วันอาทิตย์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

Zootopia ( 2016 ) บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz


Zootopia ( 2016 ) บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz
"โลกอุดมคติของเหล่าสรรพสัตว์"

ถือได้ว่าเป็นความบังเอิญที่พร้อมเพรียงกันอย่างน่าแปลกประหลาดสำหรับภาพยนตร์อนิเมชั่นในปีนี้ ซึ่งจะเห็นได้ชัดเจนว่ามันมีธีมที่คล้ายคลึงกันบางอย่าง(รึเปล่า?) นั้นก็คือความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสัตว์ ไม่ว่าจะเป็น The Jungle Book, The Legend of Tarzan หรือ Pete's Dragon แถมสองในสามเรื่องที่ว่ายังเป็นของค่ายดิสนีย์เสียอีก อาจจะเรียกได้ว่าเป็นการพร้อมใจกันภายในค่ายก็ว่าได้


ถ้าหากพูดถึงค่ายภาพยนตร์ในปัจจุบันแล้ว ไม่ว่าใครก็คงจะปฏิเสธได้ยาก ว่าดิสนีย์ได้กลายเป็นหนึ่งในค่ายภาพยนตร์ที่เจริญเติบโตยิ่งใหญ่มากกว่าเดิมจากช่วงหลายปีที่ผ่านมาอยู่มากทีเดียว จากความสำเร็จในจักรวาลภาพยนตร์ Marvel และล่าสุดอย่าง Star Wars แต่เชื่อว่าสำหรับใครหลายคน ถ้านึกถึงดิสนีย์ พวกเขาก็มักจะนึกถึงภาพยนตร์อนิเมชั่นมาเป็นอันดับต้นๆ และนั้นก็นำเรามาสู่ผลงานเรื่องล่าสุดอย่าง Zootopia

Zootopia ว่าด้วยเรื่องราวของตำรวจกระต่ายสาวน้อยมือใหม่ จูดี้ ที่ต้องจับพลัดจับพลูมาร่วมมือกับ สุนัขจิ้งจอกจอมเจ้าเล่ห์ นิค ในปฏิบัติการสืบสวนคดีที่อยู่เบิ้องหลังเหตุการณ์ร้ายในอาณาจักรซูโธเปียแห่งนี้



ถึงแม้ว่าภาพรวมของ Zootopia จะยังคงเป็นภาพยนตร์ที่ดำเนินด้วยรูปแบบสูตรสำเร็จ แต่ก็ปฏิเสธได้ยากเช่นกัน ว่านี้เป็นชัยชนะอันหอมหวานอีกครั้งหนึ่งของดิสนีย์ ที่ดูจะกลายเป็นความสามารถที่ไม่ว่าค่ายใดๆก็เลียนแบบได้ยากเย็นเหลือเกิน กับความสามารถในการเนรมิตเรื่องราวอันแสนธรรมดาพื้นๆ ให้กลายเป็นการผจญภัยที่น่าตื่นเต้น เข้าถึงได้ทุกเพศทุกวัย ด้วยองค์ประกอบอันยอดเยี่ยมที่รายล้อมกันเข้ามา ประกอบกันเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงได้อย่างอย่างภาคภูมิใจ

สำหรับเหตุผลหลักที่อุ้มชูให้ตัวภาพยนตร์น่าติดตามชนิดที่ละสายตาไปจากจอภาพยนตร์ได้ยาก ก็คงจะหนีไม่พ้นสองตัวละครหลักอย่าง เจ้ากระต่าย จูดี้ กับสุนัขจิ้งจอก นิค ทั้งสองตัวละครต่างมีพื้นหลังซึ่งหล่อหลอมให้พวกเขามาเป็นสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบันได้อย่างน่าสนใจเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็นจากความเชื่อของสังคม การสั่งสอนของพ่อแม่ หรืออดีตอันแสนเจ็บปวด ซึ่งทั้งคู่แตกต่างกันแทบจะสิ้นเชิงตั้งแต่รูปลักษณ์ภายนอกไปจนถึงทัศนะคติต่อโลก แต่เมื่อพวกเขามาจับมือเป็นคู่หูกัน ทั้งสองตัวละครก็ต่างเติมเต็มซึ่งกันและกันเสมือนเป็นชิ้นส่วนที่หายไป ผสมผสานกับเคมีของทั้งสองตัวละครที่เข้ากันได้เป็นทวีคูณ จึงเป็นเหตุที่ทำให้ทุกการผจญภัยของพวกเขาใน Zootopia เป็นการผจญภัยที่ผู้ชมอย่างเราตั้งตารอคอยด้วยความตื่นเต้นอยู่ตลอดเวลา

