วันเสาร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2558

The Boy and the Beast ( 2015 ) Movie Review

The Boy and the Beast ( 2015 ) บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz


"สายสัมพันธ์ไร้ข้อจำกัด"


ท่ามกลางภาพยนตร์มากมายในช่วงนี้ไม่ว่าจะใหญ่หรือเล็ก The Boy and the Beast หรือในชื่อญี่ปุ่นว่า Bakemono no ko คือสุดยอดผลงานล้ำค่าส่งท้ายปี 2558 อย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่ามองอย่างผิวเผินทางด้านของเรื่องราวต่างๆจะค่อนข้างสูตรสำเร็จ แต่ตัวผู้กำกับ มาโมรุ โฮโซดะ ก็ดัดแปลงบทและผสมผสานให้เข้ากับธีมของภาพยนตร์ได้อย่างยอดเยี่ยม เฉกเช่นการสอดแทรกนวนิยาย The Whale หรือโมบี้ดิค ของเฮอร์มัน เมลวิลล์ ให้เข้ากับเรื่องที่เกิดขึ้นในภาพยนตร์ซึ่งพูดถึงการดิ้นรนและเอาชนะตัวเองของมนุษย์ได้อย่างน่าทึ่ง (ซึ่งจะว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องที่บังเอิญอย่างน่าตลกเพราะภาพยนตร์อย่าง In the Heart of the Sea ที่เข้าฉายในต้นเดือนที่ผ่านมาก็มีเรื่องราวจากโมบี้ดิคเต็มตัว)



ในด้านการกำกับของมาโมรุ โฮโซดะ ถือได้ว่าน่าทึ่ง เนรมิตและสร้างสรรค์โลกและสังคมแห่งสัตว์ได้อย่างน่าสนใจ ทั้งยังเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้อย่างเป็นธรรมชาติ น่าหลงใหล ชวนติดตาม และยังเชื่อมโยงตัวละครต่างๆได้เป็นอย่างดี การผจญภัยของสองตัวละครหลักคิวตะกับคุมะเท็ตสึก็เต็มไปด้วยสีสันทำให้ภาพยนตร์รู้สึกเคลื่อนที่และบันเทิงตลอดเวลา

อย่างไรก็ตามสิ่งที่ทำให้ The Boy and the Beast ไม่น่าจดจำเท่าที่ควร คงจะหนีไม่พ้นการตัดสินใจที่จะหันมาพูดถึงการต่อสู้ระหว่างตัวเอกกับตัวร้ายในที่สุด ซึ่งน่าเสียดายที่ตัวร้ายนี้ยังถูกปูเรื่องมาได้ไม่ดีพอ เอาจริงๆก็เป็นมาจากตัวภาพยนตร์เองที่ก็มัวแต่ไปสนใจกับสองตัวละครเอก ทำให้พอตัดหันมาพูดถึงตัวร้าย ตัวละครนี้ก็กลับจืดชืด ไม่มีความน่าสนใจหรือความน่าเห็นใจเท่าที่ควรไปแล้ว ทำให้บทสรุปของเรื่องไม่กระแทกจิตใจเท่าที่ควรจะเป็น

ในท้ายที่สุดแล้ว สิ่งที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำได้อย่างน่าทึ่งที่สุด ก็ดูจะเป็นการสอดแทรกประเด็นครอบครัว พูดถึงความสำคัญของสถาบันครอบครัว ความรักและการยอมรับจากพวกเขาที่สำคัญจนเป็นเสมือนปัจจัยสี่


แต่ The Boy and the Beast ก้าวหน้าไปอีกขั้นหนึ่งด้วยการพูดถึงว่าความรักเหล่านี้ไม่ได้ถูกแบ่งแยกหรือจำเป็นจะต้องมีอะไรมากำหนด ขอเพียงแค่คนๆนั้นรักเราอย่างแท้จริง ยอมที่จะทำทุกสิ่งเพื่อเรา โดยไม่หวังสิ่งใดๆตอบแทน เพียงเท่านี้ก็พอแล้ว ไม่ว่าเขาคนนั้นจะเป็นใคร มาจากไหน มีฐานะอย่างไร หรือกระทั่งเผ่าพันธุ์ใดก็ตาม นี้เป็นสิ่งที่ถูกถ่ายทอดออกมาได้อย่างกลมกล่อม ลึกซึ้ง และเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดของภาพยนตร์เรื่องนี้เลยทีเดียว

