วันอาทิตย์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2556

Odd Thomas ( 2013) Movie Review

Movie Review
ผมรู้ผมเห็น เวอร์ชั่นโคนัน + บลีช !!!




Movie Name : Odd Thomas ( 2013 ) , Mystery / Thriller 
Director : Stephen Sommers ( The Mummy , The Mummy Returns , G.I. Joe Rise Of Cobra )
Stars : Anton Yelchin ( Star Trek , Star Trek : Into Darkness ) , Willem Dafoe ( Spider-Man ) 
Rating : น 15+ 





MOVIE REVIEW

                                                                                         Odd Thomas เป็นภาพยนตร์ทุนต่ำอีกเรื่องนึงที่เรียกได้ว่าค่อนข้างจะถูกลืมก็ว่าได้ เพราะ ตัวหนังแม้แต่ใน IMDB ก็ยังมีแค่ชื่อ ไม่มีโปสเตอร์ด้วยซ้ำไป แต่ด้วยความที่ว่า บังเอิญผมไปได้ยินมาว่าเขาบอกว่าสนุก ก็เลยลองไปชมดู  กันครับ


Odd Thomas นั้นจริงๆแล้วได้ดารามา 2-3 คนที่เราค่อนข้างจะคุ้นหน้าอยู่มาก อย่างเช่น Anton Yelchin ที่ถ้าใครได้ดู Star Trek : Into Darkness ไปแล้วในปีนี้ ก็คงจะคุ้นหน้าเขาอย่างแน่นอน หรือ Willem Dafoe ไม่ว่าจาก Spider-Man หรือเรื่องอื่นๆอีกมากมาย เรียกได้ว่าค่อนข้างจะมีดาราที่ มีชื่อเสียงในระดับนึงเลยทีเดียว



Odd Thomas เป็นภาพยนตร์ทุนต่ำอีกเรื่องหลังจากที่ผมดูจบผมรู้สึกในทันที ว่าช่างน่าเสียดาย ผมอยากดูมันอีก อยากเห็นต่อไปจากนี้อีก เหลือเกิน เพราะ ตัวหนังนั้นทำได้ดีในหลายๆเรื่องแม้กระทั่งหนัง ร้อยล้าน ทำไม่ได้ก็ยังมี


จุดที่ผมชอบที่สุดก็คือ การเอาเรื่องราวของภูติผี มาคล้ายๆกับว่าตีความใหม่ และใช้ลูกเล่นของมันได้อย่างน่าสนใจ น่าติดตามเอามากๆ การดีไซน์ ออกแบบ ถือว่าค่อนข้างดีเลยทีเดียวสำหรับหนังเรื่องนี้

นอกจากนั้นตัวหนังนั้นยังมีสไตล์เหมือนเป็นภาพยนตร์สืบสวน แต่ไม่ซีเรียส คล้ายๆ โคนันทำนองนั้น ซึ่งการสืบสวนของเขา ทำออกมาได้น่าสนใจ พอตัวเลยทีเดียว 

ตัวหนังยังให้ความสนุก ตื่นเต้น ลุ้นระทึก ตลอดเวลา และในบางจุด เขาใช้วิธีที่ทำให้คนดูตื่นเต้นได้อย่างน่าสนใจ ฉลาด อยู่มากเลยทีเดียว แถมไม่รู้เพราะ ผู้กำกับคือ Stephen Simmons แห่ง The Mummy ด้วย ที่แอบมีอะไรหลายๆอย่างโคตรจะเหมือน มัมมี่ ใน The Mummy แบบจงใจสุดๆ เรียกได้ว่าแฟนๆ Mummy  อาจจะแอบตกใจเล็กน้อย


การเปิดเรื่องของหนังในช่วง 30 วิ แรกค่อนข้างธรรมดาจนผมเริ่มเป็นห่วง นี้มันจะกลายเป็นแค่หนังธรรมดาๆ ที่ดูผ่านแล้วจบ อีกเรื่องไหมเนี้ย แต่อีก 1 นาทีถัดมา ผมกลับเริ่มสนใจมันมากๆ อย่างรวดเร็ว ตัวหนังมีวิธีการเปิดเรื่องที่น่าสนใจ น่าติดตามอยู่มาก  และนักแสดงถือว่าทำได้ดีมากๆ ไม่ว่าจะ Anton Yelchin ที่ผมว่าเขาเล่นได้ค่อนข้างดีทีเดียวเลยล่ะ


บทในเรื่อง Odd Thomas ก็ถือว่าทำได้ดีมากๆแล้วในเวลาเพียง 90 กว่านาที ทั้งๆที่เป็นหนังสืบสวน และ ยังถือว่าทำได้ดีเกินคาดสำหรับหนังทุนต่ำ แบบเกินคาดจริงๆ แต่นั้นก็แลกมาด้วยบางสิ่งเช่นกัน


ถึงแม้ในช่วงกลางๆเรื่อง ตัวหนังเหมือนจะดรอปลงไปบ้าง เพราะเหมือนเปลี่ยนจาก Action ไปเป็น สืบสวนกระทันหัน แต่ในช่วงท้ายของหนัง เรียกได้ว่าเป็นช่วงที่ทำให้ผมอยากสนับสนุนหนังเรื่องนี้มากขึ้นจริงๆ เพราะ มันสุดยอด สนุก ตื่นเต้น ได้อย่างเหลือเชื่อ จนทำให้ผมลืมคิดว่านี้เป็นหนังทุนต่ำเลยทีเดียว แต่ด้วยความทุนต่ำนั้นเอง เขาจึงใช้ความคิด ความครีเอทีฟ เพื่อที่จะให้หนังมันดี หนังมันสนุก ในแบบที่ไม่ต้องเสียงบมากมายนัก


