโฉม และไร้เดียงสา (หรือเรียกง่ายๆว่า Virgin) และตกหลุมรักเธอไปในที่สุด แม้แต่ในภาพยนตร์เองยังมีคำพูดที่ตัว Maleficent พูดออกมาเองด้วยซ้ำไปว่า ออโรร่าได้ขโมยหัวใจของเธอไปแล้ว ยิ่งทำให้ประเด็นนี้ชัดเจนเข้าไปใหญ่

ก็ต้องรอคอยดูกันต่อไปว่าภาพยนตร์เรื่องหน้าของดิสนีย์จะแฝงประเด็นอะไรเอาไว้อีก ?

Maleficent ( 2014 ) Movie Review FallsDownz

Maleficent ( 2014 ) บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz

เจ้าหญิงนิทราฉบับไม่ใหม่ซักเท่าไรนัก......




  ถ้าหากพูดถึงหนึ่งในนิทาน ที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากที่สุดมาซักเรื่องหนึ่ง รับรองว่า Sleepy Beauty หรือ เจ้าหญิงนิทราจะต้องเป็นหนึ่งในนั้นอย่างแน่นอน 
โดยที่คนส่วนมากนั้น น่าจะรู้จักเจ้าหญิงนิทรามาจากการ์ตูนของดิสนีย์เมื่อปี 1959 แต่สิ่งที่หลายๆคนไม่ทราบเลยก็คือ ต้นฉบับที่แท้จริงของเจ้าหญิงนิทรา ไม่ได้มาจาก Disney แต่มาจาก ชาร์ล แปโร ในฉบับฝรั่งเศษ และ สองพี่น้อง กริมม์ในฉบับภาษาอังกฤษกับเยอรมันต่างหาก 

นอกจากนั้นแล้ว เรื่องราวในต้นฉบับนั้น แตกต่างจากเรื่องราวในฉบับของดิสนีย์อย่างสิ้นเชิงเรียกได้ว่าคนละด้านกันด้วยซ้ำไป โดยเฉพาะฉบับของสองพี่น้องกริมม์ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องของความโหดและน่าสยดสยอง ในต้นฉบับของสองพี่น้องกริมม์นั้น เจ้าหญิงนิทราไม่ได้ตื่นขึ้นมาจากคำสาปด้วยจุมพิตของเจ้าชาย แต่ตื่นขึ้นมาเพราะว่าเธอถูกข่มขืนจนให้กำเนิดลูกขึ้นมาและทำให้เธอตื่นขึ้นมาต่างหาก 

จะว่าไปแล้วการ์ตูนชื่อดังหลายๆเรื่องของดิสนีย์เอง ตัวต้นฉบับก็มักจะแตกต่างกันคนละด้านอย่างสิ้นเชิงเสมอๆ ไม่ใช่เฉพาะเพียงเจ้าหญิงนิทรา แต่การ์ตูนอีกเรื่องหนึ่งที่โด่งดังมากๆอย่าง นางเงือกน้อย ในตอนจบนั้นเจ้าชายก็ได้ไปแต่งงานกับหญิงอื่น และทำให้นางเงือกน้อยกลายเป็นฟองสบู่ไปในที่สุด แตกต่างจากในการ์ตูนอย่างชัดเจน ซึ่งสาเหตุและที่มาของความโหดร้ายในนิทานสมัยก่อนนั้น ก็เพื่อเป็นการสอนแก่เด็กผู้หญิงว่า "โลกภายนอกนั้นโหดร้ายและทารุณ"นั้นเอง


สำหรับภาพยนตร์เรื่อง Maleficent ในปี 2014 นี้นั้น จะเป็นเรื่องราวของตัวร้ายอย่างมาเลฟิเซนต์ ซึ่งตัวภาพยนตร์สัญญาเอาไว้ว่า มันจะแปลกใหม่ และไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่สิ่งที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้น่าสนใจจริงๆในสายตาของผู้เขียนเลย ไม่ใช่เพราะมันแปลกใหม่เลย แต่เพราะนักแสดงที่จะมารับบทเป็นแม่มดใจร้ายนี้คือ แองเจลินา โจลีต่างหาก ถ้าหากคิดดูแล้ว ใครล่ะบนโลกใบนี้ ที่จะเหมาะสมในการรับบทไปมากกว่าเธอคนนี้ ?


