Movie Review
"22 Jump Street คือตัวอย่างที่ดีของภาพยนตร์ที่รู้ว่าตนเองสามารถทำอะไรได้บ้าง โดยไม่พยายามจะเป็นสิ่งที่มันไม่สามารถเป็นได้ มันรู้ดีว่าตัวมันเองบ้าคลั่งและไร้เหตุผล แต่มันก็ใช้สิ่งเดียวกันนี้ สร้างความบันเทิงอย่างมีชั้นเชิงได้อย่างน่าทึ่ง"
22 Jump Street คือภาพยนตร์ภาคต่อจาก 21 Jump Street เมื่อสองปีก่อน ซึ่งมีต้นแบบมาจาก TV-Series ชื่อ 21 Jump Street ในปี 1987 โดยการกลับมาครั้งนี้ ยังคงได้สองคู่หูคู่ฮาเดิมอย่าง โจน่าห์ ฮิลล์ กับ แชนนิ่ง เททัม มารับบทเดิม ซึ่งว่าด้วยเรื่องราวของสองตำรวจที่ต้องปลอมตัวเป็นนักศึกษาเพื่อตามจับคนร้าย แต่ในคราวนี้แทนที่จะไปไฮสคูล พวกเขาจะได้ไปป่วนที่มหาวิทยาลัยแทน !!
ในโลกของภาพยนตร์แล้ว ถ้าหากสังเกตุดีๆพวกเราจะพบว่ามีภาพยนตร์มากมายโดยเฉพาะพวกภาคต่อทั้งหลาย ที่ล้มเหลวในการเล่าเรื่องและสร้างความน่าสนใจให้ผู้ชม จากการที่มันพยายามหยิบจับอะไรหลายสิ่งหลายอย่างมากจนเกินไป เช่น ภาพยนตร์ภาคต่อทั้งหลายที่พยายามจะทำให้ยิ่งใหญ่กว่าภาคแรกด้วยการขยายจักรวาล และรื้อแผนเดิมทิ้ง แต่มันกลับกลายเป็นว่ามันก้าวข้ามความเป็นเอกลักษณ์ที่เคยมีมาในภาคก่อนหน้าอย่างน่าเสียดาย เช่น Red 2 ซึ่งพยายามสร้างเรื่องให้ใหญ่โตและวุ่นวายมากขึ้น แต่มันทำให้เอกลักษณ์ของความเป็นเรื่องราวตัวละคร "Retired Extremely Dangerous" ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของภาคแรกหายไปอย่างน่าเสียดาย
แต่ดูเหมือนว่าทั้งสองผู้กำกับ 22 Jump Street ฟิล ลอร์ด กับ คริสโตเฟอร์ มิลเลอร์ ซึ่งเป็นสองท่านเดิมที่กำกับในภาคแรก จะทราบถึงจุดนี้เป็นอย่างดี ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ของพวกเขา กลายเป็นภาคต่อที่เกือบจะสมบูรณ์แบบ พวกเขาไม่พยายามที่จะใส่อะไรที่มากจนเกินไปลงใน 22 Jump Street พวกเขาดูเหมือนจะทราบถึงขีดจำกัดของตัวเองดีและไม่พยายามท้าทายขีดจำกัดนั้นมากนัก ซึ่งหลักฐานในจุดนี้ดูได้จาก บทภาพยนตร์ที่ยังคงโครงสร้างและองค์ประกอบเดิมคล้ายคลึงกับภาคแรกเอามากๆ แต่เอามาปรับปรุงให้มันลึกยิ่งขึ้น แทนที่จะสร้างแบบอันใหม่ขึ้นมาเลยแบบภาพยนตร์ภาคต่อหลายๆเรื่อง ซึ่งเป็นการเสี่ยงมากๆ ในอีกด้านหนึ่งจะว่ามันเป็นการเล่นแบบ "ปลอดภัยไว้ก่อน" ก็ว่าได้ แต่อย่างน้อยมันก็ยังดีกว่าการพยายามต่อและยืดมากจนเกินไป ซึ่งผลของมันก็คือการไม่ได้อะไรเลยซักอย่าง