Final Score: [ 7.5 / 10 ]

วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2558

Goosebumps (2015) Movie Review


Goosebumps (2015) บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz



"ขนหัวลุกอย่างเพลิดเพลิน"


   ม่น่าเชื่อเลยว่า นวนิยายสุดโด่งดังอย่าง Goosebumps หรือในชื่อไทยสุดคุ้นหูอย่างชมรมขนหัวลุกจะได้โอกาสมาโลดแล่นบนจอภาพยนตร์เสียที หลังจากที่อยู่คู่กับคนทั่วโลกมานานแสนนานตั้งแต่ปี 1992

แน่ละว่าการมารับบทนำของ แจ็ค แบล็ค ก็ดูจะเป็นเรื่องที่ไม่แน่ใจว่าดีหรือไม่ดีกันแน่ เนื่องจากผลงานที่ขึ้นๆลงๆตลอดของเขา อย่างไรก็ตามถ้าหากใครได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้ก็อาจจะเชื่ออย่างเต็มเปาว่าคงไม่มีใครจะเหมาะไปกว่าแจ็ค แบล็คผู้นี้อีกแล้ว



อย่างไรก็ตามความรู้สึกในช่วง 30 นาทีแรกของความพยายามในการนำแฟรนไชส์หนังสือชื่อดังเรื่องนี้ มาถ่ายทอดลงบนจอภาพยนตร์ก็ดูน่าเป็นห่วงเอาการเพราะนี้เรียกได้ว่าเป็นจุดที่อ่อนแอที่สุดของภาพยนตร์เลยก็ว่าได้

ด้วยการเล่าเรื่องของผู้กำกับ ร็อบ เลทเทอร์แมน ที่ยังขาดชั้นเชิง ซ้ำร้ายบทก็แสนจืดชืด ซ้ำซากเหลือเกิน ว่าด้วยเรื่องราวของตัวละครที่ย้ายถิ่นฐานเข้ามาพบกับเพื่อนบ้านหรือคนใกล้ชิดที่แอบซ่อนความลับเอาไว้ จนนำไปสู่การผจญภัยอันแสนตื่นเต้น บลาๆ เรียกได้ว่าเป็นพล็อตสุดคลาสสิกที่เราคงเคยเห็นกันมาแล้วไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ ซึ่งนั้นไม่ใช่ปัญหา ปัญหามันอยู่ที่ Goosebumps ล้มเหลวในการสร้างความแตกต่าง หรือสร้างความโดดเด่นในส่วนนี้ของมันให้แตกต่างจากเรื่องอื่นๆต่างหาก

อีกสิ่งที่น่ารำคาญไม่ใช่น้อยเลย ก็คือความพยายามในการยัดเยียดหลายสิ่งอย่างเข้าไปในปากผู้ชม เฉกเช่นพอต้องการจะเล่าถึงปมหลังของตัวละครเอก ก็จะพูดซ้ำแล้วซ้ำอีกหลายต่อหลายรอบ แถมยังไปไกลถึงขนาดที่ให้ตัวละครพูดในทำนองที่ว่า "มันไม่มีอะไรหรอก" เพื่อเป็นการบอกใบ้อย่างสุดฤทธิ์ให้ผู้ชมรู้ว่ามันต้องมีอะไรแน่ๆอีกต่างหาก ในส่วนหนึ่งก็เข้าใจว่านี้เป็นภาพยนตร์ที่ดัดแปลงมาจากหนังสือนวนิยายเด็ก แต่ในเมื่อกลายมาเป็นภาพยนตร์แล้วข้ออ้างนั้นก็ดูจะเริ่มฟังไม่ขึ้นเข้าไปทุกทีๆ