ถึงแม้ว่าตัวภาพยนตร์จะสัญญาว่าเรื่องราวจะแปลกใหม่และแตกต่างเอาไว้ก็ตาม แต่ดูเหมือนว่าในท้ายที่สุดมันก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าไรนัก จากบทภาพยนตร์ที่เอาเข้าจริงเปลี่ยนแค่ไม่กี่อย่าง และสิ่งที่มันเปลี่ยนไปนั้น ก็ไม่ได้เป็นอะไรที่แตกต่างหรือแปลกใหม่อย่างที่ตัวภาพยนตร์โฆษณาเอาไว้เลยแม้แต่น้อย

ไม่ใช่เพียงแค่นั้น ตัวละครทุกตัวในภาพยนตร์นอกจากตัวเอกอย่างมาเลฟิเซนต์เอง ก็ช่างแบนราบ มีเพียงมิติเดียว และแบ่งแยกขาวกับดำอย่างชัดเจน แทบจะไม่มีความเป็นมนุษย์เลยด้วยซ้ำไป คนดีก็ดีเหลือเกิน ตัวร้ายก็ร้ายเหลือเกิน เสมือนกับตัวละครที่ลอกมายังไงก็เอามาเสนออย่างนั้น ไม่มีการตีความอะไรใหม่ หรือเสริมมิติให้กับตัวละครใดๆเลย ทั้งๆที่นิทานเรื่องนี้เก่ามาเป็นร้อยๆปีแล้วก็ตาม

แต่จุดหลักๆที่ดูเหมือนจะเป็นปัญหาใหญ่โตอย่างแท้จริงของภาพยนตร์เรื่องนี้ ดูเหมือนจะเป็นตัวผู้กำกับอย่าง โรเบิรต์ สตรอม์เบิรค์ มากกว่า เนื่องจากเขาทำงานในด้านของวิชวลเอฟเฟคในภาพยนตร์ดังๆมาก่อน ใช่มันทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ของเขา เต็มไปด้วยเทคนิคทางด้านภาพที่อลังการงานสร้าง และสวยงาม แต่ในด้านของการกำกับที่ไร้ประสบการณ์ของเขามันก็ทำให้การเล่าเรื่องและการกำกับของเขานั้น ไม่มีสไตล์และไม่น่าสนใจพอ ไม่ว่าจะเป็นเทคนิคการวางมุมกล้อง , การเล่าเรื่อง หรือแม้กระทั่งการเปิดเรื่องและปิดเรื่อง ที่ช่างจืดชืดไร้สีสันตรงกันข้ามกับภาพที่เขาสร้างสิ้นดี เพียงแค่ภาพและCG นั้นมันไม่เพียงพอเลยแม้แต่น้อยที่จะทำให้ภาพยนตร์สนุกและน่าติดตามได้ มันจะต้องประกอบไปด้วยหลายๆอย่างเช่น บท ตัวละคร หรือเทคนิคต่างๆ ซึ่งจากสาเหตุนี้ เป็นผลที่ทำให้หลายๆช่วงในภาพยนตร์ให้ความรู้สึกน่าเบื่ออยู่ไม่ใช่น้อย


แต่ก็ใช่ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะมีแต่ข้อเสียและความน่าผิดหวังไปเสียหมด มันยังพอมีบางสิ่งที่ยังคงโดดเด่นเพียงพอที่จะสร้างมิติและสีสันให้กับภาพยนตร์อยู่บ้าง

สิ่งหนึ่งที่โดดเด่น ดึงดูดและสร้างพลังให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้อย่างมหาศาลก็คงจะหนีไม่พ้นนางเอกอย่าง แองเจลินา โจลีนั้นเอง ที่ช่างทรงพลัง น่าทึ่งและสร้างมิติให้กับตัวละครร้ายตัวนี้เป็นอย่างมาก ไม่ว่าในฉากไหนๆ ไม่ว่าในท่วงท่าหรือคำพูดใดๆของเธอ ก็ช่างน่าทึ่ง และหยุดทุกลมหายใจเป็นที่สุด เมื่อมานั่งคิดว่าถ้าหากภาพยนตร์เรื่องนี้ ไม่ได้เธอคนนี้มานำแสดงแล้วล่ะก็ มันคงจะดูเป็นเรื่องที่ยากเย็นในการผ่านเวลา 90 นาทีนี้ไปได้โดยที่ไม่หลับเสียก่อน