ด้วยเหตุที่ว่า ตัวหนังนั้น ในเหตุที่งบน้อย และ เวลามีจำกัด จึงมี สองทางเลือก 1. ทำหนังบทแค่ธรรมดาๆ ทั่วๆไป แต่คนดูเข้าถึงง่าย ไม่ต้องปรับเปลี่ยนอะไร ทำเหมือนหนังทุนต่ำตามตลาดทั่วๆไป ไม่ต้องคิดอะไรใหม่ๆก็ได้เงินสบายๆ  หรือ  2. ทำหนังให้บทดีขึ้นมาอีกมาก แต่อาจจะประสบปัญหาเวลาไม่พอ ทำให้คนดูอาจจะเข้าถึงได้ไม่สุด และต้องยอมคิดหนักขึ้น ตั้งใจมากขึ้น และ เสี่ยง ซึ่งถ้าเป็น ผู้กำกับทั่วๆไป หรือ คนทั่วๆไป อาจจะเลือก ข้อ 1 แต่ Odd Thomas เลือก ข้อ 2 ครับ 


ตัวบทเรียกได้ว่าทำได้ดีมากๆ น่าสนใจ น่าติดตาม ฉลาด และ ดีกว่าที่คาดเอาไว้มากๆ แต่เพราะการที่บทของเขา นั้นทำได้ซับซ้อนมากเกินไปสำหรับหนังเวลาเพียง 90 นาที (แต่ไม่ได้ซับซ้อนขนาดดูงงขนาดนั้น แต่ซับซ้อนกว่าหนังสืบสวนตามตลาดทั่วไปส่วนใหญ่ครับ) ทำให้หลายๆจุดหนังเหมือนถูกเร่งมากจนเกินไป ทำให้บางอย่างขาดหายไประหว่างทางบ้าง เช่น ตัวละครที่คนดูจะรู้สึกต่อพวกเขาน้อยลงอย่างแน่นอน หลายๆจุดที่เร่งมากจนเกินไปจนรู้สึกได้


แต่ไม่รู้ทำไมแต่ผมคิดว่า ตัวหนัง แนวหนัง และบทของหนัง เหมาะจะไปเป็น TV-Series เสียมากกว่า เพราะ TV-Series นั้นมีเวลามากกว่ามาก ที่เราจะรู้จักตัวละคร สร้างความสัมพันธ์ไปจนถึงตอนจบที่จะมีอะไรเปลี่ยนแปลงสำหรับตัวละครอย่างมาก และ นั้นก็จะเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างมากสำหรับคนดูเช่นกัน แต่ตัวหนังนั้นเริ่มมาเหมือนมีมาแล้ว 50% ทำให้รู้สึกว่าถูกเร่งไปพอสมควร แต่ตัวหนังก็พยายามอย่างมาก จนผมคิดว่าเขาทำได้ดีมากๆแล้ว เพียงแต่ มันไม่พอจริงๆ สำหรับ 90 นาที ในตัวหนังที่มีโอกาสที่จะ ดีเทล ได้เยอะขนาดนี้

นอกจากนั้น มีหลายๆอย่างในตัวหนังที่ไม่ค่อยจะ Make Sense ซักเท่าไรนัก ถ้าหากแค่ดูผ่านๆก็คงจะไม่รู้สึกอะไร แต่ถ้าหากเรามานั่งนึกดีๆจะรู้ว่า อืม มันไม่ค่อย Make Sense จริงๆ บางสิ่งมาจากเพราะ ตัวหนังเร่งเกินไป และ บางสิ่งมาจากตัวหนังไม่ได้อธิบายบ้าง

และในหลายๆฉากผมรู้สึกได้ว่า หลายๆสิ่งมันดูจัดฉากมากจนเกินไปหน่อย อาจจะทำให้รู้สึกแปลกๆได้บ้าง แต่ก็ไม่กระทบต่อการชมภาพยนตร์เท่าไรนัก


Odd Thomas เป็นภาพยนตร์ที่ สนุก ตื่นเต้น ตลก ด้วยบทและการตีความที่น่าสนใจ น่าติดตาม รวมถึงยอมเสียสละบางสิ่งไปเพื่อสิ่งที่ดีขึ้นอย่างกล้าหาญ เขาทำทุกสิ่งที่เขาทำได้แล้วจริงๆแต่เพียงมันไม่เพียงพอจริงๆสำหรับ เวลาเพียง 90 นาที ที่จะบรรยายความสุดยอดของหนังเรื่องนี้ ไม่พอจริงๆ ผมอยากให้เพื่อนๆ พี่ๆ ทุกท่านลองไปชม Odd Thomas กันดู เพราะผมว่านี้เป็นภาพยนตร์ทุนต่ำอีกเรื่อง ที่ค่อนข้างถูกมองข้ามอย่างมาก ทั้งๆที่มันดีกว่าที่คิดเอาไว้มาก
สิ่งที่ผมถูกใจมากที่สุดใน Odd Thomas คือ เขาเลือกที่จะยอมเสียหลายๆสิ่งไป เพื่อ หลายๆอย่างที่ดีขึ้น น่าสนใจขึ้น ในขณะที่หนังทุนต่ำส่วนใหญ่ก็แค่ทำตามหนังทุนต่ำที่ผ่านๆมา ไม่คิดอะไรแปลกใหม่ปล่อยๆผ่านไป 



The Best Quote from " Odd Thomas "

"- "


