วันจันทร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2557

Gangs of New York ( 2002 ) Movie Review

Movie Review
Gangs of New York ( 2002 )  
สงครามแห่ง "คอมมิวนิสต์" และ "ประชาธิปไตย"


Gangs of New York เป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์ชื่อดังของผู้กำกับ Martin Scorsese จากเรื่องก่อนหน้านี้ของเขาอย่าง Taxi Driver หรือ Goodfellas และเป็นการร่วมงานครั้งแรกของเขากับนักแสดงชื่อดังอย่าง Leonardo DiCaprio อีกด้วย ซึ่งทำให้ทั้งคู่นั้นมีผลงานร่วมกันต่อมาหลายเรื่องไม่ว่าจะเป็น The Aviator , Shutter Island หรือเรื่องล่าสุดที่สง DiCaprio ไปคว้ารางวัลลูกโลกทองคำอย่าง The Wolf of Wall Street

Martin Scorsese นั้นขึ้นชื่ออย่างมากเรื่องภาพยนตร์แนวเจ้าพ่อมาเฟีย หรือ "Gangster" โดยเฉพาะเรื่องที่เรียกได้ว่าโด่งดังที่สุดของเขาอย่าง Goodfellas ซึ่งจะว่าไปก็ไม่แปลกเลยเพราะเขาเป็นผู้กำกับที่สร้างโลกขึ้นมาใหม่ได้อย่างน่าสนใจเสมอๆ และแน่นอนสำหรับแฟนๆ Martin Scorsese น่าจะรู้ดีว่าสไตล์การกำกับของเขานั้นมักจะมากับ ความรุนแรง ศาสนา และเรื่องความภูมิใจในเพศชาย ซึ่งใน Gangs of New York นั้นยังมีเรื่องเหล่านี้อย่างครบถ้วน แต่อีกเรื่องหนึ่งที่เรียกได้ว่า โดดเด่นขึ้นมาใน Gangs of New York ก็คือเรื่องราวของการปะทะกันระหว่าง คอมมิวนิสต์ และ ประชาธิปไตย

ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้พูดถึงมันในผลออกมาที่เรียกได้ว่าค่อนข้างจะแตกต่างจากภาพยนตร์เรื่องอื่นๆพอสมควร เพราะตัวภาพยนตร์พูดถึงการปะทะของสองฝั่งว่า ผลที่ออกมานั้นไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น ใช่แต่ละฝ่ายมีเหตุผล และศักดิ์ศรีของตนเอง แต่เมื่อสุดท้ายลงตัวกันไม่ได้ ก็คงหนีไม่พ้นความรุนแรง และความรุนแรงนำไปสู่หายนะ ซึ่งผลสุดท้ายแล้วก็ไม่ได้ทำให้ฝ่ายใดดีไปกว่ากัน
ถึงอย่างนั้นก็ตาม ผู้เขียนยังรู้สึกว่า ในมุมมองของ Martin Scorsese นั้นยังให้ท้ายฝั่ง ประชาธิปไตยอยู่มาก และค่อนข้างจะให้ร้ายมุมมองของ คอมมิวนิสต์อยู่เหมือนกัน ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่น่าเสียดายอยู่บ้าง เพราะมันทำให้การปะทะกันของสองฝ่าย และผลที่ออกมา ลดความน่าเชื่อถือลง เพราะการเลือกข้างของเขา

สิ่งที่เรียกได้ว่าโอบอุ้มภาพยนตร์ทั้งเรื่องเลยจริงๆ ก็คือสองนักแสดงนำอย่าง Leonardo DiCaprio ที่นำแสดงได้อย่างยอดเยี่ยม และสร้างคาแรคเตอร์ให้น่าสนใจอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะเรื่องราวการแฝงตัวของเขาที่่ช่างแสนอันตรายและอบอุ่นไปพร้อมๆกัน แต่คนที่ต้องยกเครดิตให้ 99% เลยจริงๆก็คือ Daniel Day-Lewis ถ้า Gangs of New York ไม่มีเขาคนนี้ ภาพยนตร์ทั้งเรื่องจะเปลี่ยนไปหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว จากการแสดงระดับสุดยอดหาใครเปรียบเทียบได้ยากมากคนนี้ ถึงแม้ Leonardo จะพยายามเท่าไร ก็สู้พลังการแสดงของ Daniel Day-Lewis ไม่ได้เลยจริงๆ เพราะเขาช่างสร้างคาแรคเตอร์ให้กับตัวละครอย่างมาก และเรียกได้ว่าแทบจะเป็นคนที่ทำให้หนังเดินไปได้

Gangs of New York นั้นจริงๆแล้วดูเหมือนจะมีองค์ประกอบทุกอย่างที่ทำให้มันเป็นภาพยนตร์ที่ยอดเยี่ยมได้ แต่สิ่งที่มันขาดอย่างรุนแรงอย่างหนึ่งเลยก็คือ "ความยิ่งใหญ่" ทั้งเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบ ผู้เขียนไม่รู้สึกถึงจุดนี้จากมันเลย ซึ่งเป็นผลมาจากหลายอย่าง เช่นตัวละครรองแทบทุกตัวที่ไม่ค่อยน่าสนใจ และไม่ค่อยมีความหมายเท่าใดนักเลย หรือ การ Setting ฉากที่มากเกินไปจนทำให้รู้สึกเหมือนละครเวทีบ้างในบางครั้ง โดยเฉพาะในองค์ที่ 3 หรือ ช่วงท้ายของภาพยนตร์ ที่ละเลงใส่ผู้ชมมากจนเกินไป 
ทำให้ภาพยนตร์ทั้งเรื่องเป็นเหมือนเพียงเรื่องราวการปะทะของ Leonardo DiCaprio กับ Daniel Day-Lewis เท่านั้น ทั้งๆที่มันควรจะเป็นการปะทะระหว่งกลุ่มสองกลุ่ม หรือ ประชาธิปไตย กับ คอมมิวนิสต์จริงๆ ผลก็คือมันทำให้หนังมีความน่าจดจำน้อยลง และข้อความที่อ่อนแอ น่าเชื่อถือน้อยลงไป อย่างน่าเสียดายจริงๆ


แต่ในสุดท้ายแล้ว Gangs of New York ก็เป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์ที่แฟนๆ Martin Scorsese ต้องดู ด้วยความรุนแรง น่าสนใจ โดยเฉพาะการปะทะระหว่างนักแสดงที่ยอดเยี่ยมสองคนนี้ แต่สำหรับคนทั่วไปอาจจะไม่สนุกกับมันซักเท่าไรนัก เพราะมันเสมือนไปไม่สุดซักด้านซะทีเดียว


Final Score : [ B + ] 

วันศุกร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2557

Legend of the Guardians : The Owl of Ga'Hoole Movie Review

Movie Review
Legend of the Guardians : The Owl of Ga'Hoole ( 2010 ) Movie Review by FallsDownz
สุดอลังไปกับสงครามนกฮูก จากผู้กำกับ 300 !!