แต่เป็นที่โชคดีสุดๆของ Goosebumps ที่มันเสมือนได้สติขึ้นมากลางคัน ตื่นขึ้นและเฉิดฉายขึ้นมาในกลางเรื่อง ซึ่งนั้นเป็นจุดที่เหล่าสัตว์ประหลาด ภูติผีปีศาจสุดแสนจะจินตนาการทั้งหลายต่างผุดขึ้นมากันอย่างไม่จบสิ้น และจุดนี้เองที่กลายเป็นสิ่งที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้โดดเด่น 

นอกจากเหล่าปีศาจนี้จะน่าสนใจแล้ว การเล่าเรื่องของ ร็อบ เลทเทอร์แมน ก็ดูจะดีขึ้นมาอย่างทันตาเห็น สร้างสรรค์การผจญภัยของเหล่าตัวละครได้อย่างน่าค้นหา น่าติดตาม และคอยหยอดมุขอยู่เนืองๆได้อย่างดี ถึงแม้ว่าจะแปกค่อนข้างบ่อยก็ตาม

ที่ดูจะน่าจับตามองจริงๆเลยก็คงจะหนีไม่พ้นนักแสดงที่แปะชื่อให้เห็นกันอย่างชัดเจนบนโปสเตอร์ภาพยนตร์เรื่องนี้อย่าง แจ็ค แบล็ค ซึ่งเขารับบทตัวละครใน Goosebumps ได้อย่างมีเสน่ห์ทีเดียว ไม่ว่าจะมองมุมไหนตัวละครนี้ก็ดูจะเหมาะสมกับแนวทางการแสดงของ แจ็ค แบล็ค ไปเสียหมด เสมือนจิ๊กซอว์ที่ต่อกันได้ลงตัวพอดิบพอดี



ในเมื่อพูดถึงตัวละครแล้ว ตัวละครที่จะไม่พูดถึงไม่ได้ในภาพยนตร์เรื่องนี้เลย ก็คือเจ้าหุ่นกระบอกวายร้ายสุดแสบอย่าง สแลปปี้ ซึ่งกระโจนขึ้นมากลายเป็นตัวละครที่โดดเด่นที่สุดในทันที จากความเจ้าเล่ห์ ความยียวนกวนทีน และเบื้องลึกเบื้องหลังที่สะท้อนปมขัดแย้งของตัวละครนี้ได้อย่างน่าติดตามเหลือเกิน ซ้ำปมขัดแย้งนี้ยังถูกถ่ายทอดและสะท้อนได้อย่างมีชั้นเชิง เข้าไปสัมพันธ์กับเนื้อของภาพยนตร์ได้อย่างลงตัวอีกด้วย

ซึ่งก็คือการให้กำลังใจต่อคนที่ถูกรังแกหรือปิดกั้นตนเองจากโลกภายนอก ให้ความกล้าในการหันกลับมาเผชิญหน้าความเป็นจริง ถึงแม้ว่าโลกแห่งความเป็นจริงมันจะช่างแสนโหดร้าย น่ากลัว และสยดสยองไม่ต่างจากเหล่าสัตว์ประหลาดเหล่านี้ แต่มันก็ยังมีเรื่องราวที่ช่างน่าตื่นเต้น น่าค้นหา และความสุขรอคอยอยู่เช่นเดียวกันนั้นเอง

ถ้าหากจะมีจุดใดที่ Goosebumps สามารถแก้ไขและพัฒนาไปได้มากกว่านี้ ก็คงจะเป็นทางด้านของเหล่าตัวร้ายทั้งหลาย ที่ในภาพยนตร์โดนทางสแลปปี้เบียดจนตกขอบกลายเป็นแค่ตัวประกอบฉากกันไปซะหมด ทั้งๆที่ตัวละครภูติปีศาจหรือสัตว์ประหลาดตัวอื่นๆทั้งหลายซึ่งถูกสร้างสรรค์โดยนักเขียนอย่าง อาร์.แอล. สไตน์ ก็ต่างมีความน่าสนใจและความโดดเด่นที่ไม่แพ้กันเลย การที่ตัวภาพยนตร์ตัดสินใจที่จะดึงตัวละครเพียงตัวเดียวออกมาใช้อย่างจริงจังถือได้ว่าเป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง ถึงแม้ว่าตัวละครที่ดึงออกมาจะยอดเยี่ยมมากเท่าไรก็ตาม