สิ่งต่อมาที่โดดเด่นไม่แพ้กันเลยก็คือ วิชวลเอฟเฟคของภาพยนตร์ที่ได้พูดไปแล้ว จากการที่ตัวผู้กำกับนั้นมีประสบการณ์ทางด้านนี้มามากพอสมควร จึงทำให้ CG ในภาพยนตร์ช่างสวยงาม ตระการตาสุดๆ บางฉากนั้นมีการจัดแสงที่ให้ความรู้สึกเสมือนกับนั่งดูการ์ตูนที่น่าทึ่งอยู่เหมือนกัน แต่ในส่วนนี้ก็ดูเหมือนจะค่อนข้างครึ่งๆกลางๆ เพราะในบางฉากที่น่าจะทำให้ดูอลังการและน่าทึ่งกว่านี้ได้ กลับถ่ายในที่แคบๆและไม่มีสีสัน สร้างความมึนงงให้กับผู้เขียนอยู่ไม่น้อยกับตัวเลือกนี้ ไม่แน่ใจว่าเป็นผลมาจากงบประมาณของทางดิสนีย์ หรือเป็นผลมาจากการตัดสินใจของผู้กำกับกันแน่ แต่มันก็ได้เกิดขึ้นแล้ว



ในท้ายที่สุดแล้ว ภาพยนตร์เรื่องใหม่ของค่ายหนูมิกกี้เมาส์อย่าง Maleficent ก็ไม่สามารถบรรลุคำสัญญาและเป้าหมายอย่างที่มันได้คาดหวังเอาไว้ซักเท่าไรนัก ไม่ว่าจะในด้านของบทภาพยนตร์หรือการกำกับ สิ่งที่มันพอจะให้ได้ ดูเหมือนจะมีเพียงแค่ CG กับแองเจลิน่า โจลี่เท่านั้นเอง  จะว่าไปแล้วอาจจะเป็นไปได้เช่นเดียวกัน ว่าสไตล์ของภาพยนตร์แฟนตาซีแนวนี้มันได้ตกยุคไปแล้ว ถ้าหากมีค่ายภาพยนตร์ค่ายใดค่ายหนึ่ง สร้างภาพยนตร์ฟอรม์ยักษ์แฟนตาซี แต่เป็นแบบชนิดเนื้อหาที่หนักหน่วง และเต็มไปด้วยความรุนแรง สยดสยอง และเลือด  คงจะเป็นอะไรที่น่าบันเทิงสำหรับผู้เขียนไม่น้อย .


Final Score : [ C ] 

วันพุธที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2557

X-Men ภาคต่อไป อาจจะต้องมีการเปลี่ยนผู้กำกับ ?

Off Story




งานนี้ ชะตากรรมของภาพยนตร์มนุษย์กลายพันธ์อย่าง X-Men : Apocalypse ก็ต้องตกอยู่ในสถานะลำบากอีกแล้ว จากประเด็นการฟ้องร้องข้อกล่าวหาของตัวผู้กำกับอย่าง ไบรอัน ซิงเกอร์ เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา จนทางค่าย 20 Century Fox อดเป็นห่วงไม่ได้ (จากที่อ่านๆดู ไม่แน่ใจว่าเป็นห่วงว่า ไบรอันจะผิด หรือ เป็นห่วงว่าข่าวนี้จะทำให้หนังภาคต่อทำเงินไม่ได้กันแน่) งานนี้ก็ต้องรอดูกันต่อไปว่าทางค่ายจะยังคงให้ ไบรอัน กำกับภาคต่อไปหรือไม่ หรือว่า จะนำตัวผู้กำกับคนใหม่เข้ามาแทน




ข่าว - 
http://www.movieweb.com/news/is-director-bryan-singer-being-forced-to-exit-x-men-apocalypse

วันจันทร์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2557

กระแส Hype กับ Next-Gen ?

Off Story


เกม Watch Dogs ถือเป็นตัวอย่างที่ดีของกระแสการ Hype หรือตั้งความคาดหวังสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากจนเกินไป แต่เมื่อตัวผลงานชิ้นนั้นๆมันออกมาจริงๆแล้วไม่ได้ดีอย่างที่คาดหวัง ทำให้เกิดกระแสตีกลับและต่อต้านอยู่พอตัว (แต่ประเภทให้ 1 หรือ 2 คะแนนนี้ก็ไม่ไหวนะ) ซึ่งจะว่าไปก็ถือเป็นความผิดของทั้งสองฝ่าย ฝ่ายผู้ผลิตเกมอย่าง Ubisoft เองก็เหมือนสัญญาอะไรไว้ซะยิ่งใหญ่ โดยเฉพาะตัวอย่างเกมเพลย์ที่นำไปเปิดใน E3 ปีที่แล้ว พอตัวเกมออกมาจริงๆตัว CG และกราฟฟิคมันกลับไม่ได้เป็นอย่างที่นำมาเปิด(เรียกได้ว่าน่าด่าพอตัว) แต่ในอีกด้านหนึ่งผู้เล่นเองก็เรียกได้ว่า "หื่นกระหาย" เกมที่เรียกได้ว่าเป็น "Next-Gen"แท้ๆ จากการมาของ PS4 , Xbox One 