           ในปีๆหนึ่งนั้น มีภาพยนตร์เข้าฉายและถูกสร้างขึ้นมามากมาย ซึ่งภาพยนตร์หลายๆเรื่อง เราก็ดูไปแบบผ่านๆแล้วก็ลืมๆมันไป และมันก็จะมีภาพยนตร์บางเรื่องที่มัน "โดนใจ" เราอย่างเต็มเปาถึงแม้บางครั้งมันอาจจะ "ห่วย" ก็ตาม เราเรียกภาพยนตร์เหล่านี้ว่า "Guilty Pleasure"

Legend of the Guardians : The Owl of Ga'Hoole  เป็นหนึ่งในภาพยนตร์เรื่องนั้นสำหรับตัวผู้เขียนเอง (นอกจากนั้นก็จะมี Final Destination ทุกภาค) ซึ่ง Legend of the Guardians นั้น จริงๆแล้วเป็นภาพยนตร์อนิเมชั่นที่มีต้นแบบมาจากหนังสือนวนิยาย (อีกแล้ว) ในชื่อเดียวกัน ซึ่งมีหลายภาคมากๆเลยทีเดียว ถึงแม้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะเรียกได้ว่า ไม่ได้ล้มเหลวในด้านรายได้ซักเท่าไรนัก แต่ก็ถือว่าไม่ได้ประสบความสำเร็จเท่าใดเช่นกัน จากทุนสร้างถึง 85 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่กลับได้มาทั่วโลกเพียง 140 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งผู้เขียนคาดว่า น่าจะเป็นส่วนสำคัญมาก ที่ทำให้ทางค่าย Warner Bros. ไม่ตัดสินใจทำภาคต่อ ถึงแม้ว่าจะมีข่าวแว่วๆออกมาบ้างก็ตาม แต่ตอนนี้ผ่านมา 4 ปีแล้วก็ยังเงียบกริบ (อย่าลืมภาคต่อ Final Destination ตูละเห้ย Warner / Timeline )

ต้องขอสารภาพเลยว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้ ผู้เขียนชมครั้งแรกในโรงภาพยนตร์และก็ติดใจกับมันมาก  หลังจากนั้นก็ได้มีโอกาสชมอีกบ้าง 1-2 ครั้ง ซึ่งไม่น่าเชื่อเลยว่า ไม่ว่าจะดูกี่ครั้งก็ตาม ผู้เขียนรู้สึก สนุก ตื่นเต้นเหลือเกิน ทั้งๆที่ทราบดีว่าฉากต่อไปมันจะเป็นอย่างไร ตัวละครจะพูดอะไร 

สิ่งที่ถูกใจผู้เขียนมากที่สุดในภาพยนตร์เรื่องนี้ ก็คงจะหนีไม่พ้นฉากต่อสู้ของมัน ซึ่งก็เรียกได้ว่าสมกับเป็น Zack Snyder จริงๆ เพราะมันช่างสนุก ตื่นเต้น และเท่ห์ไปพร้อมๆกันเสียจริงๆ แต่สิ่งที่ทำให้มันโดดเด่นจริงๆเลยก็คือ ความที่ตัวละครทุกตัวในภาพยนตร์เป็น นกฮูกหรือสัตว์ทั้งหมด คือไม่มีมนุษย์เลยนั้นเอง การที่เราได้มานั่งดูนกฮูกพกดาบคู่บินไล่ฟันตัวร้าย มันช่างสนุกสนานอย่างบอกไม่ถูก 

นอกจากนั้น CG ในภาพยนตร์ก็ช่างสวยงาม อลังการ เหลือเกิน ถึงแม้จะผ่านมา 4 ปีแล้ว ณ ปัจจุบัน มันก็ยังดูสวยงามไม่เปลี่ยน ถึงแม้ว่ามันจะฟุ้งเฟ้อ และรายละเอียดน้อยไปนิดไปบ้างก็ตาม

ในด้านรายละเอียดยิบย่อยของมันเองก็น่าสนใจไม่แพ้กัน เช่น การพูดถึงความฝัน กับ โลกแห่งความจริง , การเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ของภาพยนตร์

หรือตัวละครต่างๆในภาพยนตร์ที่ช่างน่าสนใจ และมีคาแรคเตอร์เป็นของตัวเอง เช่น ดิกเกอร์ นกฮูกนักขุดสุดแสนฮา ที่ปล่อยมุขสุดแปค และหน้าตาสุดฮาตลอดเวลา

แต่ก็ต้องยอมรับอย่างเต็มประตูจริงๆเลย ว่า Legend of the Guardians : The Owl of Ga'Hoole มีหลายด้านมากที่มีปัญหา

โดยเฉพาะบทภาพยนตร์ที่พยายามโยงกันมั่วซั่ว พยายามสร้างความอลังการให้มัน แต่ความจริงแล้วมันช่างแบนเหลือเกิน และไม่มีอะไรนอกจาก ตัวดี Vs. ตัวร้าย เท่านั้นจริงๆ ไม่ว่าตัวภาพยนตร์จะพยายามพูดอย่างไร มันก็ไม่ได้ทำให้ตัวหนังมันเป็นไปได้มากกว่านั้น 

ซึ่งสาเหตุที่เป็นเช่นนั้นส่วนหนึ่งก็มาจากความเพ้อฝันของภาพยนตร์ ที่หลายๆอย่างมันช่างไม่สมเหตุสมผล และไม่น่าเชื่อถือเหลือเกิน เหมือนอยู่ดีๆก็เป็นไปเช่นนั้น หรือใช้โชคเข้าช่วย แบบไม่มีการอธิบาย ซึ่งมันน่าเสียดายมาก เพราะโลกของ Legend of the Guardians ในหลายๆส่วนก็น่าสนใจแท้ๆ โดยเฉพาะ ความขัดแย้งระหว่างพี่น้อง ความอิจฉา ริษยา และความเคียดแค้นนี้ มันน่าจะแรงพอที่จะทำให้เราสนใจได้ แต่ตัวภาพยนตร์กลับไม่ได้ลงไปลึกในด้านนี้มากเท่าไรนักเลย มันทำให้ทุกอย่างมันกลายเป็นโคตรสุดแสนจะ Cliche ตามแม่แบบ และตามแม่แบบชนิดที่ไม่ค่อยได้คุณภาพซักเท่าไรเสียด้วย

นี้ก็น่าจะเป็นผลมาจากการกำกับของ Zack Snyder ที่น่าทึ่งในด้านของภาพ และเทคนิค แต่กลับล้มเหลวในด้านบทภาพยนตร์แทบจะทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น Sucker Punch หรือ Man of Steel ก็ต่างประสบปัญหานี้เช่นกัน (ถึงแม้มันจะโคตรสนุกก็ตาม.....)

Legend of the Guardians : The Owl of Ga'Hoole ถึงแม้ว่าท้ายที่สุด จะไม่ได้เป็นภาพยนตร์อนิเมชั่นที่ยอดเยี่ยมหรือแม้แต่ดีซักเท่าไรนัก แต่มันก็น่าจะเป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์อนิเมชั่นที่ยอดเยี่ยมได้ ถ้าหากได้รับการแก้ไขที่ถูกทิศ ถูกทาง โดยเฉพาะตัวผู้กำกับที่จะส่งผลอย่างมากต่อภาพยนตร์ ผู้เขียนก็ได้แต่หวังว่าซักวัน เราจะได้มีโอกาสได้ชมภาคต่อของภาพยนตร์อนิเมชั่นที่น่าจดจำเรื่องนี้

Final Score : [ B ] 

วันอาทิตย์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2557

Divergent ( 2014 ) Movie Review

Movie Review
Hunger Games ฉบับ Wanna be



ไม่แน่ใจว่าทุกวันนี้ ค่ายสตูดิโอภาพยนตร์ Hollywood แต่ละค่ายนี้ ให้อนุมัติภาพยนตร์แต่ละเรื่องอย่างไร เพราะว่าถ้าหากเราสังเกตุกันดีๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ เต็มไปด้วยภาพยนตร์ที่สร้างมาจากหนังสือตลอดเวลา โดยเฉพาะหนังสือเยาวชน ไม่ว่าจะเป็น The Hunger Games , Harry Potter , Beautiful Creatures , The Host , The Mortal Instruments อื่นๆอีกมากมาย เสมือนกับว่าค่ายภาพยนตร์จะอนุมัติการสร้างภาพยนตร์อย่างง่ายดาย ถ้าหากมันมีต้นแบบมาจากหนังสือนวนิยาย


ซึ่งก็ต้องพูดเลยว่า ตัวผู้เขียนไม่ได้เกลียดหรือเบื่อภาพยนตร์แนวเหล่านี้เลย กลับกัน ผู้เขียนกลับชอบด้วยซ้ำไป โดยเฉพาะการที่ตัวผู้เขียน ไม่เคยอ่านหนังสือเหล่านี้มาก่อนเลย มันยิ่งเป็นเหมือนการเปิดประตูไปสู่โลกใหม่ โดยที่เราไม่รู้เลยว่าอะไรมันจะอยู่ข้างหน้า


