Movie Review
Silver Linings Playbook ( 2012 ) "รักษาความบ้าด้วยความรัก"
Movie Name : Silver Lining Playbook ( 2012 ) , Comedy / Drama / Romance
Director : David O. Russell ( The Fighter )
Stars : Bradley Cooper ( Limitless , Hangover ) , Jenifer Lawrence ( The Hunger Games ) , Robert De Niro ( Ragging Bull , The God Father )
Rating : R ( Some Language , Sexual Theme )
REVIEW THAI
Silver Lining Playbook เป็นภาพยนตร์อีกเรื่องนึงในปี 2012 ถูกแล้วครับ ปี 2012 แต่เมืองไทยเพิ่งจะเข้าฉายเมื่อเดือนกุมภาพันธุ์ปีนี้เนี้ยเอง ซึ่งเข้าชิงรางวัลต่างๆมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม นักแสดงนำชาย / หญิง ยอดเยี่ยม ซึ่งขอบอกตามตรงว่า ตอนแรกที่ผมได้ยินชื่อเรื่องหนังเรื่องนี้ครั้งแรก ผมแทบจะไม่รู้จักด้วยซ้ำไป แต่ที่สนใจเป็นการส่วนตัว ก็เพราะหลายสาเหตุ อย่างเช่น Robert De Niro ซึ่งเป็นดาราที่ผมชอบมากๆ หรือ แม้กระทั่ง Bradley Cooper ที่เป็นนักแสดงที่ถูก ป๋า De Niro เนี้ยแหละปั้นขึ้นมา ซึ่งจากการแสดงของเขาใน Limitless ทำให้ผมค่อนข้างชอบเขามากๆ หรือ Jennifer Lawrence ซึ่งเป็นนักแสดงวัยรุ่นหญิงอีกคนหนึ่งที่แสดงได้อย่างยอดเยี่ยม อย่างเช่นจากภาพยนตร์เรื่อง The Hunger Games ( ถึงแม้ว่าหนังล่าสุดของเธอที่ผมดูอย่าง A House at the end of the street จะ กากสุดทนก็ตาม แต่เอาเป็นว่าผมจะพยายามลืมมันไปละกัน... )
เรามาพูดถึงผู้กำกับของ Silver Lining Playbook (ต่อไปนี้จะขอเรียกย่อๆว่า SLP) กันดีกว่าคนๆนั้นก็คือ David O. Russell ซึ่งหลายๆคนอาจจะรู้จักผลงานของเขาดีจากภาพยนตร์เรื่อง The Fighter ที่เข้าชิงรางวัลมากมายเช่นเดียวกัน ซึ่งบทในภาพยนตร์เรื่องนี้ เขาก็มีส่วนร่วมในการเขียนเช่นเดียวกัน รวมถึง เรื่องราวในเรื่องหลายๆจุด ก็ยังเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงๆกับเขาด้วยเช่นกัน ซึ่งฝีมือของผู้กำกับคนนี้ เรียกได้ว่าแทบจะหมดห่วงเลยทีเดียว