+จุดที่ภาพยนตร์ทำได้ดี :
+ บทที่น่าสนใจ น่าติดตาม ฉลาด ไม่ดูถูกคนดู ทั้งๆที่เป็นหนังทุนต่ำ
+ การเปิดเรื่องที่ตื่นเต้น สนุก 
+ ตัวหนังมีความ สนุก ตื่นเต้น ลุ้นระทึก ตลก อยู่ตลอดเวลา
+ นักแสดงหลักที่แสดงได้ดี
+ การตีความที่น่าสนใจ และ ไอเดียการนำมาใช้ที่น่าติดตาม
+ ตัวหนังพยายามทำทุกอย่างแล้วเท่าที่ทำได้ แม้จะโดนจำกัดในด้าน งบ และ เวลา


-จุดที่ดูเหมือนจะไปไม่รอด :
- เนื่องจากตัวหนังต้องการที่จะมีบทที่ดีกว่าแค่บทธรรมดาๆทั่วๆไป จึงยอมเสียเวลาไปกับบท แต่นั้นก็แลกมาด้วย เวลาหลายๆส่วนในหนังที่ทำให้คนดูผูกพันธ์ไปกับตัวละคร
- หลายๆอย่างดูถูกเร่งไปหมดเนื่องจากเวลาที่จำกัด
- บางอย่างยังไม่ Make Sense เท่าใดนัก
- ฉากในหนังดูเหมือนถูก Set มากจนเกินไป


Final Score : [ B ] & [ I Didn't See It Coming Badge ]

วันพฤหัสบดีที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2556

Soul Sacrifice ( Game Review ) PSVITA

GAME REVIEW
จงเลือก สังเวย หรือ ช่วยเหลือ ท่ามกลางหนทางแห่งความสิ้นหวัง



Game Name : Soul Sacrifice , Action / RPG 
Director : Teruhiro Shimokawa
Platforms : PSVITA Exclusive
Rating : R ( Lots of Violence , Blood , Gore , Frightened Screen )




GAME REVIEW


                                                                                      Soul Sacrifice ต้องขอบอกเลยว่ารีวิวนี้โคตรช้าครับ 555+ เพราะผมเพิ่งจะเล่นจบมาหมาดๆเลยนี้เอง (เก็บทั้ง Bad ทั้ง Good Ending) แต่ไม่ว่ายังไงตอนผมเล่น ผมก็ตั้งใจเอาไว้แล้วว่าต้องเขียนรีวิวให้ได้ เพราะ Soul Sacrifice (ต่อจากนี้ไปขอย่อเหลือ SS) เป็นเกมที่ผมชอบและรักมากๆ ในตอนนี้ จะว่าเป็นเกมอันดับหนึ่งของผมเลยก็ว่าได้ ต้องขอบอกเอาไว้ก่อนเลยว่า ตัวผมนั้นด้านความรู้ภาพยนตร์ กับ เกม ห่างกันราวฟ้ากับเหว (จริงๆด้านภาพยนตร์ผมก็รู้น้อยมากครับ แต่เยอะกว่าเกมเยอะ) คิดซะว่าผมเป็นผู้เล่นคนนึงที่ชอบ และ รักใน SS มากจนอยากเขียน รีวิวละกันครับผม ยังไงถ้าขาดหรือพลาด หรือ ข้อมูลผิดตรงไหนไปต้องขออภัยด้วยครับ


Soul Sacrifice เป็นเกมที่ผมรู้จักมาตั้งแต่ตอนประกาศว่าจะมีเกมนี้ลง PS Vita เป็น Exclusive (เครื่องอื่นอดนะจ๊ะ) ตอนแรกขอสารภาพเลย ผมแทบจะไม่สนใจเกมนี้เลย ทั้งๆที่หลายๆท่านสนใจ และ ตั้งตารอคอยกันมาก ไม่รู้ว่ามาจากสาเหตุที่ส่วนตัวเคยเล่น Monster Hunter มาแล้วรู้สึกไม่ชอบ ด้วยรึเปล่า แถมภาพมันออกแนวหดหู่ๆ รุนแรงๆชอบกลก็เลยไม่รู้สึกอยากเล่นซักเท่าไรนัก แต่หลังจากเกมออกมาได้ซักพัก ผมก็ด้วยความเห็นหลายท่านบอกว่าสนุก บอก ว่าดี ก็เลยลองซื้อมาเล่นดู ว่างั้น ปรากฏว่า พอซื้อมาแทนที่ผมจะไปเล่นเกมบน PS3 กลับไปติดหนึบติดหนับกับเกมนี้แทนซะงั้น