แต่ปัญหาก็คือภาพยนตร์ที่สร้างมาจากนวนิยายหลายเรื่องนั้น มักจะออกมาค่อนข้างจะน่าผิดหวัง หรือแย่เสมอๆ ทั้งๆที่ภาพยนตร์เหล่านี้ก็เต็มไปด้วยองค์ประกอบต่างๆที่น่าจะทำให้มันน่าสนใจ และเป็นภาพยนตร์ชุดอีกชุดหนึ่งที่ดีได้ เช่น The Host ที่มีเรื่องราวขัดแย้งที่น่าสนใจ แต่กลับถ่ายทอดออกมาอย่างกับละครทีวี , Beautiful Creatures ที่มีเรื่องราว ประวัติ และนักแสดงบางคนที่ดี แต่บางช่วงกลับรู้สึกได้ถึงความมักง่าย และน่าอนาจเป็นที่สุด (เช่น CG) หรือ The Mortal Instruments : City of Bones ที่มีปมความขัดแย้ง และองค์ประกอบฉากต่างๆที่น่าสนใจ แต่ในท้ายที่สุดกลับใส่ความเป็น Twilight ลงไป ทำลายความน่าสนใจของภาพยนตร์อย่างง่ายดาย

ซึ่งปัญหาเหล่านี้หลายครั้ง มาจากความยากในการแปลงตัวหนังสือให้เป็นภาพ โดยไม่ทำให้มันสูญเสียคุณภาพ และไม่ทำให้มันกลายเป็นละคร หรือ ฝีมือการควบคุมและกำกับของผู้กำกับหลายคน ที่ยังฝีมือไม่ถึงก็มีส่วนอีกด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดายเหลือเกิน


Divergent เป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์ที่ผู้เขียนต้องสารภาพจากใจเลยว่า ตอนแรกนั้นไม่คา
ดหวังอะไรจากมันเลย และคิดว่ามันจะห่วยอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะในด้านใดๆก็ตาม (จากตัวอย่างที่สุดแสนจะส่อถึงความ Cliche ซ้ำซากของมันอย่างสุดขีด) 

และก็ต้องพูดเลยว่าถึงแม้จะไม่อยากเปรียบเทียบก็ตาม แต่ด้วยความเหมือนกันหลายๆอย่างระหว่าง Divergent กับ The Hunger Games ทำให้อดเปรียบเทียบกันไม่ได้จริงๆ ไม่ว่าจะเป็นการแยกเป็นหน่วยต่างๆ องค์กรต่างๆ (และเขตต่างๆใน The Hunger Games) การพยายามควบคุมมนุษย์และพูดถึงอิสระภาพ ความเท่าเทียมกันของมนุษย์ และอื่นๆอีกมากมาย

ต้องพูดเลยว่าใน The Hunger Games นั้น เรียกได้ว่าแทบจะทุกด้าน ทำได้ดีกว่า Divergent อย่างมาก แต่ด้านที่เรียกได้ว่าชัดเจนมากที่สุด ก็คงจะหนีไม่พ้น ความน่าเชื่อถือและหนักแน่นของภาพยนตร์ ที่ The Hunger Games ทำให้เราเชื่อจริงๆ ว่าตัวละครเหล่านี้อยู่ในวิกฤติ พวกเขาไร้ทางเลือก แต่ก็ต้องถูกบังคับให้ทำจริงๆ รวมไปถึงประเด็นการลุกขึ้นมาต่อสู้กับความเท่าเทียมที่เห็นได้อย่างชัดเจน

แต่ใน Divergent หลายๆสิ่งหลายๆอย่างกลับดูช่าง ง่ายดาย ไร้คำอธิบายอย่างสิ้นเชิง บางสิ่งที่ตัวหนังอธิบายก็ช่างโคตรจะผิวเผิน จนเราไม่รู้สึกและไม่เข้าใจอะไรในมันเลย เช่นทำไมตัวละครถึงมีพลังพิเศษ แต่กลับอ้างอย่างน่าอนาจ เปรียบเสมือนว่าตัวเองไม่มั่นใจว่าตอบอย่างไรจึงจะทำให้มันสมเหตุสมผล หรือน่าเชื่อถือ จึงตอบด้วยความก่ำกึ่ง จะได้ไม่ทั้งถูกทั้งผิดแทน อย่างเช่นการอ้างถึงทฤษฏีความเป็นไปได้ อย่างคำว่า "มันไม่ใช่เป็นไปไม่ได้ มันแค่หายากมากๆเท่านั้น" ซึ่งเป็นคำพูดจากในตัวอย่างภาพยนตร์ ที่ทำให้ผู้เขียนรู้สึกส่ายหน้า และอนาจในตัวหนังอย่างบอกไม่ถูก สรุปคือ พวกเขาอยากให้เราเชื่อจริงๆหรือว่า ความเป็นไปได้ไม่รู้กี่ % นั้น มันจะต้องมาเป็นตัวละครนี้อย่างบังเอิญงั้นหรือ ? ซึ่งมันช่างน่าสมเพศเหลือเกิน

หรือ เรื่องราวใน Faction อื่นๆในภาพยนตร์ที่ตัวหนังอธิบายเพียงราวๆ 2นาที และเราแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับกับ Faction เหล่านี้นอกจากชื่อและประวัติที่เบาบางอย่างกับ Intro ของมัน ทั้งๆที่เรื่องราวเหล่านี้มันก็น่าสนใจไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว ใช่ใน The Hunger Games ก็ไม่ได้นำเสนอในแง่มุมของเขตอื่นมาก แต่หลายครั้ง The Hunger Games ก็นำเสนอเรื่องราวในแต่ละเขต ผ่านตัวละครประจำเขตต่างๆ ได้เสมอๆ ไม่ว่าจะเป็นทัศนะคติของแต่ละเขต หรือบางครั้งเรื่องราวเชื่อมโยงของแต่ละเขต แต่ใน Divergent กลับผิวเผินสุดๆจนทำให้ผู้เขียนตั้งคำุถามเหมือนกันว่า Faction บาง Faction มันจะมีมาเพื่ออะไรมิทราบ และสาเหตุที่จะต้องแยก Faction หรือทำไมโลกถึงได้เป็นเช่นนี้แต่แรก ก็มีการอธิบายที่น้อย และง่ายดายไร้ความน่าเชื่อถืออย่างมาก เสมือนตัวหนังไม่ได้แคร์ถึงความสมเหตุสมผลด้านนี้ใดๆเลย ไม่แน่ใจว่า ในส่วนนี้จะมีการอธิบายในภาคต่อไปหรือไม่ แต่การที่เริ่มจากยุคๆหนึ่ง โดยไม่บอกความเป็นมาเป็นไปของยุคก่อนๆเลย มันจะทำให้ภาพยนตร์ดูโดดอย่างมาก และเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง


ในด้านของตัวละครในภาพยนตร์ก็ช่าง สุดแสนจะ Cliche ของแท้ คุณจะไม่มีวันตกใจ หรือ ประหลาดใจกับตัวละครเหล่านี้เลย คุณจะรู้ว่าพวกเขาจะมีนิสัยอย่างไรเปะๆ ถึงแม้คุณจะแอบหวังว่าคุณจะเดาผิด แต่คุณก็เดาถูกอยู่ดี แต่นักแสดงคนที่เรียกได้ว่าน่าผิดหวังจริงๆเลยก็คือ Kate Winslet เจ้าของรางวัลออสการ์ และนักแสดงชื่อดังจาก Titanic ที่แสดงใน Divergent อย่างกับถูกบังคับให้เล่น เสมือนไม่ได้แคร์และไม่ได้ใส่ใจอะไรใดๆเลย ช่างแข็งทื่ออย่างกับหินเสียจริงๆ ยิ่งบวกกับตัวละครที่แสน Cliche ตัด/แปะจากแม่พิมพ์กระดาษที่สุดแสนจะขี้เกียจแล้ว ยิ่งรู้สึกอนาจตัวละครนี้อย่างบอกไม่ถูก