ซึ่งในขณะนี้ก็คงยังพูดยากว่าเกมไหนที่สมกับเป็น Next-Gen จริงๆ เพราะดูๆไปก็ไม่ได้หวือหวาอะไร ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะตลาด Generation เก่าอย่าง PS3 , Xbox 360 ยังอยู่ได้ดีด้วยส่วนหนึ่ง สงสัยคงต้องวนกลับมาคิดเรื่องนี้กันใหม่ในอีกซัก 1-2 ปีข้างหน้า ณ ตอนนี้ก็สนุกไปกับตัวเกมปัจจุบันไปก่อนละกันเนอะ

The Grand Budapest Hotel ( 2014 ) Movie Review

The Grand Budapest Hotel ( 2014 ) บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz




โรมแรมที่ยอดเยี่ยมที่สุด


              The Grand Budapest Hotel ว่าด้วยเรื่องราวของโรงแรมแห่งหนึ่งในยุโรปที่ต้องเผชิญกับปัญหาระหว่างช่วงสงครามที่นำไปสู่เรื่องราววุ่นวายมากมาย ท่ามกลางนั้น กุสตาฟได้พบกับซีโร่เด็กชายพนักงานโรงแรมที่ผจญภัยไปร่วมทางกับเขา สู่เรื่องราวที่น่าตื่นเต้น

              The Grand Budapest Hotel เป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์ที่คอภาพยนตร์หลายคน ตั้งตารอคอยกันมากเลยทีเดียวไม่ว่าจะเป็นในด้านของผู้กำกับชื่อดังอย่าง เวส แอนเดอร์สัน หรือตัวอย่างภาพยนตร์ที่ช่างมีสีสันตระการตาเสียเหลือเกิน


แต่สิ่งที่ดูเหมือนจะเตะตาและทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้น่าสนใจเสียจริงๆสำหรับหลายคน ก็คงจะหนีไม่พ้นทีมนักแสดงชื่อดังและมากฝีมือ ที่เข้ามารวมตัวกันที่โรงแรมแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็น บิล เมอรรีย์ , เอ็ดเวิร์ด นอร์ตัน , เอเดรียน โบรดี , วิลเลี่ยม ดาโฟ , เจฟฟ์ โกลด์บลุม , ทิลด้า สวอนตัน , ทอม วิลกินสัน , ฮาร์วีย์ คีเทล , โอเวน วิลสัน ,  เซียร์ชา โรแนน , จู้ด ลอว์ , เอฟ. มัวเรย์ อับราฮัม  นี้ยังเป็นเพียงแค่ดาราส่วนหนึ่งเท่านั้น ซึ่งจากที่กล่าวมาแต่ละท่านนั้นเรียกได้ว่ามีฝีมือระดับมหากาฬ หรือมีชื่อเสียงกันทั้งนั้น แต่หลายๆคนที่กล่าวมานั้นส่วนใหญ่จะรับเป็นคล้ายๆกับบทรับเชิญเสียมากกว่า ส่วนบทหลักและตัวละครหลักจริงๆ จะไปตกอยู่กับที่ โทนี่ เรโวโลริ กับ เรล์ฟ ไฟนส์ 


เมื่อผู้เขียนได้ชมภาพยนตร์แล้ว สิ่งที่สังเกตุได้เป็นอย่างแรกๆเลยในภาพยนตร์เรื่องนี้ ก็คือโปรดัคชั่น ดีไซน์ กับ การเคลื่อนไหวของกล้องที่โดดเด่นมากๆ
ในด้านของโปรดัคชั่น ดีไซน์ ก็ต้องขอชมทีมโปรดัคชั่นเสียจริงๆ เพราะพวกเขาออกแบบฉาก โรงแรม สิ่งของต่างๆออกมาได้อย่างน่าทึ่ง น่าตื่นตาตื่นใจเสียจริงๆ และพวกเขาใส่ใจทุกๆรายละเอียด ทุกๆชิ้นส่วนในฉากอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะเป็นฉากใดๆก็ตามในภาพยนตร์ คุณมักจะเห็นรายละเอียด ที่คอยบอกเรื่องราวและสร้างสีสันให้กับภาพยนตร์อยู่ตลอดเวลา