Soul Sacrifice นั้นจุดที่ผมชอบมากที่สุด และ เป็นสิ่งที่ผมอยากจะคาราวะ ทีมสร้างจริงๆ ถึงแม้ว่าอาจจะเป็นเพราะ เป็นแค่เครื่อง Hand Held ด้วยก็เลยทำให้สร้าง CG อลังการงานสร้าง แบบ PS3 หรือ XBOX360 ไม่ได้ ในการเล่าเรื่อง แต่ทีมงานกลับใช้ "หนังสือ คำพูด และ เสียง" ในการเล่าเรื่องแทน ซึ่งในเกมจะเล่าเรื่องราวในแบบเหมือนเราอ่านหนังสืออยู่นั้นเอง แต่เพียงมีเสียงพูดมาให้ด้วย ซึ่งขอสารภาพเลยว่าผมไม่ใช่คนที่ชอบอ่านหนังสือเท่าใดนัก นวนิยาย ยังไม่เคยอ่านจบซักเล่มเลยด้วยซ้ำไป แต่ไม่รู้ทำไมผมกลับโคตรชอบ วิธีการเล่าเรื่องของ SS อย่างมาก เหมือนมีคนมานั่งอ่านนิทานให้ฟังเลย ซึ่งถึงแม้จะเป็นเสียงอังกฤษ แต่ผมก็ว่าเสียงเขา เลือกคนมาได้เหมาะสมดี โอเคอยู่  ในบางจุดของเกม จะมีการเล่าเรื่องแบบ ที่ไม่ใช่แค่เพียงตัวหนังสือ แต่จะมีภาพเคลื่อนไหวเข้ามาด้วย ซึ่งยิ่งทวีคูณความสุดยอดของเรื่องเข้าไปอีก ภาพเคลื่อนไหวเหล่านี้ ทั้งๆที่ไม่มีความอลังการอะไรเลยแม้แต่น้อย ดูธรรมดา แต่กลับช่างทรงพลัง และ สร้างความน่าสนใจให้คนอ่าน หรือ ดูเป็นอย่างมาก หลายๆครั้งที่คุณไม่ได้ยินเสียงคนข้างๆ เพราะ คุณมัวแต่สนใจอยู่กับการเล่าเรื่องของตัวเกม ที่ช่างน่าสนใจ น่าติดตาม และ เข้ากับสถานการณ์ได้เป็นที่สุด นี้เป็นข้อพิสูจน์สำหรับผมเลยว่า เกมที่ดี ไม่จำเป็นเลยที่จะต้องมี CG ที่สวยงามอลังการงานสร้าง เนี้ยบ ตัวละครดูสมจริง เพียงแต่หากคุณรู้วิธีที่จะทำมันออกมาอย่างสร้างสรรค์ และ เหมาะสมกับสิ่งที่คุณอยากจะเสนอออกมาได้อย่างดีเยี่ยม แล้วล่ะก็ มันก็จะมีโอกาสที่จะเป็นเกมที่ดีอีกเกมได้ไม่ยากเลย


จุดต่อมาคือ เพลง หรือ Soundtrack ของเกม ต้องขอบอกว่า "สุดยอด และ อลังการ " เป็นที่สุดหลายๆครั้งที่ผมกดหน้าค้างไว้อยู่หน้าเมนูโดยไม่ทำอะไร เพียงแต่นั่งฟังเพลง อันไพเราะ ที่แสนจะหดหู่และสิ้นหวังไปพร้อมๆกัน ซึ่งปกติผมจะไม่ทำอะไรแบบนี้เลย แม้กระทั่งเพลง Soundtrack ในฉากในเกมต่างๆก็ช่างไพเราะ ซึ่งธีมหลักของเพลงใน SS ดูเหมือนจะเป็น ความหวัง ความสิ้นหวัง ความหดหู่ และ โศรกเศร้า เสียมากกว่า แต่ แต่ละเพลงนั้นมันช่างไพเราะเหลือเกิน ในหลายๆเพลงก็ดูยิ่งใหญ่อลังการ โดยที่ไม่จำเป็นต้องพึ่ง CG ใดๆ แค่เพียงคุณได้ฟังเพลงคุณก็รู้สึกถึงมันได้แล้ว เป็นเพียงไม่กี่เกมที่ผมยอมลงทุนซื้อ Soundtrack มาใน PSN Store ของ US ในราคา 10 เหรียญเต็มๆ โดยไม่ลังเล ไม่เสียใจเลยแม้แต่น้อย (แต่ต้องซื้อใน PSN บน PS3 นะครับ บน VITA มันไม่ขึ้น = = ) ต้องขอชมคุณ Yasunori Mitsuda
Wataru Hokoyama Composer ของเกมจริงๆ สุดยอดผลงานมากๆ