แต่ใช่ว่า Divergent จะไม่มีด้านสว่างที่เปรียบเสมือนความหวังอันน้อยนิดที่ให้กับผู้เขียนเลยซะทีเดียว เพราะมีสิ่งหนึ่งที่เรียกได้ว่าเป็นสิ่งค้ำจุนให้หนังเรื่องนี้ ไม่ตกลงไปในห้วงเหวของความสิ้นหวัง (ไปมากกว่านี้)
สิ่งๆนั้นที่ต้องขอชมเลยก็คือ นักแสดงนำอย่าง Shailene Woodley ที่พูดได้อย่างเต็มปากเลยว่า เธอเป็นคนที่แบกหนังไว้ทั้งเรื่องจริงๆ จากการแสดงของเธอที่ทำให้เราเชื่อและสนใจในตัวละครของเธออย่างมากจริงๆ เรารู้สึกเอาใจช่วยเธอในการผ่านอุปสรรคต่างๆอย่างมากเลยทีเดียว เพราะจะว่าไปแล้วเธอก็เป็นเพียงสิ่งๆเดียวในภาพยนตร์ ที่ไม่เต็มไปด้วยความซ้ำซาก จำเจ และจอมปลอมไปเสียหมด และอย่างน้อยเธอก็เป็นคนที่ทำให้ Divergent ไม่กลายเป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์ที่สุดแสนจะน่าเบื่อ และทรมาณในการรับชมเหมือนภาพยนตร์หลายๆเรื่อง



Divergent ในท้ายที่สุดแล้ว ก็เป็นอีกหนึ่งในภาพยนตร์ที่มีต้นฉบับมาจากหนังสือนวนิยายขายดี ที่ยังคงล้มเหลวในแทบจะทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นบทภาพยนตร์ที่สุดแสนจะซ้ำซาก น่าเบื่อ , รายละเอียดของภาพยนตร์ที่ผิวเผินเสมือนไม่ได้สนใจด้วยซ้ำไป , ตัวละคร 99% ของทั้งเรื่องที่สุดแสนจะ Cliche จนเหมือนลามไปสู่นักแสดงที่พลอยแสดงออกมาได้อย่างน่าอนาจไปด้วย และสิ่งที่เลวร้ายที่สุดของมันเลยก็คือ ทุกอย่างมันดูง่ายดาย และใช้เหตุผลอ้างอย่างหน้าไม่อายของมัน เป็นสิ่งที่ทำให้ผู้เขียนยิ่งสงสัยเข้าไปอีก ว่าสรุปแล้ว คนอนุมัติสร้างภาพยนตร์ได้อ่านบทภาพยนตร์หรือไม่ หรือว่าเซ็นๆมันไป เพราะว่ามันสร้างมาจากหนังสือนวนิยายขายดี ขายดีหมายความว่ามันจะต้องได้เงินเยอะๆ และต้องยอดเยี่ยมเหมือน Harry Potter หรือ The Hunger Games อย่างแน่นอนใช่ไหมล่ะ !! ไม่ใช่ว้อยยยย !!

Final Score : [ C - ]

วันอังคารที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2557

Army of Shadows aka. L'armée des ombres ( 1969 ) Movie Review

Movie Review
ผลงานที่ยอดเยี่ยมที่สุดของ Jean-Pierre Melville 



อีกหนึ่งภาพยนตร์ของผู้กำกับระดับโลก Jean-Pierre Melville ที่สมคำร่ำลือกับคำชมล้นหลามจากนักวิจารณ์ต่างประเทศ ว่านี้คือผลงานที่ยอดเยี่ยมที่สุดของเขา


Army of Shadows นั้น เนื่องจากเป็นภาพยนตร์ที่กึ่งๆจะแสดงถึงทัศนะคติของ Jean-Pierre Melville ที่เรียกได้ว่าสร้างความไม่พอใจให้กับชาวฝรั่งเศสในช่วงนั้นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 1968 ได้มีเหตุการณ์ประท้วงที่ค่อนข้างจะรุนแรงเกิดขึ้น แล้วหนังดันมาสร้างในปีต่อมา


Army of Shadows เป็นภาพยนตร์ที่ยังคงเอกลักษณ์ของ Jean-Pierre Melville ได้อย่างยอดเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นโทนสีของภาพยนตร์ ที่ยังคงแนว ขาว/ดำ , ตัวโครงเรื่องของภาพยนตร์ที่ยังรักษาความเป็น "โศกนาฏกรรม" ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อน และ ทัศนะคติชายเป็นใหญ่เช่นเคย แต่สิ่งที่ทำให้ Jean-Pierre Melville พิเศษจริงๆเลย ก็คือการตัดต่อที่ทำลาย "เวลา" น้อยของภาพยนตร์ ซึ่งมันสร้างความอึดอัด น่ารำคาญให้กับผู้ชมอย่างมาก และเขาก็นำความอึดอัดนั้น มาใช้ในการเล่าเรื่องได้อย่างยอดเยี่ยมเช่นเคย


แต่สิ่งที่ทำให้ Army of Shadows เป็นภาพยนตร์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดของเขา ก็คงหนีไม่พ้นในด้านของบทภาพยนตร์ ที่นอกจากจะพูดถึงบริบททางสังคมของประเทศฝรั่งเศสในขณะนั้น ที่ถูกครอบงำโดยนาซี (แต่กลับไม่ได้เน้นในด้านความชั่วช้า เลวทราม อย่างน่าอนาจแบบภาพยนตร์หลายๆเรื่อง แต่ก็ยังคงมีให้เห็นอยู่บ้าง) และแน่นอนพูดถึงทัศนะคติของ Jean-Pierre Melville เอง ซึ่งก็พอจะเข้าใจว่าทำไม ทัศนะคติของเขานั้น ทำให้หลายๆคนในประเทศฝรั่งเศสขณะนั้น ไม่พอใจ ก็เพราะว่า การที่เขาไม่เลือกข้างใดข้างหนึ่งเลยนั้นเอง ใช่นาซีมันเลวมันไม่ดี แต่เขาก็ตั้งคำถามเช่นกัน ว่ากลุ่มองค์กรลับที่ต่อต้านนาซีเนี้ย พวกเขาแตกต่างอะไรจากพวกนาซีมากนักหรือ ? พวกเขาแน่ใจได้อย่างไร ว่าสิ่งที่พวกเขาทำนั้นถูกต้องอย่างแท้จริง ? อะไรคือจุดที่แบ่งแยกความดีและความชั่ว สิ่งที่ควรทำ ไม่ควรทำกันแน่ ?