นอกจากนั้น จุดเด่นของ 21 Jump Street ก็ยังไม่หายไปในภาคต่อครั้งนี้ จุดเด่นนั้นก็คือ บทที่ว่าด้วยเรื่องของความขัดแย้งระหว่างสองตัวละครเอก ซึ่งยังคงเป็นประเด็นหลักในภาคนี้ แต่แตกต่างในด้านของมุมมองและความลึก ซึ่งมีชั้นเชิงมากขึ้นและดูน่าสนใจยิ่งขึ้น ส่วนหนึ่งก็ต้องยกเครดิตให้กับทั้งสองนักแสดงนำ โจน่าห์ ฮิลล์ กับ แชนนิ่ง เททัมที่ยังคงเล่นเข้าขากันได้อย่างดีเช่นเคย จะน่าเสียดายก็ตรงบทภาพยนตร์ที่จะมีหลายๆส่วนที่ซ้ำจากภาคแรกมาบ้าง ซึ่งน่าจะเป็นผลมาจากบทภาพยนตร์ที่ยังขัดเกลามาไม่ดีพอ
สิ่งหนึ่งที่ทำให้ 22 Jump Street เป็นภาพยนตร์ที่น่าจดจำอีกเรื่องหนึ่งในปีนี้เลยก็คือ ความที่มันแทบจะไม่จริงจังกับอะไรเลย และมันก็พยายามที่จะทำให้ผู้ชมไม่จริงจังไปกับมันด้วย จึงทำให้มันสามารถเต็มที่ได้กับแทบทุกสิ่งโดยไม่ต้องอิงกับเหตุและผลมากเท่าใดนัก เช่นมุขตลกต่างๆในภาพยนตร์ที่ค่อนข้างจะเหนือจริงพอสมควร แต่ก็ใช่ว่ามันจะก้าวไปถึงขั้นที่หาสาระไม่ได้เลยซะทีเดียว กลับกัน นอกจากมันจะเต็มไปด้วยมุขตลกล้อเลียนเพศ และเชื้อชาติแล้ว มันยังเต็มไปด้วยมุขตลกที่สร้างมาเพื่อจิกกัดและเสียดสีโครงสร้างภาพยนตร์ตลกภาคต่อของตัวเองได้อย่างน่าสนใจ
สิ่งที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ยิ่งน่าสนใจเข้าไปอีกก็คือ รูปลักษณ์ภายนอกกับภายในของมัน ถึงแม้ว่าภายนอกตัวภาพยนตร์มันเอง จะเต็มไปด้วยมุขตลกเหยียดเพศ ชนชั้น หรือ เชื้อชาติก็ตาม แต่ภายในของมันจริงๆแล้ว เนื้อหาสูงสุดที่มันต้องการจะสื่อก็หนีไม่พ้นไปจากสิ่งที่มันพยายามล้อเลียนมาทั้งเรื่อง โดยมันมักจะพูดถึง การยอมรับความแตกต่างระหว่างเชื้อชาติ ชนชั้น หรือเพศ และมันพยายามที่จะทำให้ผู้ชมปรับความเข้าใจกับผู้คนเหล่านี้ให้ได้ด้วยซ้ำไป
ในท้ายที่สุดแล้ว 22 Jump Street ก็กลายเป็นอีกหนึ่งข้อยกเว้น ในคำสาปที่ว่าภาพยนตร์ภาคต่อมักจะห่วยกว่าภาคแรกเสมอไปโดยปริยาย เพราะนอกจากที่มันจะยังคงจุดเด่นและเอกลักษณ์ของความเป็น Jump Street ได้อย่างครบถ้วนแล้ว มันยังนำเสนอและดัดแปลงสิ่งใหม่ๆได้อย่างสมดุลอีกด้วย
Final Score : [ B + ] & [ Must See Badge ]
เพื่อนๆพี่ๆสามารถเข้าไปกดไลค์แฟนเพจที่อาจจะมีการอัพเดทข่าวและกิจกรรมในอนาคตได้ที่นี้เลยครับผม :)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น