จุดต่อมาคือเนื้อเรื่อง บอกตามตรงว่าจริงๆโดยหลักผมเป็นพวกชอบเนื้อเรื่องอะไรออกแนวๆดาร์คๆ หน่อยอยู่แล้ว ก็เลยถูกใจผมเป็นพิเศษก็ว่าได้ เนื้อเรื่องของ SS นั้น ช่างน่าติดตาม น่าสนใจเหลือเกิน และยิ่งผนวกกับ การเล่าเรื่องที่สุดยอด น่าสนใจ น่าติดตามเข้าไปอีกแล้ว มันทำให้คุณ หรือ อย่างน้อยก็ผม ไม่เป็นอันทำอะไรกันเลยทีเดียว คุณจะรู้สึกอยากเล่นต่อไปอยู่ตลอดเวลา คุณอยากรู้ว่า มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ กับตัวละครเหล่านี้ ทำไมเขาถึงทำเช่นนั้น ทำไมมันถึงเกิดอย่างนั้นขึ้น และ ในหลายๆครั้งคุณช๊อคไปกับเนื้อเรื่อง และ เศร้าไปกับเนื้อเรื่องอย่างง่ายดาย ในหลายๆจุดในเนื้อเรื่อง ผมชอบความ Creative ของบทมากๆ การตีความใหม่ในหลายๆสิ่งหลายๆอย่าง ทั้งๆที่ในจุดๆนั้นมันก็เป็นการสร้างขึ้นมาใหม่อยู่แล้วแท้ๆ เหมือนเขากล้าที่จะสร้างอะไรซักสิ่งขึ้นมา แล้วต่อยอดสร้างสิ่งใหม่ๆขึ้นมาบนนั้นไปอีก เหมือนหอคอยที่เราไม่สามารถที่จะมองเห็นยอดมันได้เลย ซึ่งมันเป็นความกล้าอย่างมาก เพราะ ถ้าหากไอ้สิ่งที่เขาสร้างขึ้นมา มันดันไม่เวิรค์ ไม่สมเหตุสมผล และดู ปยอ แล้วล่ะก็ มันคงเฟลเอามากๆ
อีกจุดนึงที่ผมชอบก็คือ จะมีในหลายๆส่วนที่ตัวเกมสามารถให้คุณอ่านเรื่องราวได้ เช่น เรื่องราว ของมอนสเตอร์ หรือ ปีศาจที่เราเจอในด่านต่างๆ เช่น จะมีบอสตัวนึงที่ใส่หน้ากาก ถือขวาน ซึ่งในบางเกมคุณอาจจะไม่มีทางรู้เลยว่าทำไมมันถึงเป็นแบบนั้น ก็เป็นแค่บอสตัวนึงที่มีมาให้คุณตบก็เท่านั้นเอง แต่ใน SS มีอธิบายไว้ เช่น บอสใส่หน้ากาก เป็นเพราะ เมื่อก่อนนั้น เธอเคยถูกคนมองอย่างเหยียดหยามอย่างมาก จนเธอจะต้องใส่หน้ากากเพื่อหลบหน้าคนเหล่านั้น อะไรแบบนั้น ซึ่งมันน่าสนใจมากๆ ถ้าคุณอ่านประวัติพวกมอนสเตอร์เหล่านี้ โดยเฉพาะ พวกบอสทั้งหลาย คุณจะเล่นได้อย่างสนุกขึ้น และ อาจจะตัดสินใจลำบากขึ้นในการฆ่าพวกมัน รวมไปถึงหลายๆครั้งที่พอเราโจมตีพวกบอสเหล่านี้ดาเมจไปได้ซักระยะ พวกบอสจะพูด และ ร้องเหมือน กรีดร้องคำพูดออกมา ซึ่งถ้าคุณไม่ได้อ่านประวัติของตัวเหล่านั้นมาก่อน คุณอาจจะไม่เข้าใจว่า มันพูดถึงเรื่องอะไร ซึ่งในแต่ตัวละคร นั้นประวัตินั้นช่างหดหู่ เศร้า สิ้นหวังเสียเหลือเกิน แต่ในเรื่องราวเหล่านั้น กลับดูน่าสนใจ น่าอ่าน น่าติดตามอย่างมาก ทั้งๆที่ผมเคยบอกไว้แล้ว ว่าผมไม่ใช่คนที่จะชอบอ่านหนังสือเท่าใดนัก แต่ผมกลับเสียเวลาไปพอสมควร ในการมานั่งอ่านเหล่านี้ เพราะมันน่าสนใจเหลือเกิน เหมือนทีมงานจะพยายามสร้างสิ่งใหม่ๆ เล็กๆน้อยๆ อยู่ตลอดเวลา ซึ่งมันสุดยอดมาก ในส่วนของการเล่าเรื่องโดยใช้เสียง หลายๆครั้ง เสียงของคนเล่าเรื่องจะเหมือนมีเสียงของวิญญาณ หรือ เสียงคนพูดซ้อนติดมาด้วย ไม่ต้องตกใจนะครับ อันนั้นเขาจงใจ ซึ่งจุดนี้ผมกลับชอบมากๆ มันทำให้การเล่าเรื่องมันไม่ใช่แค่ มาถึงนั่งพูดเลย แต่มันเหมือนมีอะไรมากกว่านั้น และ น่าสนใจมากกว่า