นอกจากนั้น Melville ยังได้ลงไปลึกกว่านั้น จากการพูดถึงสันดานความเป็น "มนุษย์" และเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ได้อย่างน่าสนใจ เช่น ชีวิต กับ ศักดิ์ศรี อะไรกันแน่ที่สำคัญกว่ากัน จากฉากที่ตัวละครเอกอย่าง Gerbier ไม่ยอมวิ่งหนีทั้งๆที่ตัวเองกำลังจะถูกทหารนาซียิง ด้วยความเย่อหยิ่ง แต่สุดท้ายก็วิ่ง และก็ดันถูกช่วย มีชีวิตรอดออกมาจริงๆเสียด้วย ซึ่งนอกจากตัวละครจะตั้งคำถามตัวเองแล้ว มันยังทำให้คนดูตั้งคำถามอีกด้วย ว่าถ้าหากเขาไม่วิ่งละ ? , จุดแบ่งระหว่างสิ่งที่ควรทำ และไม่ควรทำอยู่ที่ใด เช่นเราควรจะฆ่าคนที่ช่วยชีวิตเราหรือไม่ ถ้าหากคนๆนั้นเป็นอันตรายต่อเรา ? หรือ ฉากรับประทานอาหารระหว่าง Luc Jardie กับ Francois Jardie ที่ไม่แน่ใจว่าเป็นพ่อลูก หรือ พี่น้องกันแน่ แต่ที่แน่ๆก็คือ ในฉากๆนั้น จากมุมกล้อง และการถ่ายทำนั้น มันเกินเลยไปกว่านั้นมาก เพราะมันคือ "ความรักที่เป็นไปไม่ได้" และตัว Francois เองก็รู้ดี และทำอะไรไม่ได้นอกจากเดินจากไป โดยที่ไม่สามารถจะพูดอะไรได้ ซึ่งเป็นจุดที่พัฒนามาจากภาพยนตร์เรื่องก่อนหน้านี้ของ Jean-Pierre Melville ที่พูดถึงอะไรที่ลึกลงไปในจิตใจของแต่ตัวละคร มากกว่าจะพูดโดยรวมแบบใน Le Samourai หรือ พูดในสิ่งที่เป็นนามธรรมเช่น โชคชะตา หรือ พรมลิขิต อย่างใน Le cercle Rouge


Army of Shadows เป็นภาพยนตร์ที่นอกจากจะแสดงถึงทัศนะคติของตัวผู้กำกับเองแล้ว ยังอธิบายถึงความเป็นมนุษย์ได้อย่างน่าทึ่ง น่าสนใจมากอีกด้วย นอกจากนั้นมันยังแสดงถึงทัศนะคติหลายๆด้านที่หลายๆคนไม่กล้าพูด เฉกเช่นการรู้สึก "อิจฉา" ของคนประเทศฝรั่งเศส ที่มีต่อคนประเทศอังกฤษในขณะนั้น Army of Shadows ในท้ายที่สุดแล้ว เป็นอะไรไปไม่ได้ นอกจากหนึ่งในภาพยนตร์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลก ที่ทำให้ภาพยนตร์หลายๆเรื่องของ Hollywood กลายเป็นหนังขายของเด็กเล่นข้างทาง และ เป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่ผู้เขียนชอบมากที่สุดตลอดกาลอีกเรื่องหนึ่งด้วย

Final Score : [ A++ ] & [ Must See Badge ]

Mr. Peabody & Sherman ( 2014 ) Movie Review by FallsDownz

Movie Review 
ผจญภัยท่องโลกอดีตไปกับ Mr. Peabody !!! 



อีกหนึ่งภาพยนตร์อนิเมชั่นจากค่าย Dream Works ที่พูดถึงสุนัขพูดได้ มีความฉลาดเป็นกรด (ยิ่งกว่ามนุษย์เสียอีกดูท่าทาง) ที่มีชื่อว่า Mr.Peabody และเขาได้รับ Sherman มาเป็นบุตรบุญธรรม แต่วันหนึ่งก็เกิดปัญหาที่ใหญ่หลวงขึ้น เมื่อ Sherman และ Penny เพื่อนของเขา ได้แอบเข้าไปในเครื่องย้อนเวลาที่ Mr.Peabody สร้างขึ้น ทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายมากมาย พวกเขาจะสามารถแก้ไขเรื่องราวที่อาจจะส่งผลถึงอดีต ปัจจุบัน และอนาคตไปตลอดกาลได้หรือไม่ !!? 


สิ่งที่น่าสนใจมากๆในทีมงานของภาพยนตร์เรื่องนี้เลย ก็คือผู้กำกับอย่าง Rob Minkoff ที่หลายๆท่านน่าจะคุ้นๆกับผลงานการกำกับชิ้นก่อนๆของเขา เช่น Stuart Little ทั้งสองภาค หรือภาพยนตร์โด่งดังอีกเรื่องหนึ่งอย่าง The Lion King (กำกับร่วม) ซึ่งมันน่าสนใจตรงที่ว่า ภาพยนตร์ที่เขากำกับ หลายเรื่องนั้นมักจะพูดถึงเรื่องราว ชีวิต และมุมมองต่างๆในสัตว์ชนิดต่างๆ เช่น สิงโตใน The Lion King หรือ หนูจาก Stuart Little ซึ่ง Mr. Peabody & Sherman นั้น เปรียบเสมือนเป็นการกลับมาสู่จุดที่เขาถนัดอีกครั้งก็น่าจะใช่ (จากภาพยนตร์เกี่ยวกับสัตว์เรื่องล่าสุดของเขาก็ Stuart Little 2 ปี 2002 นู้นเลยทีเดียว)


ต้องยอมรับอย่างเต็มอกเลยว่า Mr. Peabody & Sherman นั้นเป็นภาพยนตร์ที่สนุกและน่าสนใจเสียจริงๆ จากการเล่าเรื่องที่กระฉับกระเฉง ลื่นไหล สนุก ตื่นเต้นอยู่ตลอดเวลาของมัน
ซึ่งส่วนหนึ่งก็เป็นผลอันเนื่องมาจากความเป็น Adventure ของมัน  
นอกจากนั้นตัวละครต่างๆในภาพยนตร์ก็ช่างน่าสนใจ และค่อนข้างมีความลึก เบื้องหลังต่างๆพอสมควรเลยทีเดียว ซึ่งในจุดนี้เรียกได้ว่าเป็นจุดที่แข็งแรงที่สุดของภาพยนตร์เลยก็ว่าได้ ซึ่งเข้าใจว่า น่าจะเป็นส่วนที่ทางผู้สร้างน่าจะให้ความสำคัญมากที่สุดแล้ว เพราะมันสำคัญมากถึงมากที่สุดในการสื่อความหมายหรือสิ่งที่ตัวภาพยนตร์ต้องการจะบอกให้กับผู้ชม (เพราะถ้าหากเขียนตัวละครมาห่วย คนดูคงไม่เข้าใจอะไร โดยเฉพาะกับข้อความชนิดที่ต้องพึ่งให้ผู้ชมมีความผูกพันธ์กับตัวละครอย่างมากถึงจะเข้าใจและมีอารมณ์ร่วม) 

รวมไปถึงการที่เราได้พบเจอตัวละครอย่าง ฟาโรห์ตุตันคาเม็น , ลีโอนาโด้ ดาวินชี่ , อัลเบิรต์ ไอนสไตน์ หรืออื่นๆอีกมากมาย ในภาพยนตร์ ที่พวกเขานั้นเต็มไปด้วยบุคลิกสุดแสนฮาซักครั้งหนึ่ง ก็ถือว่าคุ้มค่าตั๋วอย่างบอกไม่ถูกแล้ว นี้ยังไม่รวมถึงการเข้าไปมีส่วนร่วมในประวัติศาสตร์เล็กน้อยในภาพยนตร์ ที่แอบให้ความรู้กับผู้ชมอยู่เหมือนกัน



แต่สิ่งที่ทำให้ผู้เขียนประทับใจมากที่สุด ก็คงจะหนีไม่พ้น Theme หรือข้อคิดของภาพยนตร์ (หรือสิ่งที่ภาพยนตร์ต้องการจะพูดหรือบอกนั้นแหละ) ที่มีการตั้งคำถามถึงความรักข้ามสายพันธ์ ตัวอย่างจาก มนุษย์กับสุนัข หรือ Sherman กับ Mr. Peabody ในภาพยนตร์ ซึ่งตัวหนังตั้งคำถามได้อย่างน่าสนใจมากๆ ว่า อะไรกันแน่คือตัวตัดสินว่าสิ่งมีชีวิต ชีวิตหนึ่งจะเลี้ยงดูมนุษย์ได้ เผ่าพันธุ์ จุดกำเนิด ร่างกาย เท่านั้นหรือ ? ไม่ใช่ความรักที่มีต่อเด็กหรอกหรือที่สำคัญมากที่สุด ? ซึ่งต้องขอชมจริงๆเลยว่า ตัวภาพยนตร์นั้นทำให้เราเชื่อในจุดนี้ได้เต็มๆเลยทีเดียว