นอกจากนี้ตัวละครอื่นๆก็เข้ามาเติมแต่งเรื่องราวและความบันเทิงให้กับภาพยนตร์ได้เป็นอย่างดี แต่ที่สร้างสรรค์จนน่าชื่นชมที่สุดก็คงจะเป็นตัวละครสุดอืดสุดฮาอย่าง สลอธ ที่ภาพยนตร์ใช้ลักษณะนิสัยของสัตว์ประเภทนี้ มาเป็นจุดแข็งของตัวละคร จนกลายเป็นจุดเด่น จุดขายของภาพยนตร์เรื่องนี้ไปเสียแล้ว



ส่วนในด้านโปรดัคชั่นก็ยังคงดีเยี่ยมตามมาตราฐานดิสนีย์ ตั้งแต่การออกแบบโลกแห่งสรรพสัตว์ ตัวละคร หรือฉากต่างๆก็มีชีวิตชีวา น่าค้นหา ถึงแม้ว่าในส่วนนี้ตัวภาพยนตร์อาจจะยังดึงมาใช้ไม่เต็มที่ซักเท่าไรนักก็ตาม

สุดท้ายแล้ว ภายใต้เรื่องราวการผจญภัยอันแสนน่ารักนี้ ก็ยังคงแอบแฝงไปด้วยเนื้อหาประเด็นทางเชื้อชาติและเผ่าพันธุ์ที่หนักหน่วงสมกับเป็นอนิเมชั่นจากดิสนีย์เช่นเคย มันเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังจนเกือบจะใกล้เคียงคำว่าเพ้อฝัน ว่าในอนาคต สหรัฐอเมริกาจะกลายเป็นประเทศศูนย์รวมแห่งความสุข ความยุติธรรมและเท่าเทียม ซึ่งไม่ว่าจะเป็นชนชาติ เผ่าพันธุ์ หรือไม่ว่าคุณจะเป็นใครก็ตาม ก็สามารถที่จะอยู่ร่วมกันและทำตามความฝันของตนได้อย่างอิสระเป็นสุข ถึงแม้ว่าเส้นทางที่จะพาคุณดำเนินไปถึงจุดนั้น มันจะเต็มไปด้วยขวากหนาม และอุปสรรคล้านแปดประการก็ตาม 



เสมือนตัวละครหลักทั้งสองซึ่งเคยเป็นสิ่งมีชีวิตที่เกิดมาเพื่อเป็นศัตรูซึ่งกันและกัน ก็สามารถที่จะเป็นเพื่อนหรือกระทั่งคนรักได้ในเมืองแห่งนี้ เพียงแค่เรายอมรับและเคารพถึงความแตกต่างของทุกๆฝ่าย และทำให้อาณาจักรแห่งนี้กลายเป็นเสมือนชื่อภาพยนตร์ซึ่งเป็นการผสมผสานกันระหว่างคำว่า Zoo และ Utopia เป็นดินแดนในอุดมคติของเหล่าสรรพสัตว์นั้นเอง

Final Score : [ 8 / 10 ]

วันเสาร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

Gods of Egypt (2016) บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz


Gods of Egypt (2016) บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz
"Saint Seiya: Hollywood Edition"

เทพนิยายและตำนานต่างๆ จะว่าไปแล้วก็เป็นสิ่งที่คู่กับฮอลลีวูดมาโดยตลอด ไม่ว่าจะนำมาสร้างเอง หรือนำต้นฉบับที่เป็นนวนิยายมาสร้าง ที่ดูจะใกล้เคียงชนิดที่เอาโปสเตอร์มาเทียบกันแล้วแทบจะแยกไม่ออกก็คงจะเป็น Clash of Titans ฉบับปี 2010 และภาคต่อ Wrath of Titans ในปี 2012 อย่างไรก็ตามทั้งสองภาคต่างก็ได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ค่อนข้างย่ำแย่ ในขณะที่รายได้ก็พอถูไถ ก็คงจะต้องมารอดูกันว่า Gods of Egypt จะซ้ำรอยกับสองภาพยนตร์ที่ว่านี้หรือไม่ (ถ้าพูดในด้านนักวิจารณ์ต่างประเทศก็คงจะซ้ำรอยไปแล้วเพราะโดนสับกระจาย)

Gods of Egypt ว่าด้วยเรื่องราวการผจญภัยของเบคโจรที่ต้องร่วมมือกับเทพฮอรัสในการโค่นล้มเซธ เทพเจ้าผู้ซึ่งปกครองโลกด้วยความอำมหิต ท่ามกลางภัยอันตรายต่างๆมากมาย พวกเขาจะสามารถทวงคืนความสงบสุขกลับมาสู่โลกได้หรือไม่ !?