มาถึงในส่วนของ Gameplay กันบ้าง จุดนี้หลายๆคนอาจจะพูดหรือคิดว่า SS ลอกมาจาก Monster Hunter จริงๆมันก็ไม่เชิงขนาดนั้น แต่ในจุดนี้ผมค่อนข้างจะเห็นด้วยกับความคิดของ ท่านนึงมากๆ ก็คือ คุณ Maximillian ที่เป็นเกมเมอร์ในยูทูปคนนึง (พี่แกบ้าพวกเกม Fighting มาก) ก็คือ เกมนั้นไม่มีคำว่าลอกกันหรอก เพราะ เกมที่เราเล่นๆกันอยู่ปัจจุบัน มันก็ต่อยอดมาจากเกมที่มีมาก่อนในอดีตนั้นแหละ (ยกเว้นลอกกันแบบทุกส่วนและไม่ทำอะไรเพิ่มเติม อันนั้นลอกจริง) มาพูดกันต่อ ในเกมนั้นจะมีสิ่งที่เรียกว่า " Offerings " หรือ เรียกง่ายๆก็สกิล หรือ เวท หรือ อาวุธ นั้นแหละ จะมีให้เราเลือกมาใช้ได้ 6 อย่างต่อเกม ซึ่งอาวุธ หรือ สกิลเหล่านี้ เราจะสามารถเปลี่ยนได้ตอนก่อนที่จะเข้าไปเล่นในฉากนั้นๆ ซึ่งอาวุธมีหลายรูปแบบอยู่พอตัว และแต่ละอาวุธจะมีธาตุต่างๆ ซึ่งถ้าหากเราเอาอาวุธที่ชนะธาตุไป โจมตีใส่มอนสเตอร์ หรือ บอสที่แพ้ธาตุ ก็จะสามารถทำดาเมจได้รุนแรงมากขึ้น เช่น เอาอาวุธขว้างธาตุสายฟ้า ไปโจมตี ใส่บอสธาตุน้ำแข็งอย่าง Jack Frost เราก็จะสามารถทำดาเมจได้รุนแรงมากขึ้น แต่จะต้องระวังด้วย เพราะ แต่ละอาวุธในหนึ่งฉากนั้น มีจำนวนการใช้จำกัด ซึ่งเราจะสามารถดูได้จากหน้าเปลี่ยนอาวุธ จะมีบอกเอาไว้ว่าใช้ได้กี่ครั้ง และ ถ้าหากในฉากเราใช้เกินค่าที่มันจะใช้ได้ จะทำให้อาวุธนั้นเกิดการแตกขึ้นมา แล้วจะใช้ไม่ได้อีกในฉากนั้นๆ และ เกมต่อๆไป โดยในจุดนี้เราสามารถ นำน้ำตาของ Librom หรือ หนังสือ มาซ่อมอาวุธให้กลับมาใช้ได้ (น้ำตาแค่เล่นไปซักด่านนึงออกมาก็ได้แล้วครับ แต่ต้องดูด้วยนะว่าใช้เยอะไหม แต่หลังๆเล่นไปเยอะๆ มันโคตรเหลือครับ ) แต่ถ้าอาวุธมันใกล้จะหมดแล้วมันจะขึ้นเป็นกระพริบสีแดงๆ เราสามารถไปหาสิ่งที่อยู่รอบๆฉากได้ เช่น ศพ ต้นไม้ หลุมฝังศพ เพื่อจะ Refill จำนวนการใช้ของเราในฉากนั้นๆได้ 
ซึ่งบอสด่านหลังๆค่อนข้างจะโหดมาก จนคุณจะต้องพยายามเอาธาตุที่ชนะไปสู้กับมัน บางตัวเพียงแค่โดดมาใส่คุณทีเดียวก็ครึ่งหลอดแล้ว ซึ่ง ในการสู้กับบอสนั้น เราสามารถกด ปุ่มลง เพือใช้โหมด Mind's Eye ได้ แล้วเราจะเห็นจุดที่ Mark สีแดงๆเอาไว้ ซึ่งในจุดๆนั้นถ้าเราโจมตีจุดนั้นไปเรื่อยๆ จะทำให้ส่วนนั้นๆของบอสแตกออกมา ทำให้บอสถึงกับใช้บางท่าหรือบางสกิลใส่เราไม่ได้เลยทีเดียว (แต่ไม่ง่ายนะที่จะทำลาย)  รวมถึง Mind's Eye เราสามารถกดเอาไว้ใช้ดูสิ่งที่อยู่รอบๆ Map ได้ด้วย เช่นจุด Refill ต่างๆ หรือ จุดทีเราสามารถไป Absorb มาทำเป็นอาวุธได้ 


ส่วนในตอนจบฉาก เราก็จะได้รางวัลตามคะแนนที่เราทำได้จากเงื่อนไขต่างๆ เช่น กดใช้โหมด Mind's Eye ทำลายส่วนของบอสได้ สังเวยบอส สังเวยมอนสเตอร์หลายๆตัว เคาท์เตอร์ เป็นต้น ซึ่งแน่นอน ยิ่งได้คะแนนเยอะ ของที่คุณจะได้ก็จะเยอะขึ้นตามที่บอกเอาไว้ในตอนหน้าก่อนที่จะเข้าสู่ฉากนั้นๆ แต่ถ้าหากดันได้คะแนนน้อยๆ คุณก็จะได้ของที่ห่วยขึ้น และ จำนวนที่น้อยขึ้น 


จุดที่ทำให้เกม SS เป็น SS ก็คือ ระบบ " Save Or Sacrifice " ซึ่งเวลาเราฆ่ามอนสเตอร์หรือบอสซักตัวลง มันจะกลายเป็นร่างเดิมแล้วจะขึ้นให้เรากด เลือก ว่าจะ "ช่วย" หรือ "สังเวย" ซึ่งในการตัดสินใจแต่ละครั้งมันจะไปเพิ่มค่าของหลอดนั้นๆซึ่งถ้าหลอดนั้นๆเต็มก็จะทำให้เราเลเวลอัพในค่านั้นๆและจะได้ค่าเพิ่มตามหลอดนั้นๆ เช่น หลอดช่วยเลเวลอัพจะได้ พลังป้องกันมากขึ้น หลอดสังเวย จะได้ค่าพลังโจมตีที่มากขึ้น แต่อย่าลืมว่าในบางครั้ง มอนสเตอร์บางตัว จะมีติดลบอีกค่าด้วย เช่น ได้ค่า สังเวยสูงขึ้นมากกว่าปกติ แต่จะโดนลบค่า ช่วย ก็ต้องระวังกันหน่อย รวมไปถึงการอัพเลเวลในค่าต่างๆด้วย ถ้าหากคุณอัพแต่สายสังเวย คุณก็จะไม่มีพลังป้องกันเลย ซึ่งถ้าหากคุณโดนโจมตีคุณอาจจะตายได้ในการโจมตีครั้งเดียว แต่ นั้นก็แลกมากับการคุณมีพลังโจมตีที่สูงมาก หรือ สายช่วยเหลือ คุณจะมีพลังป้องกันที่สูงมาก(แต่ไม่ใช่อมตะนะ โดนก็ตายเป็น) แต่คุณก็ต้องแลกมากับการโจมตีสุดอนาจที่โคตรเบา เป็นต้น หรือ คุณจะเดินทางสายกลางก็ยังได้ และ ทุกๆสิ่งนั้นไม่มีการบังคับอย่างใด "คุณ" เป็นคนกำหนดเท่านั้น ซึ่งในบางฉาก หรือ บาง Mission การเลือกที่จะ ช่วย หรือ สังเวย บอสบางตัว จะส่งผลต่อฉากต่อไปที่จะ Reveal หรือ เปิดออกมาให้เลือก รวมไปถึงรูปร่างของตัวละครเรา ถ้าหากคุณอัพสาย ช่วยเหลือจน 99 (MAX 99 แต่อย่างน้อยจะต้องมีอย่างละ 1 สรุปคือ MAX 100 นั้นแหละ) ตัวคุณจะได้ชุดที่มีรูปร่างหยั่งกะเทพจุติ ขาวสว่าง พร้อมกับ แขนสุดเท่ห์ แต่ถ้าหากคุณอัพสาย สังเวยจน 99 ตัวคุณจะได้ชุดสุดแสนจะอุบาทว์น่ากลัว สุดๆ พร้อมกับแขนที่เน่าเฟะ ซึงนั้นก็แล้วแต่คุณที่จะเลือก (แต่ถ้ารับไม่ได้ก็เปลี่ยนชุดเถอะฮ่าๆๆ แต่รูปร่างแขนไม่เปลี่ยนนะครับ)



