Movie Review
Hunger Games ฉบับ Wanna be
ไม่แน่ใจว่าทุกวันนี้ ค่ายสตูดิโอภาพยนตร์ Hollywood แต่ละค่ายนี้ ให้อนุมัติภาพยนตร์แต่ละเรื่องอย่างไร เพราะว่าถ้าหากเราสังเกตุกันดีๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ เต็มไปด้วยภาพยนตร์ที่สร้างมาจากหนังสือตลอดเวลา โดยเฉพาะหนังสือเยาวชน ไม่ว่าจะเป็น The Hunger Games , Harry Potter , Beautiful Creatures , The Host , The Mortal Instruments อื่นๆอีกมากมาย เสมือนกับว่าค่ายภาพยนตร์จะอนุมัติการสร้างภาพยนตร์อย่างง่ายดาย ถ้าหากมันมีต้นแบบมาจากหนังสือนวนิยาย
ซึ่งก็ต้องพูดเลยว่า ตัวผู้เขียนไม่ได้เกลียดหรือเบื่อภาพยนตร์แนวเหล่านี้เลย กลับกัน ผู้เขียนกลับชอบด้วยซ้ำไป โดยเฉพาะการที่ตัวผู้เขียน ไม่เคยอ่านหนังสือเหล่านี้มาก่อนเลย มันยิ่งเป็นเหมือนการเปิดประตูไปสู่โลกใหม่ โดยที่เราไม่รู้เลยว่าอะไรมันจะอยู่ข้างหน้า
แต่ปัญหาก็คือภาพยนตร์ที่สร้างมาจากนวนิยายหลายเรื่องนั้น มักจะออกมาค่อนข้างจะน่าผิดหวัง หรือแย่เสมอๆ ทั้งๆที่ภาพยนตร์เหล่านี้ก็เต็มไปด้วยองค์ประกอบต่างๆที่น่าจะทำให้มันน่าสนใจ และเป็นภาพยนตร์ชุดอีกชุดหนึ่งที่ดีได้ เช่น The Host ที่มีเรื่องราวขัดแย้งที่น่าสนใจ แต่กลับถ่ายทอดออกมาอย่างกับละครทีวี , Beautiful Creatures ที่มีเรื่องราว ประวัติ และนักแสดงบางคนที่ดี แต่บางช่วงกลับรู้สึกได้ถึงความมักง่าย และน่าอนาจเป็นที่สุด (เช่น CG) หรือ The Mortal Instruments : City of Bones ที่มีปมความขัดแย้ง และองค์ประกอบฉากต่างๆที่น่าสนใจ แต่ในท้ายที่สุดกลับใส่ความเป็น Twilight ลงไป ทำลายความน่าสนใจของภาพยนตร์อย่างง่ายดาย
ซึ่งปัญหาเหล่านี้หลายครั้ง มาจากความยากในการแปลงตัวหนังสือให้เป็นภาพ โดยไม่ทำให้มันสูญเสียคุณภาพ และไม่ทำให้มันกลายเป็นละคร หรือ ฝีมือการควบคุมและกำกับของผู้กำกับหลายคน ที่ยังฝีมือไม่ถึงก็มีส่วนอีกด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดายเหลือเกิน
Divergent เป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์ที่ผู้เขียนต้องสารภาพจากใจเลยว่า ตอนแรกนั้นไม่คาดหวังอะไรจากมันเลย และคิดว่ามันจะห่วยอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะในด้านใดๆก็ตาม (จากตัวอย่างที่สุดแสนจะส่อถึงความ Cliche ซ้ำซากของมันอย่างสุดขีด)
และก็ต้องพูดเลยว่าถึงแม้จะไม่อยากเปรียบเทียบก็ตาม แต่ด้วยความเหมือนกันหลายๆอย่างระหว่าง Divergent กับ The Hunger Games ทำให้อดเปรียบเทียบกันไม่ได้จริงๆ ไม่ว่าจะเป็นการแยกเป็นหน่วยต่างๆ องค์กรต่างๆ (และเขตต่างๆใน The Hunger Games) การพยายามควบคุมมนุษย์และพูดถึงอิสระภาพ ความเท่าเทียมกันของมนุษย์ และอื่นๆอีกมากมาย