โดยเฉพาะทั้งๆที่ สิ่งๆนั้นมันเป็นไปไม่ได้ ซึ่งก็นำมาถึงจุดด้อยของภาพยนตร์ ที่เต็มไปด้วยการไร้คำอธิบาย หลายๆสิ่งหลายๆอย่างมากที่ไม่มีความสมเหตุสมผลใดๆทั้งนั้น เช่นสุนัขทำไมถึงพูดได้ แล้วดันเกิดมาฉลาดขนาดนั้น หรือฉากจบของภาพยนตร์ที่มีบางส่วนไม่มีการอธิบายอะไรเลย ทำให้จบแบบค้างคาอยู่พอสมควร ใช่ตัวภาพยนตร์ต้องยอมรับเลยว่าทำได้ดีจริงๆ ในด้านของการปูพิ้นหลัง และให้เหตุผลบางด้านกับตัวละคร แต่ไม่แน่ใจว่า ลืมไปรึเปล่า ว่าพวกเขาไม่ได้ใส่เหตุและผลในด้านการมีอยู่ของความเหนือจริงบางอย่างในภาพยนตร์ ที่ยังคงเป็น 0 ในด้านการอธิบาย ถ้าหากจะบอกว่ามันคือหนังเด็กแล้วมันจะ เหนือจริงเท่าไรก็ได้ ถ้าเป็นเช่นนั้น ก็คงไม่จำเป็นจะต้องมีเหตุและผลอะไรอีกต่อไปแล้วในการชมภาพยนตร์อนิเมชั่น


นอกจากนั้นในด้านการอธิบายประวัติศาสตร์ต่างๆในภาพยนตร์ ที่เรียกได้ว่าเป็นอีกจุดหนึ่งที่ควรจะเป็นจุดได้เปรียบของหนัง แต่ในจุดนี้กลับตื้นและมีการอธิบายที่น้อยสุดๆ บางยุคอธิบายราวๆ 1 ประโยคเท่านั้นเอง ไม่มีการพูดถึงเหตุผล ความเป็นมาและผลของมันเลย ซึ่งถือได้ว่าน่าเสียดายอย่างมาก


Mr. Peabody & Sherman ในท้ายที่สุดแล้วก็ต้องพูดเลยว่า ช่างน่าเสียดายเหลือเกิน ที่ไปไม่ถึงดวงดาว (ไม่ใช่ The Star นะ) ทั้งๆที่หลายๆองค์ประกอบของมันก็ไปถึงแท้ๆ และบางส่วนก็ทำได้อย่างดีเยี่ยมอยู่แล้ว เช่นตัวละครที่น่าสนใจ การเล่าเรื่องที่ยอดเยี่ยม และผู้กำกับ Rob Minkoff ก็ทำให้เราหลงรักกับตัวละครสัตว์เช่นนี้ได้อีกครั้งเช่นกัน แต่กลับมีหลายส่วนของภาพยนตร์ที่ตื้นมากๆหรือไร้การอธิบายไปเลยก็มี ทำให้ในบางด้านของภาพยนตร์นั้นกลวงไปอย่างน่าเสียดาย 

ในอีกด้านหนึ่ง ก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกัน ว่าแอบหลงรักภาพยนตร์เรื่องนี้ไปพอสมควรเหมือนกัน ใช่มันไม่ได้ Perfect มันไม่ได้เป็นภาพยนตร์แห่งปีอะไร แต่อย่างน้อยมันก็เป็นภาพยนตร์ที่สร้างความอบอุ่นให้กับหัวใจของเราได้อย่าง ง่ายดาย ยิ่งเป็นคนที่รักสุนัขหรือสัตว์อยู่แล้ว ท่านจะยิ่งหลงรักภาพยนตร์เรื่องนี้มากกว่าชาวบ้าน ชาวช่องเขาอย่างแน่นอน (และหนึ่งในนั้นก็คือผู้เขียนนี้แหละ)


Final Score : [ B+ ] & [ Must See Badge ] 

วันอาทิตย์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2557

Non-Stop ( 2014 ) Movie Review by FallsDownz

Movie Reviewz
"ลุงเลียม บนเครื่องบิน !!"

อ่านบทวิจารณ์เก่าๆและติดตามบทวิจารณ์อันใหม่ๆได้ที่นี้ครับ 
http://fallsdownz.blogspot.com/




Non-Stop เป็นภาพยนตร์แนวแอ๊คชั่น ระทึกขวัญ ของคุณลุง เลียม นีสัน ที่ไม่ทราบว่าจะเล่นหนังแนวเดียวไปจนตายหรือว่าอย่างไร ซึ่งเขามากับ ผู้กำกับ Jaume Collect-Serra ซึ่งทั้งคู่ร่วมงานกันมาครั้งหนึ่งแล้วใน Unknown (ที่ไม่ค่อยจะเวิรค์ซักเท่าไรนัก) 



Non-Stop ว่าด้วยเรื่องราวของบิลผู้ซึ่งพบว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก เมื่อเขาได้รับข้อความปริศนา ขู่ว่าจะต้องหาเงินมาจ่ายให้ได้ 150 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือว่าภายใน 20 นาทีจะต้องมีคนตาย บนเครื่องบินที่กำลังลอยอยู่กลางอากาศนั้น เขาจะต้องหาคนร้ายให้ได้ ก่อนที่ทุกคนบนเครื่องบินจะเป็นศพไปเสียก่อน !!



Non-Stop ในครึ่งแรกของมันนั้นเรียกได้ว่า น่าเบื่อ ซ้ำซาก และ Cliche เดาง่ายอย่างมาก ด้วยบท Dialog ที่ซ้ำซาก ไม่ว่าจะเป็น แกต้องการอะไร เอาเงินมา จะมีคนตายทุก...นาที ซึ่งเราเคยเห็นอะไรเหล่านี้มาก่อนแล้ว โดยเฉพาะการที่จัดแต่งให้ตัวเอกดูเหมือนเสียสติ ที่ซ้ำซาก น่าเบื่อ และไร้รสชาติสิ้นดี ซึ่งผลของมันคือเกือบ 1 ชั่วโมงที่แสนจะอืดยิ่งกว่ามาม่าค้างปี



แต่ในครึ่งหลังนั้น ทำให้ผู้เขียนพบว่าตัวหนังมีไอเดียต่างๆที่ดีเลยทีเดียว โดยเฉพาะสิ่งที่หนังต้องการจะสื่อ มันน่าสนใจมากเลยทีเดียว  แต่ก็เหมือนใน Unknown ที่การกำกับ เล่าเรื่อง และถ่ายทอดออกมามันยังไม่ดีพอเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในการที่ตัวภาพยนตร์ไม่สามารถที่จะทำให้คนดูเชื่อในเหตุและผลบางส่วนของตัวมันเองได้เลย นอกจากนั้นในบางจุดก็ไร้การอธิบายอย่างหน้าตาเฉยอีกด้วย มันทำให้ข้อความที่ตัวหนังต้องการจะสื่อและพูดถึง ไร้น้ำหนักและไร้ความน่าเชื่อถือไปโดยปริยาย


นอกจากนั้นแล้วตัวหนังก็ไม่ได้โดดเด่นหรือน่าจดจำอะไรซักด้าน จากบทที่น่าสนใจแต่ถ่ายทอดออกมาแย่ การสืบสวนหรือดำเนินเรื่องที่น่าเบื่อ ซ้ำซาก หรือฉากแอ๊คชั่นที่ก็งั้นๆไม่น่าจดจำเท่าไรของหนัง ถึงแม้ว่าจะมีพลังของลุงเลียมเข้ามาช่วย มันก็ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นซักเท่าไรนัก



Non-Stop ในท้ายที่สุดแล้ว ก็เป็นได้เพียงแค่อีกหนึ่งอารมณ์ชั่ววูป ที่เราจะลืมมันไปอย่างรวดเร็วยิ่งกว่า Fast and Furious

FINAL SCORE [ C ]

The Lego Movie ( 2014 ) Movie Review

Movie Review

The Lego Movie ( 2014 ) Movie Review by FallsDownz
"มาต่อ,ติด และประทับใจไปกับ Lego !!"