ถ้าหากมองถึงภาพรวม Gods of Egypt ก็เป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์ที่น่าจะตอบสนองความต้องการของผู้ชมส่วนใหญ่ได้เป็นอย่างดี สนุก ตื่นเต้น ซีจีอลังการงานสร้าง เทพบินโฉบไปมาตบกันชนิดที่เก้าอี้สั่นสะเทือน บทและการดำเนินเรื่องที่ราบเรียบไม่ซับซ้อนมากนัก

แถมไม่ว่าจะมองมุมไหน ก็ปฏิเสธไม่ได้จริงๆว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ชวนให้นึกถึงอนิเมะชื่อดังอย่าง เซนต์เซย่า มิใช่น้อย โดยเฉพาะการออกแบบชุดเกราะเมื่อเหล่าตัวละครเทพทั้งหลายแปลงร่าง อือหือเรียกได้ว่าโกลด์คลอธมาเองครับพี่น้อง ถ้ามีหมัดดาวตกเปกาซัสหน่อยนี้ใช่เลย

อย่างไรก็ตามถ้าหากเราลงไปวิเคราะห์องค์ประกอบส่วนต่างๆของมัน Gods of Egypt ก็มีจุดบอดอยู่มากไม่ใช่น้อย ที่หนักหน่อยก็คงจะเป็นในด้านของผู้กำกับ อเล็กซ์ โพรยาส ซึ่งยังคงขาดเอกลักษณ์ในการกำกับ ที่แย่กว่าคือการปูตัวละครของเขาในต้นเรื่องนี้เรียกได้ว่าเข้าขั้นหายนะ เหมือนอยากจะยัดก็ยัดเข้ามาเลย จนเกือบจะพาเอาภาพยนตร์ทั้งเรื่องลงหุบเหวทาร์ทารัสไปด้วย



โชคดีที่เขายังฟื้นตัวมาได้ทันในช่วงกลางเรื่องซึ่งส่งผลทำให้เรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครหลักดูดีขึ้นมาทันที ในขณะที่ตัวละครรองแทบทุกตัวยังคงเลือนหายไปกับฉากหลังต่อไป การกำกับฉากแอ็คชั่นส่วนใหญ่ก็ถือว่าทำได้ค่อนข้างดี ยกเว้นฉากน้ำตกในต้นเรื่องที่ดูจะหนักมือไปหน่อยเล่นตัดกันทุกเสี้ยววินาทีสลับกับมุมกล้องที่เหมือนเอาสวยเข้าว่าอย่างเดียวแต่ดูแทบไม่รู้เรื่อง

ในด้านของโปรดัคชั่นส่วนใหญ่ก็พอถูไถ แต่จุดที่เห็นได้ชัดคือการใช้กรีนสกรีนไม่ค่อยเนียนเท่าไรนัก หลายต่อหลายฉากตัวนักแสดงนั้นให้ความรู้สึกหลุดออกมาจากฉากหลัง หรือไม่ก็ใช้วิธีหาสิ่งอื่นๆเช่นเก้าอี้ โต๊ะ บังฉากหลังไปเลย ซึ่งทำให้สมาธิในการชมหลุดไปบ้างนิดหน่อย



สุดท้ายแล้ว Gods of Egypt ก็เป็นภาพยนตร์แอ็คชั่น/ผจญภัย เทพปล่อยพลังคอสโม่ใส่กัน ที่ยังคงปราศจากความสดใหม่ใดๆ และมีจุดที่พลาดบ้างพอสมควร อย่างไรก็ตามในด้านของความบันเทิงมันยังคงทำบรรลุเป้าหมายได้ค่อนข้างดี ไม่ว่าจะมาจากฉากต่อสู้อันดุเดือด หรือความสัมพันธ์ที่น่าสนใจของเหล่าตัวละครหลัก




Final Score : [ 6 ]

วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

Bakuman ( 2016 ) บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz


Bakuman ( 2016 ) บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz


"มิตรภาพ การต่อสู้ และชัยชนะ"

ต้องสารภาพเลยว่า การซื้อตั๋วและเดินเข้าไปในโรงภาพยนตร์เรื่องนี้สำหรับคนที่ไม่รู้จักและไม่เคยอ่านหนังสือการ์ตูน Bakuman มาก่อนถือได้ว่าเป็นประสบการณ์ที่เหมือนจับฉลากยังไงชอบกล โชคยังดีที่การจับฉลากครั้งนี้เป็นไปได้ด้วยดี

Bakuman เป็นภาพยนตร์สัญชาติญี่ปุ่น สร้างมาจากหนังสือการ์ตูนมังงะในชื่อเดียวกัน ว่าด้วยเรื่องราวของสองนักเขียนการ์ตูนมังงะมือใหม่ที่จะต้องฝ่าฟันอุปสรรค์อันแสนยากลำบากนานับประการ เพื่อทำความฝันของพวกเขาให้เป็นจริง ซึ่งก็คือการได้เป็นนักเขียนการ์ตูนมังงะนั้นเอง