ก่อนที่เราจะเข้ารีวิวกันนั้น ผมต้องขอบอกก่อนเลยว่า ส่วนตัวเป็นคนที่ดูหนังได้ทุกแนว แต่ถ้าเลือกได้ล่ะก็ ก็คงไม่ดูหนังรัก โรแมนติกอย่างแน่นอน เพราะ หนังรักส่วนใหญ่ มักจะเต็มไปด้วยเรื่องราว เดิมๆ สุดจะน่าเบื่อ ที่มีมาแล้วเป็นล้านรอบ แถมผสมเรื่องราวเวอร์ๆเอาไว้บางจุดยิ่งแย่เข้าไปอีก เพราะ หน้าที่ของหนังรักก็คือ ต้องทำให้คนดูเชื่อ และ ลุ้นตามไปจริงๆ แต่หนังบางเรื่องกลับทำให้เราแทบจะหลับด้วยซ้ำไป ยิ่งหนังรักของประเทศไทยหลายๆเรื่อง ยิ่งแล้วใหญ่ และ ผมค่อนข้างที่จะไม่ชอบ หนังรักในอุดมคติสุดๆ ประเภท เธอรักฉัน ฉันรักเธอ แต่ฉันไม่กล้าบอก แอบไปนอนร้องไห้ หรือ นางเอก สุดโง่ หรือ พระเอกสุดโง่ นี้ไม่ชอบอย่างแรง
Silver Lining Playbook นั้นแรกๆผมค่อนข้างจะอดเป็นห่วงไม่ได้ว่าหนังมันจะน่าเบื่อจนพาหลับหรือไม่ เอาเป็นว่าเรามาพูดถึงเรื่อง บท กันเป็นอย่างแรก บทของ SLP นั้นเรียกได้ว่าตั้งใจเขียน และ แทบจะใส่ใจรายละเอียดในทุกๆเม็ด นอกจากนั้นสิ่งที่ทำให้ผมชอบขึ้นไปอีกก็คือ ความแตกต่าง ของ SLP ที่ ตัวเอกนั้นเป็นโรคอารมณ์แปรปรวน และ คนพูดตรงๆ เพราะฉะนั้น ตัวหนังก็จะพูดออกมาตรงๆ ตัวละครก็จะพูดออกมาตรงๆ ไม่มานั่งทำเป็นคนดีแล้วแอบไปร้องไห้หน้าปากซอย ไม่มีอีกแล้ว ซึ่งการที่ตัวเอกพูดตรงๆนั้นมันมีเหตุผลรองรับของมันอยู่นั้นก็คือ เขาเป็นโรค อารมณ์แปรปรวน ไม่ใช่อยากจะใส่อะไรก็ใส่ แบบหนังหลายๆเรื่อง จริงๆแล้ว หนังเรื่องนี้มีอะไรหลายๆอย่างที่เรียกได้ว่า ค่อนข้างมีการอ้างอิงมาก เช่น ในเกม เราจะเห็นการพนันแต้มของทีมกีฬา ที่อเมริกา ซึ่งคะแนนในหนังนั้น เป็นคะแนนที่เกิดขึ้นจริงๆ ในปี 2008 ไม่ใช่การเอามามั่วแต่อย่างใด ซึ่งบทใน SLP ก็ไม่ได้มีแค่เรื่องราวระหว่าง นางเอก กับ พระเอกซะด้วย แต่กลับมีเรื่องราวคนรอบๆตัวของพวกเขา อย่าง พ่อ , แม่ , เพื่อน ความสัมพันธ์ต่างๆ ความเชื่อ Conflict ต่างๆในหนังมากมายอีกด้วย ซึ่งจะหาหนังรักที่มีเนื้อเรื่องที่เป็นเส้นต่อกันเยอะขนาดนี้ แทบจะนับเรื่องได้เลย ส่วนมากหนังรักก็แค่ พระเอก นางเอก ก็จบแล้ว นอกจากนั้น ตัวละครทุกตัวต่างก็มีผลต่อตัวละครหลักทั้งนั้น ไม่มีตัวละครใด ที่โผล่มา 1 นาทีทั้งเรื่อง หรือ โผล่มาทุกฉากแต่ไม่รู้จะโผล่มาเพื่ออะไร ไม่มีเลย ที่สำคัญเลยคือ SLP นั้นไม่ใช่หนังรักที่อยู่ในอุดมคติที่ผมค่อนข้างจะไม่ชอบสุดๆ เช่น นางเอก พระเอก โลกสวย พระเอกเป็นเจ้าชาย นางเอกเป็นเจ้าหญิง หรือ สักคนเป็นคนจน ให้มันดูดราม่าหน่อยๆ แต่ทั้งคู่เป็นคนดีนะ ไม่เอาอีกแล้ว บทแบบนี้เราเห็นมาเป็นรอบที่ 999999 ล้านได้แล้ว ซึ่งใน SLP นั้นจะอยู่กับความเป็นจริงมากที่สุดซึ่งไม่มีใครหรอกที่ไม่เคยผิดพลาดมาก่อน ไม่มีใครหรอกที่มีแต่ชีวิตสวยงาม และที่สำคัญเลยคือ หนังเรื่องนี้นั้น ไม่ได้เน้นคำสวยงามพูดไพเราะ เสนาะหูตามมารยาทสวยงามเลยแม้แต่น้อย ซึ่งมันเป็นตัวเสริมหนังทำให้เราเชื่อในทุกๆคำพูดจริงๆ ไม่ใช่มานั่งเฟคพูดคำสวยงามที่สุดจะทนฟัง