สุดท้ายแล้ว Goosebumps ก็ถือได้ว่าเป็นภาพยนตร์ที่นำเรื่องราวเหล่าภูติผีปีศาจและสัตว์ประหลาดของ อาร์.แอล. สไตน์ ออกมาใช้ได้ไม่เลวเลยทีเดียว ถึงแม้ว่าจะมีปัญหาทั้งใหญ่และเล็กผสมปนเปกันไปอยู่บ้าง แต่ท้ายที่สุด ผลที่ได้ออกมาก็เป็นประสบการณ์ที่เหมือนนั่งรถไฟเหาะตีลังกาขนาดย่อมๆ ผสมกับการเดินเข้าบ้านผีสิงจนกลายมาเป็นความทรงจำขนหัวลุกอย่างเพลิดเพลินที่ดีไม่น้อยเลยทีเดียว


Final Score : [ 6.5 / 10 ]

วันเสาร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2558

Star Wars: The Force Awakens (2015) [No-Spoil] Movie Review


Star Wars: The Force Awakens (2015) บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz (No-Spoil)



"The Return of the King ?"

     ถึงแม้ว่าส่วนตัวจะไม่ใช่แฟนพันธุ์แท้แฟรนไชส์ Star Wars หรือแม้แต่ Star Trek อะไรซักเท่าไรนัก แต่เชื่อเลยว่าคงไม่มีคอหนังคนไหนจะสามารถปฏิเสธความยิ่งใหญ่ของแฟรนไชส์ภาพยนตร์ไซ-ไฟที่อาจจะถึงขั้นพูดได้ว่า "คลาสสิก" จนกลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับภาพยนตร์อื่นๆมากมาย


อย่างไรก็ตาม Star Wars ภาคล่าสุด Episode I - Episode III ในปี 1999 จนถึงปี 2005 ดูจะเป็นผลงานสุดท้ายของคุณพ่อจอร์จ ลูคัสที่ไม่ค่อยน่าจดจำสำหรับแฟนๆซักเท่าไรนัก แน่ละว่าพอมีการประกาศภาคใหม่ The Force Awakens แถมยังได้ผู้กำกับมากฝีมืออย่าง เจ.เจ. อบรัมส์ มานั่งแท่นกำกับอีก เชื่อว่าเป็นใครก็คงจะอดตื่นเต้นไม่ได้ ถึงขั้นที่ว่ากระทั่งตัวภาพยนตร์ยังไม่ทันได้เข้าฉายก็เล่นทุบสถิติยอดจองตั๋วล่วงหน้ากันเป็นว่าเล่นเลยทีเดียวเชียว



Star Wars: The Force Awakens ว่าด้วยเรื่องราวหลังจากจักรวรรดิกาแลกติกได้พ่ายแพ้ลง ภัยอันตรายใหม่ได้คืบคลานเข้ามาอีกครั้งในนามของ 'The First Order' เหล่าฮีโร่หน้าใหม่และเก่าจึงต้องรวมตัวกันเพื่อกอบกู้จักรวาลให้พ้นภัยอันตรายอีกครั้ง


ถึงแม้ว่า The Force Awakens จะยังไม่ใช่ภาพยนตร์ที่สมบูรณ์แบบและเหนือความคาดหมายมากเท่าใดนัก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าผลงานที่อยู่ในมือการกำกับของ เจ.เจ. อบรัมส์นี้ คือการประกาศศักดาของการกลับมาสำหรับหนึ่งในแฟรนไชส์ฮอลลีวูดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเรื่องหนึ่ง