                                            หากพูดถึงภาพยนตร์อนิเมชั่นที่ยอดเยี่ยมซักเรื่องหนึ่งแล้วล่ะก็ หนึ่งในนั้นก็คงต้องหนีไม่พ้น Toy Story 3 เป็นอย่างแน่นอน จากการที่มันได้ขโมยหัวใจและได้เตือนถึงความหลังอะไรบางอย่างให้กับเรา ซึ่ง The Lego Movie นั้น เป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์ที่เรียกได้ว่า น่าสนใจไม่แพ้ Toy Story 3 เลยทีเดียว โดย The Lego Movie นั้น เป็นอนิเมชั่นที่สร้างโดยค่าย Warner Bros. ผู้ถือลิขสิทธิ์การ์ตูนชื่อดัง DC Comics อย่างเช่น Batman , Superman , Flash , Green Lantern อยู่ ซึ่งใน The Lego Movie เราก็จะได้เห็นตัวละครเหล่านี้เป็นโบนัสเล็กๆน้อยๆอีกด้วย (ถึงแม้ว่าตัวที่เรียกว่ามีบทจริงๆ จะมีแค่ Batman ที่เหลือตัวประกอบชัดๆ)



The Lego Movie ว่าด้วยเรื่องราวของหุ่นตัวต่อ Lego คนหนึ่งที่แสนจะธรรมดา แต่เขากลับถูกเข้าใจผิด ว่าเขานั้นเป็นผู้สร้างที่ยิ่งใหญ่ และจะเป็นคนหยุดวายร้ายผู้บ้าคลั่ง ในการพยายามใช้กาวติดโลกทุกๆโลกของ Lego เข้าด้วยกัน เขาจะสามารถหยุดจอมวายร้ายได้หรือไม่ ติดตามได้ในตอนต่อ... เอ้ย ใน The Lego Movie !!!



สิ่งแรกที่รู้สึกประทับใจกับ The Lego Movie มาก ก็คือ CG ในภาพยนตร์ที่ให้ความรู้สึกเป็น Lego ล้วนๆจริงๆ ไม่ว่าจะเป็น ตึกราวบ้านช่อง อุปกรณ์ต่างๆ หุ่นตัวละครต่างๆ แม้กระทั่งฝุ่น ควันหรือน้ำ มันก็เป็น Lego จริงๆ เช่นฉากต่อสู้ยิงกัน ที่เต็มไปด้วยกระสุนปืนแบบ Lego สร้างความตลกขบขันอย่างบอกไม่ถูก เหมือนจริงขนาดที่คุณสามารถจะไปค้นหาใน Google เพื่อเปรียบเทียบกันได้เลยทีเดียว และ CG เหล่านี้ก็ช่างสร้างความรู้สึกตระการตาได้อย่างยอดเยี่ยมดีจริงๆ
 ซึ่งถ้าหากท่านใดมีประสบการณ์ต่อ Lego มาบ้าง คงจะให้ความรู้สึกที่ดีไม่น้อย 

นอกจากนั้นตัวภาพยนตร์ยังนำสไตล์ความเป็น "Lego" มาใช้ลูกเล่นต่างๆได้อย่างน่าสนใจและสนุก เช่นการให้ตัวละครในเรื่อง ต่อชิ้นส่วนต่างๆขึ้นมาเป็นของจริงๆ หรือการเปลี่ยนจากยานบินเป็นรถสุดเท่ห์อย่างรวดเร็ว ซึ่งถ้าหากมันไปอยู่ในภาพยนตร์เรื่องอื่น มันคงจะแปลกและไม่สมเหตุสมผลน่าดู แต่เพราะความเป็น Lego มันจึงทำให้หลายๆสิ่งหลายๆอย่างในภาพยนตร์นั้น สมเหตุสมผลขึ้นมาโดยปริยาย



ในด้านของบทก็ทำออกมาได้อย่างน่าสนใจไม่แพ้ด้าน CG เลยทีเดียว เช่นการเสียดสีสังคม หรือสื่อในด้านต่างๆได้อย่างน่าสนใจ แต่ในจุดที่ทำให้บท The Lego Movie น่าสนใจจริงๆเลยก็คือ การพูดถึงในด้านของ "การจำกัดทางความคิด" ได้อย่างน่าสนใจ และเสมือนเป็นการ "อ้อนวอน" ไม่ใช่น้อย โดยเฉพาะ 20 นาทีสุดท้ายของภาพยนตร์ ที่น่าสนใจ และน่าประทับใจไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว



แต่ก็ต้องยอมรับจากใจจริงเลย ว่าถึงแม้ว่า CG ใน The Lego Movie นั้นจะน่าสนใจ แปลกใหม่ และยอดเยี่ยมก็ตาม แต่เมื่อผ่านในช่วงต้นเรื่องมา ในกลางเรื่องและท้ายเรื่องนั้น เรากลับเริ่มชินชาและเริ่มไม่รู้สึกตื่นเต้นอะไรกับมันซักเท่าไรนัก จากการดำเนินเรื่องที่ไม่ได้แปลกใหม่และออกจะซ้ำซากของมัน นอกจากนั้น เมื่อผ่านต้นเรื่องมาแล้ว ลูกเล่นต่างๆนั้นก็ดูเหมือนจะหายไป สร้างความน่าเบื่อให้ไม่ใช่น้อย 

นอกจากนั้นแล้ว ถ้าหากเทียบกับภาพยนตร์อนิเมชั่นที่ยอดเยี่ยมมากที่สุดเรื่องหนึ่งอย่าง Toy Story 3 แล้ว The Lego Movie นั้นยังไปไม่ถึงจุดนั้นซักเท่าไรเลย ใช่มันยอดเยี่ยม มันน่าประทับใจ แต่ถ้าหากเทียบกันกับ Toy Story 3 แล้ว มันยังไปได้"ดีกว่านี้"มาก ไม่ว่าจะในด้านการถ่ายทอดอารมณ์ต่างๆ หรือ ในด้านของบท ที่ถือว่ายอดเยี่ยมแล้ว แต่มันยังไปได้มากกว่านี้อีก ซึ่งในด้านหนึ่งก็อาจจะเป็นผลมาจากการที่ Toy Story 3 นั้น จับจุดในด้านของการให้ความรู้สึกคิดถึงอดีต หรือความทรงจำบางอย่างที่เราอาจจะลืมเลือนมันไปแล้วซึ่งมันจับต้องและกระแทกเราได้รุนแรงกว่ามาก ในขณะที่ The Lego Movie ไม่ค่อยได้พูดถึงอะไรแบบนั้นซักเท่าไรนัก แต่กลับพูดถึงสิ่งที่เป็นนามธรรมอะไรกว่านั้นมาก ซึ่งมันจับต้องไม่ค่อยจะได้ และไม่เสมอไปที่เราจะมีความรู้สึกร่วมกับมันมากนัก

ถึงกระนั้นก็ตาม The Lego Movie ในท้ายที่สุดก็ยังคงเป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์อนิเมชั่นที่น่าประทับใจ และน่าจดจำอีกเรื่องหนึ่ง จากสไตล์ที่ไม่เหมือนใครของมัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการประกาศภาคต่อมาอย่างแน่นอนในปี 2017 นี้แล้ว มันทำให้เราเฝ้ารอว่า ก้าวต่อไปของ The Lego Movie จะเป็นเช่นไร ?