Bakuman ในด้านของความเป็นภาพยนตร์แล้ว ถือได้ว่าเป็นผลงานที่น่าจะทำให้แฟนๆหนังสือการ์ตูนต้นฉบับ และผู้ชมที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน สนุกไปด้วยได้ไม่ยากนัก จากหลายๆองค์ประกอบในภาพยนตร์ที่ค่อนข้างดีเยี่ยม

การกำกับ ฮิโตชิ โอเนะ เรียกได้ว่าค่อนข้างโดดเด่นทีเดียว เขาสามารถเปลี่ยนเรื่องราวที่ผิวเผินดูจะแสนธรรมดา ให้กลายเป็นการต่อสู้อันแสนอลังการได้ดี ด้วยการเล่าเรื่องที่น่าติดตาม การใช้เทคนิควางองค์ประกอบภาพ และการตัดต่อที่งดงาม ที่ทึ่งยิ่งกว่าคือการใช้ซีจีเพื่อถ่ายทอดความคิดหรือใช้เพื่อการสื่อความหมายได้อย่างชาญฉลาด เฉกเช่นฉากการต่อสู้เพื่อแย่งชิงความเป็นที่หนึ่งของสามตัวละครเอกที่อลังการอย่างกับสงคราม เป็นเอกลักษณ์ สนุก จนเรียกได้ว่าแทบจะเอกลักษณ์ของภาพยนตร์เรื่องนี้ไปเลยทีเดียว



ในส่วนของบทภาพยนตร์ ถึงแม้ว่าค่อนข้างจะเป็นสูตรสำเร็จ ตัวเรื่องราวการฟันฝ่าอุปสรรคเพื่อทำความฝันให้เป็นจริง จะไม่ใช่อะไรที่สดใหม่ แต่การสอดแทรกรายละเอียดต่างๆ นำเสนอมุมมองใหม่ในโลกการ์ตูนมังงะของ Bakuman ก็ทำให้ผจญภัยครั้งนี้เต็มไปด้วยความน่าสนใจ

มิตรภาพ การต่อสู้ และชัยชนะ นี้ดูจะเป็นคำที่แสนจะไร้เดียงสา จนถึงกระทั่งเพ้อฝัน แม้กระทั่งตัวละครในภาพยนตร์ก็ยังอดไม่ได้ที่จะยอมรับถึงความเก่าแก่ของมัน แต่ท่ามกลางสภาพสังคมอันแสนยากลำบากของประเทศญี่ปุ่น แรงกดดันล้านแปดจากทุกด้านของสังคม ซึ่งนำไปสู่การแข่งขันชนิดปางตายที่อาจส่งผลให้ตกงานได้ทุกเมื่อ



ถ้าหากเราพิจารณาจากสภาพแวดล้อมอันแสนเคร่งเครียดเช่นนี้แล้ว การที่เราจะเพ้อฝัน หวังว่าในอนาคตสถานการณ์ต่างๆจะดีกว่าที่เป็นอยู่ และใช้คำสามคำนี้มาเป็นตัวผลักดันเราไม่ให้ล้มลง ก็เป็นการกระทำที่ดูจะยอมรับหรือกระทั่งหลีกเลี่ยงได้ยากนัก แม้จะเพียงเล็กน้อยก็ตาม

Final Score : [ 7.5 / 10 ]

วันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

The Look of Silence ( 2016 ) Movie Review


The Look of Silence ( 2016 ) บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz


"มนุษย์เอย เจ้าคือสิ่งใด"

สำหรับเมื่อก่อน ความเชื่อซึ่งมนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่สูงส่ง เต็มไปด้วยสติปัญญาและเหตุผล ดูจะเป็นสิ่งที่ปฏิเสธได้ยากเหลือเกิน จากประวัติศาสตร์และการคิดค้นอันน่าทึ่งของเผ่าพันธุ์เรามากมาย

แต่ในตอนนี้ ดูเหมือนว่าความเชื่อนี้เริ่มที่จะสั่นคลอน ถูกต่อกรและตั้งคำถามมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้สะท้อนออกมาในโลกของภาพยนตร์อยู่หลายต่อหลายครั้ง เช่นกระแสภาพยนตร์ 'ดิสโธเปีย' ทั้งหลาย ชวนให้เราหันกลับไปมองอดีต นั่งครุ่นคิดถึงการกระทำจากเผ่าพันธุ์อันสูงส่งของเรา และตั้งคำถามว่า 'คุณค่าของความเป็นมนุษย์มันคืออะไร และวัดได้อย่างไรกันแน่' จากความเชื่อ ? จากฐานะทางสังคม ? จากหน้าตา ? หรือสิ่งใดกันแน่