บอสในเกมของ Soul Sacrifice นั้นมีค่อนข้างจะเยอะ และแต่ละตัวจะมีท่าโจมตีแตกต่างกันออกไป และ ในแต่ละท่าถ้าหากคุณจับทางมันดีๆแล้วล่ะก็คุณจะสู้กับมันได้ง่ายขึ้นมาก เช่น Wyvern ที่มันมักจะชอบใช้ท่าแยกร่างเงา ถ้าหากคุณดันไม่รู้วิธีหาร่างที่แท้จริงของมันล่ะก็ งานนี้มีหนักแน่นอน แต่ถ้าหากคุณรู้วิธีล่ะก็ ก็ไม่ยากนัก (แต่ไม่เคยง่ายนะครับ) บอสบางตัว มีการโจมตีที่น่ารำคาญ จนคุณอยากจะปาเครื่องก็มี แต่นั้นก็ทำให้คุณตั้งใจเล่นกับตัวเกมมากขึ้น ไม่ใช่มาถึงวิ่งไปตีๆๆแล้วจบ  คุณจะต้องมี Strategy หรือ แผนการเอาไว้ในหัวบ้างเอาไว้แล้ว 
บอสบางตัวคุณจะสามารถเดาธาตุของตัวมันได้จาก ชื่อของมันเลย ก็ได้ ถ้าหากคุณเป็นพวกบ้า พวกสัตว์ประหลาดในตำนาน/นวนิยาย Wyvern Harpy อะไรแบบนี้แบบผม  แต่สำหรับตัวผม ที่ว่าก็บ้าพวกนี้อยู่แล้วนะ ยังถือว่าเดาออกยากมาก แต่มันมีทริคอย่างนึงก็คือ ก่อนเล่น ให้คุณเข้าไปอ่านเรื่องราว หรือ เนื้อเรื่องของ บอสตัวนั้นๆก่อน ในบางจุดที่มีมาร์คตัวหนังสือสีแดง มันจะใบ้ให้คุณ ว่าบอสตัวนี้ แพ้ธาตุอะไร (แต่บางตัวก็ไม่ใบ้นะครับ เข้าไปเดากันเอาเอง) บอสบางตัวในเกม ไม่แพ้ธาตุอะไรเลยยังมี 

Soul Sacrifice นั้นมีระบบมัลติเพลย์เยอร์นะครับ ซึ่งจะต้องใช้ Online Pass ด้วยซึ่งจะแถมมากับตัวเกม(ถ้าเป็นกล่อง) อยู่แล้ว หรือถ้าซื้อออนไลน์ก็จะมีมาให้อยู่แล้ว เพราะ ฉะนั้นซื้อมือสองต้องดูดีๆนะครับผม แล้ว อย่าลืมว่าจะต้องซื้อแผ่นให้ตรงกับ User PSN ของโซนเราด้วยนะครับ ไม่งั้นงานนี้ Redeem Code ไม่ได้คงต้องมีได้เสียเงินกันอีกรอบแน่นอน 

ในมัลติเพลย์เยอร์นั้น เราสามารถชวนเพื่อน หรือ ไปเล่นกับคนอื่นๆได้ ซึ่งจะมีข้อดีที่อย่างน้อย คนที่เล่นกับเราด้วยก็จะฉลาด ไม่โง่แบบ AI ของเราบางที ที่ก็ไม่เข้าใจ ว่าจะไปยืนรับส้นเท้าบอสทำไม ทำให้ในบางด่านเช่นระดับ 10 ดาว ในบาง Mission ที่บอสโคตรบรมมหาโหด แถมยังดันมี 2 ตัว OMG นั้น เป็นไปได้ (มั้ง ? ) ต้องพูดว่า มีความหวังมากขึ้นมากกว่า ฮ่าๆๆ
แต่เกมนี้นั้น ใครทำอะไรก็ได้อย่างนั้นนะครับใน มัลติเพลยเยอร์ เพราะ ฉะนั้น กะจะเข้าไปยืนหามุมหลบแล้วไม่ทำอะไร รอของ นี้ไม่ได้นะครับ เพราะ ระบบจะคำนวนคะแนนแยก ใครทำดี ก็ได้ของดีๆไป ใครไม่ทำอะไรเลย ยืนเฉยก็ไม่ได้อะไร นะคร้าบ