เจ.เจ. อบรัมส์ ยังคงพิสูจน์ว่าเข้าเป็นผู้กำกับที่เต็มไปด้วยวิสัยทัศน์อันกว้างไกลเช่นเคย ด้วยการกำกับที่ยังคงน่าทึ่ง วางปมต่างๆได้อย่างชาญฉลาด เล่าเรื่องได้อย่างลื่นไหลน่าติดตามไม่มีช่วงเวลาใดเลยที่รู้สึกน่าเบื่อหรือหลุดออกจากจังหวะของภาพยนตร์ ที่สำคัญคือเขาแนะนำตัวละครใหม่ได้อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่รู้สึกถูกยัดเยียดและยังพาตัวละครหน้าเก่ามาให้ชวนคิดถึงกันอีกด้วย 


ทีมโปรดัคชั่นก็ยังคงไร้ข้อกังขา ฉากต่างๆล้วนแต่อลังการงานสร้าง การเปิดเรื่องและเพลงที่ชวนย้อนนึกถึงอดีต พร้อมกับสอดแทรกเรื่องราวการผจญภัยของเหล่าตัวละครบทใหม่อันน่าตื่นเต้น ทำให้ The Force Awakens กลายเป็นการคืนชืพของภาพยนตร์ Star Wars ที่ยิ่งใหญ่ และเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังใหม่ที่พร้อมจะเดินไปข้างหน้าสู่โอกาสที่ยิ่งใหญ่ต่อไป ซึ่งชวนให้นึกถึงผลงานอีกชิ้นของดิสนีย์อย่างจักรวาลภาพยนตร์มาร์เวลมิใช่น้อย



อย่างไรก็ตามท่ามกลางสมรภูมินักรบเลือดใหม่อันแสนดุเดือดนี้ สิ่งที่ดูจะกลายเป็นจุดอ่อนของ The Force Awakens ก็คงจะหนีไม่พ้นฝั่งตัวละครด้านมืดหรือตัวร้ายของเรื่องนี้เอง


ในขณะที่ตัวละครใหม่ฝั่งด้านแสงสว่างหรือเรียกง่ายๆว่าฝ่ายดีมีเรื่องราวและปมขัดแย้งที่น่าสนใจ น่าติดตามสุดๆแทบจะทุกตัวละคร ตัวละครฝ่ายด้านมืดกลับค่อนข้างจืดชืด เอาเข้าจริงหลายส่วนก็ต้องโทษตัวบทภาพยนตร์ที่แสนจะธรรมดาเหลือเกินด้วยส่วนหนึ่ง จะว่าไปแล้วนี้ก็เป็นเรื่องที่น่าผิดหวังไม่ใช่น้อยถ้าหากเทียบกับผลงานเก่าของ เจ.เจ. อบรัมส์ อย่าง Star Trek Into Darkness ที่มีตัวร้ายอันแสนน่าสนใจ น่าค้นหา น่าเห็นใจ แต่กลับชั่วร้ายอย่างน่ากลัว ผิดไปจากตัวร้ายใน The Force Awakens อย่างลิบลับ


ซ้ำร้ายเข้าไปอีกคือนอกเหนือจากความผิดหวังแล้ว จุดอ่อนนี้ยังไปกระทบต่อจุดหักมุมอันแสนยิ่งใหญ่ของ The Force Awakens ที่ไม่น่าจดจำและไม่ทรงพลังเท่าที่ควรอีกด้วย ซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่าเสียดายโอกาสเป็นอย่างยิ่ง



แต่สุดท้ายแล้วถึงแม้ว่า Star Wars: The Force Awakens ของ เจ.เจ. อบรัมส์ จะยังมีจุดบกพร่องให้เห็นได้ชัดเจนเท่าไรก็ตาม เขาก็ได้ทิ้งภาระอันหนักหน่วงเอาไว้ให้แก่ผู้กำกับภาคต่อไปซึ่งก็คือ ไรอัน จอห์นสัน เจ้าของผลงาน Looper ที่จะต้องสร้างสรรค์ เนรมิต และให้กำเนิดโลกแห่ง Star Wars ให้ได้ยิ่งใหญ่ อลังการ เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังที่จุดประกายไฟลุกโชนดังนกฟีนิกซ์ที่ฟื้นคืนชืพขึ้นมาจากขี้เถ้าให้ได้อย่างไม่ต้องสงสัย


Final Score: [ 7 / 10 ]