The Look of Silence เป็นภาพยนตร์สารคดีที่ชวนให้เราครุ่นคิดอยู่กับคำถามนี้เรื่อยไปแม้กระทั่งเมื่อแสงที่สาดส่องบนจอภาพยนตร์จะดับลงไปแล้ว

นี้เป็นภาพยนตร์ที่ลงไปสำรวจครอบครัวเหยื่อในประเทศอินโดนีเซียที่ต้องอยู่ท่ามกลางสังคมฆาตกรและผู้มีส่วนร่วม ในการพรากคนรักของพวกเขาไปอย่างโหดเหี้ยม เลือดเย็น พร้อมทั้งดำดิ่งลงไปสอบถามผู้คนเหล่านี้ ถึงอดีตอันแสนข่มขื่น หรือหอมหวานสำหรับพวกเขา ?

The Look of Silence เป็นภาพยนตร์ที่มีพลังอันเปี่ยมล้น ถึงแม้ว่าวิธีการถ่ายทอด เล่าเรื่องราวต่างๆจะค่อนข้างเรียบง่าย ให้ความรู้สึกถูกจัดฉากไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความลึกซึ้งในประเด็นที่พูดถึงลดลงไปเลยแม้แต่น้อย ที่น่าชื่นชมคือมันได้ผสมผสานและนำเสนอมุมมองใหม่ของครอบครัวเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย และตัวฆาตกรได้อย่างน่าสนใจ ลึกซึ้ง และรอบด้าน

ซึ่งด้วยการนำเสนอมุมมองที่รอบด้านเช่นนี้นั้นเอง มันก็ทำให้เกิดการปะทะกันของความคิดประเด็นต่างๆตลอดเวลาในภาพยนตร์ หลายสิ่งหลายอย่างก็ชวนให้เรารู้สึกสะอึกอยู่ไม่น้อย ดูเหมือนว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์สามารถที่จะทำเรื่องที่ดีและน่าภูมิใจได้มากมาย แต่ในขณะเดียวกัน ก็เป็นเผ่าพันธุ์อันสูงส่งนี้เองที่กระทำการบางอย่างที่โหดร้ายเสียยิ่งกว่าสิ่งที่เราตราหน้าว่าเป็นสัตว์เดรัจฉานซะอีก ทำให้สถานะของมนุษย์ในปัจจุบันเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม ที่แม้แต่เราเองก็ไม่แน่ใจว่าคืออะไรกันแน่

สุดท้ายแล้ว The Look of Silence เป็นภาพยนตร์สารคดีที่คนไทยทุกคนควรชม ไม่ใช่แค่เพราะว่ามันเป็นภาพยนตร์ที่ยอดเยี่ยม แต่ยังเพราะเนื้อหาอันลึกซึ้งของมัน ซึ่งก็น่าจะทำให้ผู้ชมและโดยเฉพาะคนไทยได้อะไรกลับไปครุ่นคิด หรือกระทั่งเปลี่ยนมุมมองของท่านไปสิ้นเชิงอย่างแน่นอน

Final Score : [ 9 / 10 ]

วันศุกร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

Deadpool ( 2015 ) บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz


Deadpool ( 2015 ) บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz


"ฮีโร่พันธุ์เกรียน"

ในปัจจุบัน โลกของหนังสือการ์ตูนได้เข้ามาส่งผลต่อโลกของภาพยนตร์อย่างมากไม่ว่าจะเป็นค่าย DC หรือ Marvel ซึ่งต่างก็มีตัวละครที่โดดเด่นและมีแฟนๆติดตามชื่นชอบมากมาย เช่น Batman, Superman, Ironman หรือ Captain America

แต่ถ้าหากจะมีซักหนึ่งตัวละครที่แฟนๆและแม้กระทั่งคนที่ไม่ใช่แฟนหนังสือตัวยง ต่างพร้อมใจกันชื่นชอบอย่างคลั่งไคล้ซักตัวแล้วละก็ เชื่อเลยว่าชื่อของตัวละครสุดแสบอย่าง เดดพูล ก็ต้องโผล่มาเป็นอันดับต้นๆอย่างแน่นอน ถึงแม้ว่าการโลดแล่นบนจอภาพยนตร์ล่าสุดของเขา X-Men Origins: Wolverine ในปี 2009 ดูจะจบลงไม่สวยเท่าไรนัก แต่ก็ต้องขอยกย่องทีมงานและตัวนักแสดงไรอัน เรย์โนลด์ เสียจริงๆที่ยังคงมีความมั่นใจ และเชื่อว่าพวกเขาจะสร้างสรรค์ตัวละครนี้ให้ออกมาถูกใจแฟนๆได้ในที่สุด ซึ่งความพยายามนั้นก็ได้ผลตอบแทนอันล่ำค่าเป็นที่เรียบร้อย