Final Score : [ A- ] & [ Must See Badge ]

วันเสาร์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2557

300:Rise of an Empire ( 2014 ) Movie Review

Movie Review

สงครามแห่งมัดกล้าม Slow Motion ในบทสุดแสนเห่ย





300:Rise of an Empire ( 2014 )  เป็นภาพยนตร์ภาคต่อจาก 300 ในปี 2006 ของผู้กำกับ Zack Snyder ( Man of Steel , Sucker Punch ) ซึ่งในภาคนี้นั้น ตัวแซคเองได้ลงไปนั่งในตำแหน่ง Producer แทน และให้ผู้กำกับหน้าใหม่อย่าง Noam Murro มาทำหน้าที่ผู้กำกับแทน


ซึ่งใน 300:Rise of an Empire ก็ยังคงทำหน้าที่ของมัน(อย่างที่เราหวังจะให้มันเป็น)ได้อย่างดีโดยไม่ต้องสงสัยเช่นเคย นั้นก็คือ การ "Entertain" หรือ ให้ความสนุก ตื่นเต้น หฤหรรษ์ หรืออะไรก็แล้วแต่ กับผู้ชม จากฉาก Action เลือดสาด(CG) ทั้งเรื่อง รวมไปถึงการใช้เทคนิค Slow Motion อย่างไม่หยุดไม่หย่อน ก็เรียกได้ว่าสร้างความถูกใจให้กับคอหนังแอ๊คชั่น หรือแฟนๆ 300 ฉบับ Zack Snyder ได้เป็นอย่างดี ถึงแม้ว่ามันจะยังคงไม่มีการอธิบายใดๆว่าทำไมมันถึง Slow Motion ซึ่งคำตอบก็คงน่าจะเดาได้ไม่ยาก นั้นก็เพราะว่า "มันดูเท่"


รวมไปถึงอีกหนึ่งจุดขาย(?) หรือจุดสำคัญของ 300 อย่างมัดกล้าม หันมองไปทางไหนก็มีแต่กล้ามปูเต็มไปหมด จนเรียกได้ว่าเอียนก็ว่าได้ ภาคนี้ก็ยังมีให้เห็นอยู่ตลอดเวลาเช่นเคย


แต่ 300:Rise of an Empire ก็ยังมีหลายๆสิ่งที่ยังคงทำได้ไม่ดีเท่าไร ไม่ว่าจะเป็น CG เอฟเฟคที่ในภาคนี้ดูเหมือนจะแย่และไม่ค่อยน่าเชื่อถือเท่าไร เมื่อเทียบกับ 300 ในปี 2006 เช่น CG ฉากหลังเมืองต่างๆ หรือเลือด ที่ลอยๆไม่เข้ากันเลยแม้แต่น้อย สร้างความน่ารำคาญเล็กน้อย


สำหรับตัวผู้กำกับ Noam Murro นั้น ในด้านหนึ่งนั้น เขาก็ทำหน้าที่ในการสร้างความบันเทิงให้กับผู้ชมได้ดีอย่างไม่ต้องสงสัย และเขายังสามารถที่จะสานต่องานของ Zack Snyder จาก 300 ภาคแรก และขยายมันให้ใหญ่ขึ้นได้อีกด้วย แต่ในอีกด้านหนึ่งก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่าเมื่อเทียบกับ Zack Snyder แล้ว Zack Snyder ยังคงทำได้ดีกว่าในบางด้าน เช่นในด้านการทำให้ผู้ชมเชื่อ และเข้าถึงตัวละครอย่างแท้จริง ใน 300 ปี 2006 นั้นทำได้ดีกว่าพอสมควร มันทำให้เราขนลุก และเชื่อไปในสิ่งที่พวกเขาทำ แต่ในภาคนี้เรากลับไม่ค่อยจะสนใจและแคร์ตัวละครเหล่านี้เท่าไรนัก เราเพียงแค่ต้องการบันเทิงไปกับการละเลงเลือดของพวกเขาก็เท่านั้น


ซึ่งความผิดนี้ จะโทษ Noam Murro อย่างเดียวก็คงจะไม่ได้ เพราะนักแสดงที่รับบทเป็นตัวละครหลักอย่าง Sullivan Stapleton เอง ก็เทียบรัศมีอะไรกับ Gerard Butler ในต้นฉบับไม่ได้เลย ในทุกๆด้าน แต่ภาระทั้งหมดกลับดันไปตกอยู่กับตัวละครร้ายของ  Eva Green ที่เธอนำแสดงได้อย่าง น่าทึ่ง ร้ายกาจ และคุมทั้งเรื่องอย่างง่ายดายจริงๆ (นี้ยังไม่รวมถึงบทที่ดันเขียนตัวละครร้ายให้น่าสนใจกว่าตัวเอกที่ดาษสุดขีดอีกต่างหาก)


300:Rise of an Empire นั้น จริงๆแล้วถ้าหากได้ผู้เขียนบทที่ดี และผู้กำกับที่ดี ต้องพูดเลยว่า มันเป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์ ที่สามารถจะ ยิ่งใหญ่ อลังการ ชนิดที่เราต้องนั่งนับวันรอคอยมันได้เลยทีเดียว 
แต่....ที่เป็นอยู่ ณ ขณะนี้ กลับเต็มไปด้วยเรื่องราวต่างๆที่ถูกเล่ามาอย่างไม่น่าสนใจ พยายามโยงนู้นโยงนี้ จับนู้น จับนี้มาชนกันให้ดูมีอะไรหลายๆอย่าง ทั้งๆที่มันแทบจะไม่ได้มีอะไรเลย และมันไม่ได้แตกต่างอะไรจากภาพยนตร์แอ๊คชั่นดาษๆทั่วไปเลยแม้แต่น้อย เช่นเรื่องราวการครอบงำ , พลัง , อำนาจ , ศักดิ์ศรี และการแก้แค้น ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้มันเคยถูกนำเสนอมามากมายแล้ว และในภาพยนตร์บางเรื่อง ยังทำได้ดีและน่าเชื่อถือกว่านี้อีกด้วย


ในด้านของตัวละครเอง ก็ดูจะน่าเป็นห่วงไม่แพ้กับส่วนอื่นๆ เพราะนอกจากตัวละครอย่าง Artemisia ของ Eva Green , Queen Gorgo ของ Lena Headey และ Xerxes ที่แสดงโดย Rodrigo Santoro แล้ว ตัวละครอื่นๆทั้งหมดแทบจะเป็นกระดาษตัดแปะมาจากแม่แบบ 100% ไม่น่าสนใจ ง่าย แบน เรื่อยๆ เราไม่สนใจและไม่แคร์ตัวละครเหล่านี้ และเป็นตัวละครที่มีมาเพื่อรอความตายและสร้างความบันเทิงแก่ผู้ชมเท่านั้นเอง ซึ่งตัวละครที่ดี 3 ตัวนี้ ก็ต้องพูดทบไปอีกทีว่า 70-80% มาจากการแสดงของพวกเขา/เธอ เหล่านี้ทั้งนั้น ที่แสดงได้อย่างยอดเยี่ยม สร้างมิติและความน่าเชื่อถือ/น่าสนใจให้กับตัวละครอย่างแท้จริง ถึงแม้ว่าตัวละครที่บทเขียนมา มันจะโค-ตา-ระ ดาษๆ ตัดแปะ เห็นได้ทั่วไปตามตลาด ไม่ต่างจากตัวละครอื่นๆที่เราลืมมันไปภายใน 5 นาทีเลยก็ตาม


300:Rise of an Empire (2014) ยังคงเป็นภาพยนตร์แอ๊คชั่นที่สามารถที่จะสร้างความบันเทิง ความซะใจ ความสนุกและตื่นเต้น ได้ดีอย่างไม่ต้องสงสัย ถ้าหากคุณซื้อตั๋วหนัง เพื่อเข้าไปเสพสิ่งเหล่านี้คุณคงจะไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้เช่นกันว่า ในตัวเนื้อผ้ามันจริงๆแล้ว เต็มไปด้วยช่องโหว่มากมาย ที่ยังคงไม่ได้รับการแก้ไขและใส่ใจเท่าไรนัก


Final Score : [ C  ]