จุดหนึ่งเลยที่สำคัญที่สุดของหนังรักก็ว่าได้นั้นก็คือ การแสดง ซึ่งต่อให้บทจะสุดยอดเท่าใดก็ตาม แต่ถ้านักแสดงมันเล่นไม่ไป ก็จบเห่อยู่ดี เพราะ คนดูก็จะไม่เชื่อ ว่า สองคนนี้รักกันจริงๆ และ ก็เลิกหวังว่าจะลุ้นตามไปได้เลย แต่ผมกลับแปลกใจมาก เพราะ Bradley Cooper และ Jennifer Lawrence กลับเล่นเข้าขากันได้อย่างดีเยี่ยม และทั้งคู่แสดงได้ดีเยี่ยมมาก จนไม่คิดว่าจะแสดงได้ดีขนาดนี้ อย่างเช่น Jennifer Lawrence ที่เราว่าเราเห็นการแสดงของเธอจาก The Hunger Games หรือ House at the end of the street แล้ว แต่พอมาเรื่องนี้เธอกลับแทบจะเป็นคนละคนเลยทีเดียว สีหน้าของเธอ ท่าทางการแสดงของเธอ เรียกได้ว่าสุดยอดจริงๆ ส่วน Bradley Cooper เราต้องเข้าใจก่อนว่า บทของเขานั้นต้องรับภาระหนักเท่าใด คิดดูเองละกันครับ ที่คุณจะต้องแสดงเป็นคน อารมณ์แปรปรวน พูดอะไรตรงๆออกมา อย่างเช่นฉาก ที่เขาอยู่ดีๆก็ตื่นขึ้นมากลางดึก ไปยืนด่าหนังสือที่เขาเพิ่งอ่านจบ หรือ ฉากที่จะต้องระเบิดอารมณ์ออกมาอีก ซึ่งมันยากมากๆ แต่ Bradley กลับเล่นได้อย่างไหลลื่นสุดๆ จนทำให้เราเชื่ออย่างสนิทใจเลยว่านี้แหละ คือตัวตนของเขาจริงๆ นอกจากนั้นยังมีฉากที่ทั้งคู่ต้องเต้นรำอีกต่างหาก ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นงานที่ท้าทายมากๆ ซึ่งผมขอสารภาพเลยว่า ตั้งแต่ดูหนังรักมา นี้เป็นเรื่องแรกที่ทำให้ผมแอบลุ้นว่า ขอร้องแหละ ให้มันจบแบบ Happy เถิด พลีซซซซซ
อีกสิ่งหนึ่งเลยของ SLP ที่ผมชอบมากๆก็คือ การที่มีหลายๆจุดในหนัง ที่ไม่เหมือนกับหนังรักทั่วๆไป พอกันทีกับฉาก นางเอกสุดน่าสงสาร เก็บกด แอบไปนั่งร้องไห้แบบละครช่อง 3 พอกันทีกับ บทสุดดราม่าในตอนจบ ที่เห็นมาเป็นรอบที่แสนล้านแล้ว พอกันทีกับ บทสุด Simple เธอรักฉัน ฉันรักเธอ คนอื่นช่างมัน พอกันทีกับ หนังรักที่ทั้งเรื่อง จะมีตัวละครเยอะแยะทำไมไม่รู้สุดท้ายก็สำคัญแค่สองตัว พอกันทีกับ หนังรักขายหน้าตาอย่างเดียว อย่างอื่นช่างมัน!
พอกันทีกับ นางเอก หรือ ตัวละครหลักสุดโง่ ที่พาเรานั่งเซ็งว่าทำไมมันโง่จังฟะ !!!