ถึงแม้ Deadpool จะไม่ใช่ภาพยนตร์ที่ยอดเยี่ยมขนาดเข้าชิงรางวัลออสการ์ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันได้ให้ความบันเทิงชนิดที่หาได้ยากกับผู้ชม โดยเฉพาะแฟนๆที่รอคอยกันมานานแสนนาน

งานนี้ต้องขอยกเครดิตให้กับผู้กำกับ ทิม มิลเลอร์และผู้รับบทเป็นเดดพูลอย่าง ไรอัน เรย์โนลด์ ที่เนรมิตตัวละครกวนบาทาตัวนี้ออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม สมกับเป็น"เดดพูล"อย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นลักษณะนิสัย ท่าทาง คำพูดคำจา หรือการที่อยู่ดีๆอยากจะหันมาคุยกับผู้ชมก็ทำได้โดยไม่มีปี่มีขลุ่ย แถมยังล้อเลียนตัวเองและคนรอบข้างได้อย่างหน้าตาเฉย ต่างก็เป็นสิ่งที่สร้างความโดดเด่น ตลกโปกฮาให้กับตัวละคร และภาพยนตร์เรื่องนี้ในที่สุด



ที่น่าชื่นชมเข้าไปอีก ก็คือทิม มิลเลอร์ ใช้ความหลุดโลกของตัวละครมาสร้างเอกลักษณ์ สถานการณ์ และใช้เทคนิคในการเล่าเรื่องร่วมกัน เพื่อสร้างเกราะให้กับตัวบทภาพยนตร์ที่ได้อย่างดี เนื่องจากส่วนนี้ดูจะเป็นจุดอ่อนที่ชัดเจนที่สุดของภาพยนตร์ แต่ก็ถูกดึงขึ้นมาให้น่าสนใจ และสร้างอารมณ์ร่วมระหว่างตัวละครกับผู้ชมได้เนื่องจากการเล่าเรื่องของเขานี้เอง

ในด้านของฉากแอ็คชั่นต่างๆ ยังถือว่าค่อนข้างธรรมดา แม้ว่าบางฉากจะกำกับดีทีเดียว แต่ดูเหมือนจะเป็นผลมาจากแนวทางการเล่าเรื่องของทิม มิลเลอร์ที่ให้ความสำคัญกับการปูตัวละครมากกว่าการบู้ล้างผลาญ จึงทำให้ฉากต่อสู้ต่างๆมีค่อนข้างน้อย และออกมาไม่ค่อยน่าจดจำ



อย่างไรก็ตามเพียงแค่ฉากแอ็คชั่นที่ค่อนข้างน้อย และบทภาพยนตร์ซึ่งค่อนข้างดาษดื่น ก็ไม่อาจที่จะลดความบันเทิงที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ให้กับผู้ชมได้มากนัก Deadpool ยังคงเป็นสุดยอดภาพยนตร์เกรียนแตกแห่งปีนี้ที่ โหด มันส์ ฮาแฟนๆไม่ควรพลาดอย่างเด็ดขาด

Final Score: [ 7 / 10 ]

วันเสาร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

The Danish Girl ( 2015 ) บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz


The Danish Girl ( 2015 ) บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz 


"นี้ไม่ใช่ร่างกายของฉัน..."

สำหรับประเด็นเรื่อง LGBT เรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงโลกของเราไปไม่ใช่น้อย ไม่ว่าจะในโลกแห่งความเป็นจริง สื่อต่างๆ หรือกระทั่งในโลกของภาพยนตร์ ซึ่งในปัจจุบันมีการยอมรับ และการพูดถึงเรื่องๆนี้กันมากขึ้นทุกวัน

The Danish Girl ก็เป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์ซึ่งพยายามจะถ่ายทอดหรือสะท้อนอะไรบางอย่างไปสู่สังคม อย่างไรก็ตามคำถามที่น่าครุ่นคิดมากที่สุด ก็คือผู้กำกับ ทอม ฮูปเปอร์ จะทำเช่นไรที่จะให้ภาพยนตร์ของเขานั้นแตกต่างจากภาพยนตร์ประเภทเดียวกัน หรือพูดถึงประเด็นที่คล้ายคลึงกันเรื่องอื่นๆ เช่น Dallas Buyers Club ในปี 2013



ในภาพรวมแล้ว The Danish Girl ก็เป็นภาพยนตร์ที่น่าสนใจ และน่าติดตามตั้งแต่ต้นจนจบ แต่ความดีความชอบนี้ ก็ไม่ได้มาจากการกำกับของทอม ฮูปเปอร์ แต่กลับไปอยู่ที่สองนักแสดงหลัก เอ็ดดี้ เรดเมยน์ และ อลิเซีย วิเคนเดอร์ เสียมากกว่า