อีกส่วนหนึ่งก็คือการเคลื่อนไหวของกล้องในภาพยนตร์ ที่ตลอดเวลา 1 ชั่วโมง 40 นาที มักจะมีการเคลื่อนไหวที่ผสมผสานกับเรื่องเล่า และฉากได้อย่างน่าทึ่งตลอดเวลา ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ทำได้ยากมาก การที่จะต้องวางมุมกล้องต่างๆให้เปะ และสมดุลซ้าย-ขวา บนและล่างอยู่ตลอดเวลา ซึ่งทีมงานก็ทำหน้าที่นี้ได้อย่างเพอร์เฟ็คที่สุด    
และเมื่อนำจุดเด่นสองสิ่งนี้เข้ามารวมกันระหว่าง โปรดัคชั่น ดีไซน์ที่น่าทึ่ง กับการเคลื่อนไหวของกล้องที่น่าตื่นตาตื่นใจ ทำให้ตัวภาพยนตร์ The Grand Budapest Hotel กลายเป็นภาพยนตร์ที่สนุกสนาน น่าสนใจ และน่าตื่นตาตื่นใจอยู่ตลอดเวลา เพราะตัวภาพยนตร์มักจะมีวิธีที่จะสร้างเทคนิคหรือฉากใหม่ๆให้เราได้ตื่นเต้นกับมันอยู่ตลอดเวลานั้นเอง

ในด้านของการกำกับของเวส แอนเดอร์สันแล้วก็ต้องขอชมว่าเขาทำหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยมจริงๆ จากสไตล์การกำกับที่เต็มไปด้วย เสียงหัวเราะ และสีสันอยู่ตลอดเวลา  นอกจากนั้นแล้วการเล่าเรื่องของเขาก็น่าสนใจมากๆเลยทีเดียว ถึงแม้ว่าตัวภาพยนตร์จะยืนกรานว่ามีจุดหลักว่าเป็นภาพยนตร์แนวตลกก็ตาม แต่เมื่อผู้เขียนได้ชมจริงๆแล้ว กลับพบว่ามันแอบแฝงอารมณ์และสไตล์ต่างๆเอาไว้มากกว่านั้น ไม่ว่าจะเป็นการผจญภัย , ฆาตกรรม หรือ แม้กระทั่งแฟนตาซี ซึ่งทำให้ตัวภาพยนตร์ชิ้นนี้ของเขานั้นมีความเป็นเอกลักษณ์มากๆเลยทีเดียว

สำหรับท่านใดที่สนใจที่จะชมภาพยนตร์เรื่องนี้โดยที่มีสาเหตุหลักมาจากนักแสดง ก็ต้องขอพูดเลยว่าไม่ผิดหวังแน่นอน นักแสดงที่ถูกรับเชิญมาในภาพยนตร์เรื่องนี้ส่วนใหญ่นั้น แต่ละท่านนำแสดงผลงานได้อย่างสนุกสนาน และน่าจดจำไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว โดยเฉพาะ โทนี่ เรโวโลริ กับ เรล์ฟ ไฟนส์ ที่นำแสดงทั้งเรื่องได้อย่างยอดเยี่ยม ทั้งๆที่ต้องรับบทหนักจากตัวภาพยนตร์ที่มีหลากหลายอารมณ์อยู่ตลอดเวลา


ในด้านของบทภาพยนตร์ The Grand Budapest Hotel นั้น จะว่าไปแล้วหลักๆมันก็ไม่ได้เป็นบทที่จะพลิกแพลงหรือเต็มไปด้วยทฤษฏีต่างๆมากมาย แต่มันกลับเป็นบทที่ค่อนข้างจะมีความเป็นพื้นฐาน เข้าใจง่าย และอาศัยฝีมือและสไตล์ของผู้กำกับ เวส แอนเดอร์สันเป็นตัวเติมแต่งเรื่องราวทางอ้อมเสียมากกว่า จึงทำให้ด้านนี้กลายเป็นด้านที่จะว่าดีแล้วก็คงใช่ จะว่าแย่ก็คงไม่เชิงเสียทีเดียว แต่ในอกด้านหนึ่ง เมื่อเรามานั่งดูรายละเอียดของมันจริงๆแล้ว ตัวภาพยนตร์เองก็ไม่ได้มีเพียงแค่เสียงหัวเราะ หรือสีสันที่สวยงามเท่านั้น แต่มันกลับแฝงไปด้วยการเสียดสีสังคมมนุษย์ และโลกที่โหดร้ายนี้ได้อย่างแสนเจ็บปวดอีกด้วย


ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าในท้ายที่สุดแล้วภาพยนตร์เรื่อง The Grand Budapest Hotel ช่างเป็นภาพยนตร์ที่น่าจดจำมากที่สุดในปีนี้อีกเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว จากทีมนักแสดงที่สร้างความตลกขบขันและน่าจดจำทุกๆคน โปรดัคชั่น ดีไซน์ที่ยอดเยี่ยม ตระการตา ผสมผสานกับการเคลื่อนไหวของกล้องที่น่าทึ่ง และปิดท้ายด้วยสไตล์การเล่าเรื่องที่่ชาญฉลาดของผู้กำกับ เวส แอนเดอร์สัน ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้กลายเป็นภาพยนตร์อีกเรื่องที่นักชมภาพยนตร์ทุกคนห้ามพลาดเด็ดขาดเลยทีเดียว


Final Score : [ A- ] & [ Must See Badge ]



สามารถ Comment บทวิจารณ์หรือติดต่อผู้เขียนโดยตรงได้ที่ fallsdownzth@gmail.com ครับผม ขอบคุณครับ :) .

วันศุกร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2557

Edge of Tomorrow ( 2014 ) Movie Review by FallsDownz

Edge of Tomorrow ( 2014 ) Movie Review by FallsDownz


ภาพยนตร์ แอ็คชั่น / ไซไฟ ที่มีสไตล์การเล่าเรื่องกับฉากแอ็คชั่นที่ยอดเยี่ยม 
แต่ขาดความเป็น "มนุษย์" อย่างสิ้นเชิง







                               Edge of Tomorrow เป็นภาพยนตร์แนว แอ็คชั่น / ไซไฟ ของค่าย Warner Bros. ที่มีต้นฉบับมาจากหนังสือนวนิยายของประเทศญี่ปุ่นในชื่อ " All You Need Is Kill " ซึ่งต้องขอเริ่มบทวิจารณ์จากการบอกก่อนเลยว่า ผู้เขียนไม่เคยอ่านตัวหนังสือนวนิยายมาก่อนเลย เพราะฉะนั้นบทวิจารณ์ชิ้นนี้ จะไม่มีการเปรียบเทียบระหว่างตัวนิยายกับตัวภาพยนตร์แต่อย่างใด แต่จะเป็นบทวิจารณ์ที่มาจากประสบการณ์ในการชมภาพยนตร์เรื่องนี้ล้วนๆ


ภาพยนตร์เรื่อง Edge of Tomorrow ว่าด้วยเรื่องราวของเคจ ที่ถูกส่งไปรบในสนามรบ หลังจากที่เขาลงไปในสนามรบได้เพียง 5 นาทีเขาก็ถูกฆ่า แต่แทนที่เขาจะตาย เขากลับพบว่าตัวเองจะตื่นขึ้นมาในวันก่อนหน้าที่เขาจะถูกส่งไปรบเสมอๆ วนเวียนไปเช่นนี้เรื่อยไป จึงทำให้เขากลายเป็นกุญแจหลักสำคัญในการเอาชนะสงครามที่ดูจะสิ้นหวังครั้งนี้


" เกิด ตาย วนเวียน " คำโปรยนี้ของตัวภาพยนตร์ Edge of Tomorrow ดูเหมือนจะเป็นคำพูดที่อธิบายตัวมันเองได้อย่างชัดเจนที่สุด เพราะถ้าหากมองแต่เพียงบทภาพยนตร์หลักลำพังอย่างเดียวของมันนั้น  Edge of Tomorrow เป็นภาพยนตร์ที่แทบจะไม่มีอะไรใหม่เลย  แต่ด้วยความที่ตัวภาพยนตร์ใส่เรื่องราวของการ "วนเวียน" ตายแล้วเกิดใหม่ ตายแล้วเกิดใหม่ เช่นนี้เข้าไป มันทำให้การเล่าเรื่องของ Edge of Tomorrow โดดเด่นขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด มันทำให้เราคอยลุ้นอยู่ตลอดเวลา ว่าพระเอกอย่าง ทอม ครูซ จะฝ่าฟันอุปสรรคข้างหน้าไปได้อย่างไร 