พอกันทีกับ หนังรักที่ต้องมานั่งสงวนคำพูด ต้องพูดไพเราะทุกกระบวนคำ คำหวานหยดย้อยแทบอ๊วก สุดเฟค ที่ถามจริง เวลาคนรักกันจริงๆมันพูดไพเราะกันแบบนี้ทุกคำทุกคนหรอ ???
พอกันทีกับ หนังรักนางเอก พระเอกโลกแสนสวยสีชมพู ไม่รู้จะสวยไปไหน !!
อีกจุดหนึ่งของหนังที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือ การตัดต่อ ซึ่งหนังรักที่มีบทที่ละเอียดขนาดนี้หากตัดต่อเฟล ก็เป็นอันจบกัน ซึ่งผลที่ตามมาก็คือ งง เซ็ง และ เบื่อ ซึ่งมันเป็นอะไรที่แย่ที่สุดสำหรับการชมภาพยนตร์ แต่ SLP กลับสามารถสร้างเหตุการณ์ต่างๆได้อย่างชาญฉลาด พร้อมกับมีเหตุผลรองรับ ไม่ใช่ อะไรก็ได้สร้างมันขึ้นมาเถอะคนดูมันไม่แคร์หรอก!! ไม่เอาแบบนั้นอีกแล้ว แถมทุกๆเหตุการณ์ที่จบลงไปก็เหมือนกลับกลายเป็นแรงหนุนเหตุการณ์ต่อๆไปเรื่อยๆ อีกต่างหาก และที่สำคัญ เหตุการณ์ต่างๆนั้น น่าสนใจมากๆ ทั้งยังเต็มไปด้วยพลังและอารมณ์ ต่อคนดูมาก และยังเป็นอะไรที่ลุ้นสุดๆ ทั้งเรื่องผมต้องขอสารภาพเลยว่า นั่งลุ้นกว่า สนุกกว่าหนัง Action หลายๆเรื่องซะอีกทั้งๆที่ไม่ได้มี เหตุการณ์เวอร์ๆอย่าง ยิงกันหูตับดับไหม้ นางเอกต้องถูกตัวร้ายจับตัวไป พระเอกต้องไปช่วยนางเอก อะไรเทือกๆนี้ซึ่งเห็นมาเป็นรอบที่แสนล้านแล้ว หรือจะเรียกได้ว่าก็คือ หากทุกๆอย่างในหนังมันสุดยอดอยู่แล้ว คุณไม่จำเป็นที่จะต้องเพิ่มเหตุการณ์เวอร์ๆอะไรเข้าไปเลย หนังมันก็เพอร์เฟคได้ แถมผู้เขียนยังได้กำไรด้วยการได้ชม Robert De Niro แสดงในโรงดิจิตอล อีกครั้ง ซึ่งจำไม่ได้แล้วว่าครั้งล่าสุดที่ดูหนังของแกในโรงหนัง นั้นเป็นเรื่องอะไร (เพราะหนังหลังๆของแกชอบไม่เข้าโรง ดิ่งลงแผ่น....)
Silver Linings Playbook เป็นภาพยนตร์ รัก โรแมนติก ดราม่า ตลก ที่เต็มไปด้วยชีวิต ดั่งเช่นต้นไม้ต้นหนึ่งที่เต็มไปด้วยปริศนา ความท้าทาย ความยุ่งเหยิง ความสับสน แต่ก็เต็มไปด้วยชีวิต ความรัก ความผูกพันธ์ ความสนุก ด้วย การแสดงที่เข้ากันอย่างดีเยี่ยม บทที่คิดมาเป็นอย่างดี การฉีกแนวไปจากหนังรักทั่วๆไป เป็นสาเหตุที่ทำให้ Silver Linings Playbook เป็นภาพยนตร์รัก ที่มีชีวิตที่สุดเรื่องหนึ่ง
The Best Quote from " Silver Linings Playbook ( 2012 ) "
" I was a big slut, but I'm not any more. There's always going to be a part of me that's sloppy and dirty, but I like that. With all the other parts of myself. Can you say the same about yourself fucker? Can you forgive? Are you any good at that? " - Tiffany ( Jennifer Lawrence )
Final Score : [ A ] และ [ MUST SEE BADGE ]
Thank you to : Silver Lining Playbook ( 2012 ) , IMDB for information
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น