ต้องพูดเลยว่าใน The Hunger Games นั้น เรียกได้ว่าแทบจะทุกด้าน ทำได้ดีกว่า Divergent อย่างมาก แต่ด้านที่เรียกได้ว่าชัดเจนมากที่สุด ก็คงจะหนีไม่พ้น ความน่าเชื่อถือและหนักแน่นของภาพยนตร์ ที่ The Hunger Games ทำให้เราเชื่อจริงๆ ว่าตัวละครเหล่านี้อยู่ในวิกฤติ พวกเขาไร้ทางเลือก แต่ก็ต้องถูกบังคับให้ทำจริงๆ รวมไปถึงประเด็นการลุกขึ้นมาต่อสู้กับความเท่าเทียมที่เห็นได้อย่างชัดเจน
แต่ใน Divergent หลายๆสิ่งหลายๆอย่างกลับดูช่าง ง่ายดาย ไร้คำอธิบายอย่างสิ้นเชิง บางสิ่งที่ตัวหนังอธิบายก็ช่างโคตรจะผิวเผิน จนเราไม่รู้สึกและไม่เข้าใจอะไรในมันเลย เช่นทำไมตัวละครถึงมีพลังพิเศษ แต่กลับอ้างอย่างน่าอนาจ เปรียบเสมือนว่าตัวเองไม่มั่นใจว่าตอบอย่างไรจึงจะทำให้มันสมเหตุสมผล หรือน่าเชื่อถือ จึงตอบด้วยความก่ำกึ่ง จะได้ไม่ทั้งถูกทั้งผิดแทน อย่างเช่นการอ้างถึงทฤษฏีความเป็นไปได้ อย่างคำว่า "มันไม่ใช่เป็นไปไม่ได้ มันแค่หายากมากๆเท่านั้น" ซึ่งเป็นคำพูดจากในตัวอย่างภาพยนตร์ ที่ทำให้ผู้เขียนรู้สึกส่ายหน้า และอนาจในตัวหนังอย่างบอกไม่ถูก สรุปคือ พวกเขาอยากให้เราเชื่อจริงๆหรือว่า ความเป็นไปได้ไม่รู้กี่ % นั้น มันจะต้องมาเป็นตัวละครนี้อย่างบังเอิญงั้นหรือ ? ซึ่งมันช่างน่าสมเพศเหลือเกิน
หรือ เรื่องราวใน Faction อื่นๆในภาพยนตร์ที่ตัวหนังอธิบายเพียงราวๆ 2นาที และเราแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับกับ Faction เหล่านี้นอกจากชื่อและประวัติที่เบาบางอย่างกับ Intro ของมัน ทั้งๆที่เรื่องราวเหล่านี้มันก็น่าสนใจไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว ใช่ใน The Hunger Games ก็ไม่ได้นำเสนอในแง่มุมของเขตอื่นมาก แต่หลายครั้ง The Hunger Games ก็นำเสนอเรื่องราวในแต่ละเขต ผ่านตัวละครประจำเขตต่างๆ ได้เสมอๆ ไม่ว่าจะเป็นทัศนะคติของแต่ละเขต หรือบางครั้งเรื่องราวเชื่อมโยงของแต่ละเขต แต่ใน Divergent กลับผิวเผินสุดๆจนทำให้ผู้เขียนตั้งคำุถามเหมือนกันว่า Faction บาง Faction มันจะมีมาเพื่ออะไรมิทราบ และสาเหตุที่จะต้องแยก Faction หรือทำไมโลกถึงได้เป็นเช่นนี้แต่แรก ก็มีการอธิบายที่น้อย และง่ายดายไร้ความน่าเชื่อถืออย่างมาก เสมือนตัวหนังไม่ได้แคร์ถึงความสมเหตุสมผลด้านนี้ใดๆเลย ไม่แน่ใจว่า ในส่วนนี้จะมีการอธิบายในภาคต่อไปหรือไม่ แต่การที่เริ่มจากยุคๆหนึ่ง โดยไม่บอกความเป็นมาเป็นไปของยุคก่อนๆเลย มันจะทำให้ภาพยนตร์ดูโดดอย่างมาก และเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง
ในด้านของตัวละครในภาพยนตร์ก็ช่าง สุดแสนจะ Cliche ของแท้ คุณจะไม่มีวันตกใจ หรือ ประหลาดใจกับตัวละครเหล่านี้เลย คุณจะรู้ว่าพวกเขาจะมีนิสัยอย่างไรเปะๆ ถึงแม้คุณจะแอบหวังว่าคุณจะเดาผิด แต่คุณก็เดาถูกอยู่ดี แต่นักแสดงคนที่เรียกได้ว่าน่าผิดหวังจริงๆเลยก็คือ Kate Winslet เจ้าของรางวัลออสการ์ และนักแสดงชื่อดังจาก Titanic ที่แสดงใน Divergent อย่างกับถูกบังคับให้เล่น เสมือนไม่ได้แคร์และไม่ได้ใส่ใจอะไรใดๆเลย ช่างแข็งทื่ออย่างกับหินเสียจริงๆ ยิ่งบวกกับตัวละครที่แสน Cliche ตัด/แปะจากแม่พิมพ์กระดาษที่สุดแสนจะขี้เกียจแล้ว ยิ่งรู้สึกอนาจตัวละครนี้อย่างบอกไม่ถูก
แต่ใช่ว่า Divergent จะไม่มีด้านสว่างที่เปรียบเสมือนความหวังอันน้อยนิดที่ให้กับผู้เขียนเลยซะทีเดียว เพราะมีสิ่งหนึ่งที่เรียกได้ว่าเป็นสิ่งค้ำจุนให้หนังเรื่องนี้ ไม่ตกลงไปในห้วงเหวของความสิ้นหวัง (ไปมากกว่านี้)
สิ่งๆนั้นที่ต้องขอชมเลยก็คือ นักแสดงนำอย่าง Shailene Woodley ที่พูดได้อย่างเต็มปากเลยว่า เธอเป็นคนที่แบกหนังไว้ทั้งเรื่องจริงๆ จากการแสดงของเธอที่ทำให้เราเชื่อและสนใจในตัวละครของเธออย่างมากจริงๆ เรารู้สึกเอาใจช่วยเธอในการผ่านอุปสรรคต่างๆอย่างมากเลยทีเดียว เพราะจะว่าไปแล้วเธอก็เป็นเพียงสิ่งๆเดียวในภาพยนตร์ ที่ไม่เต็มไปด้วยความซ้ำซาก จำเจ และจอมปลอมไปเสียหมด และอย่างน้อยเธอก็เป็นคนที่ทำให้ Divergent ไม่กลายเป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์ที่สุดแสนจะน่าเบื่อ และทรมาณในการรับชมเหมือนภาพยนตร์หลายๆเรื่อง
Divergent ในท้ายที่สุดแล้ว ก็เป็นอีกหนึ่งในภาพยนตร์ที่มีต้นฉบับมาจากหนังสือนวนิยายขายดี ที่ยังคงล้มเหลวในแทบจะทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นบทภาพยนตร์ที่สุดแสนจะซ้ำซาก น่าเบื่อ , รายละเอียดของภาพยนตร์ที่ผิวเผินเสมือนไม่ได้สนใจด้วยซ้ำไป , ตัวละคร 99% ของทั้งเรื่องที่สุดแสนจะ Cliche จนเหมือนลามไปสู่นักแสดงที่พลอยแสดงออกมาได้อย่างน่าอนาจไปด้วย และสิ่งที่เลวร้ายที่สุดของมันเลยก็คือ ทุกอย่างมันดูง่ายดาย และใช้เหตุผลอ้างอย่างหน้าไม่อายของมัน เป็นสิ่งที่ทำให้ผู้เขียนยิ่งสงสัยเข้าไปอีก ว่าสรุปแล้ว คนอนุมัติสร้างภาพยนตร์ได้อ่านบทภาพยนตร์หรือไม่ หรือว่าเซ็นๆมันไป เพราะว่ามันสร้างมาจากหนังสือนวนิยายขายดี ขายดีหมายความว่ามันจะต้องได้เงินเยอะๆ และต้องยอดเยี่ยมเหมือน Harry Potter หรือ The Hunger Games อย่างแน่นอนใช่ไหมล่ะ !! ไม่ใช่ว้อยยยย !!
Final Score : [ C - ]
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น