นอกจากนั้นแล้ว การที่มันนำสไตล์การเล่าเรื่องเช่นนี้เข้ามาผสมผสานกับตัวบทภาพยนตร์ มันเป็นการอุดรูรั่ว ช่องโหว่ และช่องว่างที่ไร้เหตุผลในบางจุดของภาพยนตร์แนวนี้ส่วนใหญ่ได้อย่างแนบเนียน และขยายขอบเขต ความกว้างที่ตัวภาพยนตร์จะไปได้มากขึ้นไปอีก เช่นถ้าหากเป็นภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ การที่ตัวเอกรู้ทุกอย่างว่าศัตรูจะมาจากทางไหน ก้าวต่อไปควรจะทำอย่างไร และฉลาดเหนือมนุษย์เช่นนี้ มันคงจะสร้างความไม่สมเหตุสมผลอยู่ไม่น้อย แต่ในภาพยนตร์ Edge of Tomorrow เราทราบดีว่า ที่พระเอกรู้เช่นนี้ ก็เพราะเขาเคยมาในเหตุการณ์นี้มาก่อนแล้วนั้นเอง เขาจึงรู้ว่าศัตรูจะมาจากทางไหน กี่ตัว และก้าวต่อไปควรจะทำอย่างไร ซึ่งตัวภาพยนตร์ก็เล่นกับจุดนี้ได้เป็นอย่างดี และยอดเยี่ยม


ต้องขอชมผู้กำกับ ดั๊ก ไลแมน ที่กำกับภาพยนตร์ได้เป็นอย่างดีไม่ว่าจะในด้านของการเล่าเรื่อง การดำเนินเรื่องที่น่าติดตาม , การกำกับฉากแอ็คชั่นที่ยอดเยี่ยม สนุก ตื่นเต้น และการวางมุมกล้อง ความเคลื่อนไหวของกล้องที่ยอดเยี่ยมของเขา อีกทั้งยังแอบแฝงความเป็นตลกขบขัน และ โรแมนติกเข้าไปเพิ่มสีสันให้กับภาพยนตร์ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย เป็นผลทำให้ Edge of Tomorrow เป็นภาพยนตร์ที่สนุก และบันเทิงอยู่พอสมควรในทุกๆช่วงเวลาของภาพยนตร์ จากการกำกับที่ยอดเยี่ยมของเขา


อีกส่วนหนึ่งของภาพยนตร์ที่น่าชื่นชมไม่น้อยเลยก็คือ ทีมนักแสดงหลักของตัวภาพยนตร์เอง ซึ่งจะเห็นได้ชัดเลยว่า ทุกคนพยายามที่จะเติมแต่งและสร้างมิติต่างๆให้กับตัวละครในภาพยนตร์ จากการแสดงที่ยอดเยี่ยมในระดับหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็น พี่ทอม ครูซ หรือ เอมิลี บลันต์ แต่ถ้าถามผู้เขียนแล้วล่ะก็ นักแสดงที่ถูกใจผู้เขียนมากที่สุดก็ต้องยกเต็มๆให้กับ บิล แพกซ์ตัน ที่ยังคงแสดงบทบาทตัวร้ายได้อย่างแสบสัน และถูกใจเช่นเคย 


แต่ในอีกด้านหนึ่ง ตัวภาพยนตร์ Edge of Tomorrow เอง ก็มีบางสิ่งบางอย่างที่ขาดหายไปอยู่เช่นกัน และสิ่งเหล่านี้มันก็ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่คอยบดบัง และขัดแข้งขัดขาจุดเด่นของภาพยนตร์เรื่องนี้อย่างน่าเสียดาย