แต่นั้นก็ไม่ใช่เรื่องไม่ดีแต่อย่างใด เพราะด้วยการแสดงอันยอดเยี่ยม น่าทึ่งของทั้ง เอ็ดดี้ และอลิเซีย นี้เอง ทำให้ The Danish Girl กลายเป็นภาพยนตร์ที่มีความน่าค้นหาอยู่ตลอดเวลา สามารถที่จะถ่ายทอดอารมณ์ความสับสน เจ็บปวด และสภาพแปลกแยกจากสังคมได้อย่างยอดเยี่ยม โดยเฉพาะ เอ็ดดี้ ที่พัฒนาตัวละครของเขา ให้กลายเป็นเสมือนดักแด้เติบโตไปสู่ผีเสื้อได้อย่างงดงาม 

จะว่าไปแล้ว ก็ถือได้ว่าเป็นอะไรที่น่าชื่นชมมากสำหรับตัวนักแสดง เอ็ดดี้ เรดเมยน์ ซึ่งปีที่แล้วเพิ่งจะคว้ารางวัลออสการ์จากบทบาทใน Theory of Everything ไปหมาดๆ ปีนี้ก็ยังจะแสดงผลงานอันยอดเยี่ยม ตราตรึงให้เราได้ชมเป็นขวัญตาอีกครั้ง (ไม่นับบทบาทใน Jupiter Ascending...) เรียกได้ว่าถ้าหากจะมีคู่แข่งคนไหนจะสูสีกับ ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ จาก The Revenant มากที่สุด ก็คงจะเป็น เอ็ดดี้ คนนี้นั้นเอง



ในขณะเดียวกันก็ต้องขอชมนักแสดงหลักอีกท่านอย่าง อลิเซีย วิเคนเดอร์ ซึ่งก็แสดงผลงานได้น่าทึ่งไม่แพ้กัน ทั้งๆที่ตัวละครของเธอมีความซับซ้อนและยากที่จะถ่ายทอดอารมณ์มากกว่าตัวละครของเอ็ดดี้เสียอีก จริงๆแล้วด้วยการแสดงของเธอนี้เอง ทำให้บทสรุปตัวละครของอลิเซีย ดูจะน่าสนใจ และน่าเห็นใจมากกว่าตัวละครเอกของเรื่องด้วยซ้ำไป

อย่างไรก็ตาม ถ้าหากพูดถึงความสดใหม่แล้ว หลายส่วนใน The Danish Girl ยังคงขาดหายไปพอสมควร ตั้งแต่ในด้านของบทภาพยนตร์ จุดหักมุม หรือการดำเนินเรื่อง ที่ไม่ได้แตกต่างจากภาพยนตร์เรื่องอื่นมากนัก ด้านการกำกับของ ทอม ฮูปเปอร์ ถือได้ว่าฉลาดในการใช้เทคนิค มุมกล้อง และการเคลื่อนไหวของกล้องในหลายต่อหลายฉาก แต่การเล่าเรื่องของเขายังขาดชั้นเชิง ส่งผลให้บทสรุปไม่น่าจดจำเท่าที่ควร ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย



ถึงแม้ว่า The Danish Girl จะยังไม่ใช่ภาพยนตร์ที่โดดเด่น เหนือกว่าภาพยนตร์ประเภทเดียวกันมากเท่าไรนัก แต่โชคยังดีที่การแสดงของ เอ็ดดี้ เรดเมยน์ และอลิเซีย  วิเคนเดอร์ ก็สามารถที่จะทำให้ภาพยนตร์เฉิดฉายขึ้นมาได้ จนเพียงพอที่จะทำให้ประสบการณ์ในการชมผลงานชิ้นนี้ เป็นเสมือนการเดินชมสวนไม้ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวอันแสนงดงาม และความสุข  แต่ก็แอบแฝงไปด้วยความโศกเศร้าที่จุดประกายความหวังไปสู่อนาคตที่จะมาถึง

Final Score: [ 7.5 / 10 ]

วันพฤหัสบดีที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

The Revenant ( 2015 ) บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz




The Revenant ( 2015 ) บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz


"ต้อง รอด"

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า The Revenant เป็นภาพยนตร์ที่มีส่วนผสมหลักค่อนข้างน่าสนใจมากทีเดียว ไม่ใช่แค่จากนักแสดงหลักอย่าง ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ หรือทอม ฮาร์ดี้ แต่รวมไปถึงผู้กำกับ อเลฮานโดร อินาริตู เจ้าของรางวัลออสการ์ Birdman ในปี 2014 นี้เอง เรียกได้ว่าแค่ชื่อของพวกเขาเหล่านี้ก็แทบจะพาเอาคอหนังทุกคนจับตามองกันตั้งแต่เริ่มสร้างเลยทีเดียว