 อย่างแรกเลยก็คือ บทภาพยนตร์เพียวๆ ที่ถ้าหากตัดสไตล์การเล่าเรื่องชนิดวนลูปไปทั้งหมด ตัวภาพยนตร์นั้นแทบจะไม่เหลืออะไรที่น่าสนใจอีกเลย เพราะบทเพียวๆของมันนั้น เต็มไปด้วยความซ้ำซากจำเจ จากจุด A ไปจุด B กับตัวละครที่ตัดแปะมาจากแม่แบบ ไม่ต่างจากภาพยนตร์แอ็คชั่นเรื่องอื่นๆ แม้แต่ในส่วนของการให้เหตุผลในจุดของการวนเวียน ตายแล้วเกิดใหม่ของภาพยนตร์เอง ก็ยังให้แบบผิวเผิน และไม่ลึกพอ ยังคงค้างคาคำถามเอาไว้อยู่พอตัว และที่สำคัญเหตุเกิดของมัน ก็ช่างง่ายดายและสะดวกสบายจนเกินไป


จุดต่อมาก็คือ "ตัวละคร"เพียวๆไม่นับการแสดงของนักแสดงในภาพยนตร์ ที่เรียกได้ว่าเป็นจุดที่อ่อนแอและเสียหายร้ายแรงที่สุดของ Edge of Tomorrow เลยก็ว่าได้ จากการที่ตัวผู้กำกับ ดั๊ก ไลแมน มัวแต่วุ่นอยู่กับการเล่าเรื่องชนิดวนลูป จนทำให้เขาลืมไปว่ายังมีตัวละครที่จะต้องเล่า และปูเรื่องราวอยู่อีก เพราะเวลาในภาพยนตร์ที่ให้กับการปูเรื่องราว ความสัมพันธ์ ทัศนะคติ และบุคลิกของตัวละครเหล่านี้มันช่างน้อยเหลือเกิน จนทำให้ตัวละครเหล่านี้ไม่น่าสนใจ และน่าเห็นใจเท่าที่ควร ที่สำคัญเลยก็คือ ตัวละครเหล่านี้มันก็ช่างจะสุดแสนซ้ำซาก จำเจ Cliche สุดขีด เป็นตัวละครที่คุณจะเห็นได้ในภาพยนตร์แอ็คชั่นแทบจะทุกเรื่อง ซึ่งจุดนี้ก็ยิ่งซ้ำเติมความล้มเหลวของตัวละครในภาพยนตร์เข้าไปอีก


ในเมื่อตัวละคร ในภาพยนตร์ของคุณทำออกมาได้อย่างไม่น่าประทับใจ และไม่น่าสนใจเท่าไรนัก ผลที่ตามมาอีกส่วนเหมือนกรรมตามสนองก็คือ อารมณ์ร่วมในหลายๆส่วนของภาพยนตร์ที่ขาดหายไป ในบางฉากของภาพยนตร์ที่เราควรจะเห็นใจ เอาใจช่วยตัวละครเหล่านี้ ผู้เขียนกลับไม่ได้รู้สึกอยากที่จะเอาใจช่วยหรือเห็นใจตัวละครเหล่านี้อย่างที่ตัวภาพยนตร์หรือผู้กำกับ ดั๊ก ไลแมน อยากที่จะให้เป็นเลย ซึ่งเป็นผลมาจากการปูเรื่องตัวละครที่แย่และล้มเหลวของภาพยนตร์


เมื่อนำทุกๆส่วนมารวมกันก็เป็นผลซึ่งนำไปสู่บทสรุปในท้ายที่สุดว่า ภาพยนตร์เรื่อง Edge of Tomorrow ก็เป็นภาพยนตร์แอ็คชั่น / ไซไฟ ที่บันเทิงและตื่นเต้นอยู่พอตัว จากการกำกับที่ยอดเยี่ยมของ ดั๊ก ไลแมน และทีมนักแสดงที่ยอดเยี่ยม เพียงแต่ว่าหลังจากที่ภาพยนตร์จบลงแล้ว ทุกๆอย่างมันก็ดูเหมือนจะจบลงไปพร้อมๆกับความสนุกนั้นเช่นเดียวกัน ไม่เหลืออะไรที่น่าจดจำและความทรงจำกับมันอีก มันน่าเห็นใจไม่น้อยที่ตัวภาพยนตร์พยายามที่จะทำตัวให้ดูเหมือนฉลาด แต่เมื่อเราเอามันมาจับชำแหละและวิเคราะห์เข้าจริงๆแล้ว มันกลับไม่ได้ "ฉลาด" อย่างที่ตัวมันคิดว่ามันเป็นซักเท่าไรนัก


Final Score : [ B ] 



สามารถ Comment บทวิจารณ์หรือติดต่อผู้เขียนโดยตรงได้ที่ fallsdownzth@gmail.com ครับผม ขอบคุณครับ :) .