ยอดเยี่ยมมากที่สุดใน The Revenant ก็คงหนีไม่พ้นโปรดัคชั่นอันแสนอลังการงานสร้างของมัน ไม่ว่าจะเป็นฉาก อุปกรณ์ เสื้อผ้า หรือบรรยากาศ ต่างก็งดงามมากทีเดียว ยิ่งผนวกไปกับแนวความคิด ความพยายามในการสะท้อนสัจธรรมของโลก ซึ่งผู้อ่อนแอไม่อาจมีชีวิตรอด ก็ยิ่งทำให้ Revenant เป็นภาพยนตร์ที่ละสายตาได้ยากมากที่สุดเรื่องหนึ่งในปี 2015 เลยทีเดียว

ซึ่งความที่โลกของ The Revenant นั้นยอดเยี่ยม นั่นก็ส่งผลมาสู่เรื่องราวการผจญภัยอันแสนทรหดของตัวละครเอก รับบทโดย ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ เช่นเดียวกัน ทำให้การผจญภัยของตัวละครนี้รู้สึกเต็มไปด้วยอันตรายและการกระเสือกกระสนเอาชีวิตรอดยิ่งกว่าภาพยนตร์เรื่องไหนๆ ด้านการแสดง เขายังคงสร้างผลงานได้ดีทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นในฉากแอ็คชั่น หรือในฉากอารมณ์ ต่างก็ทำให้ผู้ชมเชื่อมต่อกับตัวละครได้ไม่ยากนัก ถึงแม้ว่าในด้านบทตัวละครจะยังถูกเขียนมาขาดมิติไปบ้างก็ตาม



ที่น่าสนใจยิ่งกว่าก็คือตัวละครของ ทอม ฮาร์ดี้ ซึ่งกลายเป็นว่าน่าค้นหายิ่งกว่าตัวละครเอกซะอีก สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นก็มาจากตัวบทและเส้นทางของตัวละคร ความที่ในช่วงกลางถึงท้ายเรื่อง ตัวละครของลีโอนาร์โดนั้นค่อนข้างมีเป้าหมายและทัศนคติที่ชัดเจนมาก อาจมากเกินไปหน่อย จนเสมือนเผยทุกอย่างในมือให้ผู้ชมได้เห็นซะหมด ทำให้ตัวละครของลีโอนาร์โดมีความน่าค้นหาน้อยลง ในขณะที่ตัวละครของ ทอม ฮาร์ดี้ ยังคงมีความคลุมเครือและชวนค้นหามากกว่า

แต่ถ้าหากมองในภาพรวมของ The Revenant แล้ว สิ่งที่น่าตั้งคำถามจริงๆคงจะเป็นการกำกับและเล่าเรื่องของ อเลฮานโดร อินาริตู ซะส่วนมาก ไม่ใช่ว่าแย่แต่อย่างใด แต่มันธรรมดาและจืดชืดจนเกินไป ขาดลูกเล่นหรือชั้นเชิงที่จะมาทำให้ตัวภาพยนตร์นั้นโดดเด่น มีความลึกซึ้งยิ่งขึ้น สร้างความน่าจดจำแม้ภาพยนตร์จะจบลงไปแล้ว ในบางมุมเสมือนเป็นการเพลย์เซฟ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับผลงานก่อนหน้าอย่าง Birdman ที่ดูจะเต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ และโดดเด่นในการเล่าเรื่อง เป็นเอกลักษณ์มากกว่าผลงานชิ้นนี้ ถึงแม้ว่าจะมีความพยายามในการใส่เทคนิค Long Take แบบที่เคยทำใน Birdman มาบ้าง แต่นั้นก็ไม่ได้มีพลังมากพอ ที่จะสร้างความแตกต่างให้กับภาพยนตร์ทั้งเรื่องซึ่งยาวถึง 156 นาทีได้ จริงๆแล้วสาเหตุอีกส่วนหนึ่งก็มาจากการเลือกเครื่องมือ ซึ่งเนื้อหาและองค์ประกอบต่างๆของทั้งสองภาพยนตร์มีความแตกต่างกัน จึงทำให้เครื่องมือบางชนิดที่นำมาใช้ ได้ผลลัพธ์ไม่เหมือนกัน



อย่างไรก็ตาม ถ้าหากคำนึงถึงความคุ้มค่าและเวลาที่เสียไปในการชมภาพยนตร์ เพียงแค่โปรดัคชั่นอันน่าทึ่ง การผจญภัยที่ยอดเยี่ยม และการแสดงของลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ ก็ทำให้ The Revenant เป็นทางเลือกที่ห้ามพลาดสำหรับคอหนังทุกคน ถึงแม้ว่ามันจะยังห่างจากคำว่าสมบูรณ์แบบก็ตาม

Final Score : [ 7.5 ]