ในบางครั้ง เพื่อนๆของเรา หรือ AI ของเราที่ตายนั้น เราสามารถเลือกได้สองทางเช่นเดิม ช่วย หรือ สังเวย ถ้าหากช่วย เราจะเสีย HP ประมาณครึ่งนึงของที่มีอยู่ และ จะสามารถชุบชีวิตเพื่อนของเรามาช่วยเราได้ในตอนนั้นเลย (ดูด้วยนะครับว่ามีตัวอะไรแถวนั้นไหม ไม่งั้นชุบเลือดลดครึ่งนึง โดนบอสตบต่อทันทีไม่ทันหลบ ตายนะเอ่อ) แต่ถ้าเราเลือก สังเวย เพื่อนของเราจะปล่อยพลังเวทย์มหากาฬ (?) ออกมา ใส่มอนสเตอร์ทุกตัวในฉาก ทำดาเมจค่อนข้างมาก จำนวนหนึ่ง แต่เพื่อนเราจะตายทันที แล้วจะชุบขึ้นมาไม่ได้อีก ก็คือ จะเหลือแต่เราแล้วล่ะครับ (ซึ่งก็ตัดสินใจกันเอาเองในสถานการณ์แบบนั้นว่าคุ้มไหม) และถ้า เราเลือกสังเวยเพื่อนของเรา ถ้าหากเป็น AI ตัวละครนั้นๆก็จะอยู่ในสถานะ ตาย เราจะไม่สามารถนำตัวละครนั้นมาใช้ในด่านต่อไปได้อีก แต่เราสามารถใช้น้ำตาของ Librom เช่นเคย ชุบชีวิตขึ้นมาได้ครับผม
AI ในเกม SS นั้น สำหรับเพื่อนเรา ถือว่าอยู่ในระดับค่อนข้างจะ โง่ไปหน่อย ในบางครั้ง บอส ใช้ท่าโจมตี แบบ เห็นๆอยู่ว่ามันชารจ์อยู่ ก็ยังจะเดินไปรับซะงั้น แตกต่างกับบอสในเกมที่ไม่รู้จะฉลาดไปไหน แต่ AI เพื่อนเรา ก็ไม่ถึงกับโง่จนเป็นภาระมากนัก ในหลายๆครั้ง การที่มีหลายคน ย่อมดีกว่าลุยคนเดียว (อย่างน้อยก็จงไปเป็นโล่ห์ รับส้นเท้าของบอสแทนข้าเถอะ เพื่อนเอ๋ย)
ในกรณีนี้ค่อนข้างจะคล้ายๆกับเกม Dragon's Dogma บน PS3 และ XBOX 360 พอสมควร แต่ผมว่า AI ของ SS ฉลาดกว่าติ๊ดดดดดส์ นึง (จริงๆ Dragon's Dogma เป็นอีกเกมที่ผมชอบมากๆ แสดงว่าผมชอบเกมที่ AI เพื่อนเราโง่สิเนี้ย แต่ผมไม่ได้ชอบ Resident Evil 5 ขนาดนั้นน่ะ เอ่อ อันนั้นเพื่อนเรานี้อนาจกว่าอีก คุณท่าน Sheva เดินไปรับเลื่อยดื้อๆซะงั้น แถมพอตายปุ๊บ Game Over เลย หนักกว่าเยอะ)   

ตัวเกม SS จะมีอีกระบบนึงนอกเหนือจาก Skill ก็คือระบบ Sigil นั้นเอง ซึ่ง Sigil เหล่านี้ พูดเอาง่ายๆเข้าใจง่ายๆที่สุด มันก็คือ สกิล Passive นั้นแหละครับ ที่จะเพิ่มค่าต่างๆให้เรา เช่น โจมตีแรงขึ้น เลือดเยอะขึ้น ต้านทานผลของการโดนติดสถานะ ช๊อค มากขึ้น เป็นต้น ซึ่งใน Sigil ระดับสูงๆการที่เราจะนำมาใช้ได้จะต้องได้ ไอเทมที่ได้จากมอนสเตอร์ตัวนั้นๆก่อน ซึ่งจะมีระดับ ตั้งแต่ธรรมดาไปจนถึง + และ ++ ซึ่งส่วนใหญ่ที่ได้ยากๆจะมาจากพวกบอสทั้งหลาย ในระดับ ++ ซึ่งหลายท่านนั่งฟารม์กันทั้งวันไม่ดรอป บางท่านเข้าไป 3 รอบได้เลยยังมี เป็นดวงกันไปครับ



Soul Sacrifice เป็นเกมที่สุดยอดอีกเกมหนึ่งอย่างน้อยก็สำหรับผมมากๆ ด้วยการเล่าเรื่องที่น่าสนใจ น่าติดตาม และสุดยอด เนื้อเรื่องที่น่าสนใจ น่าติดตาม จนคุณไม่เป็นอันทำอะไร อยากเพียงแต่จะกดเล่นบทต่อๆไปเพื่อจะได้รู้ว่ามันจะเป็นอย่างไรต่อไป Soundtrack ที่สุดยอดอลังการ หดหู่ สิ้นหวัง แต่ช่างไพเราะ Gameplay ที่สนุก มันส์ และทางเลือกของคุณเองว่าคุณจะ "ช่วย" หรือ "สังเวย" แต่ถึงกระนั้นตัวเกมก็ยังมีข้อเสียอย่างน้อยก็สำหรับผม


จุดแรกคือสกิล Offerings หรือ อาวุธ ต่างๆ ที่เอาเข้าจริง พอคุณเล่นไปซักพักคุณก็จะใช้แต่สกิลชุดเดิมๆ เปลี่ยนแค่ธาตุบ้างแหละ ไม่ก็สลับเปลี่ยนไปไม่กี่ชุด เช่น สกิลประเภทขว้าง ที่คุณมักจะใช้ตลอด และเปลี่ยนแค่ธาตุพอ โดยเฉพาะในช่วงท้ายของเกม ที่บอสโคตรโหด ที่โดดมาใส่คุณทีละครึ่งหลอด หรือ อาจจะตายเลยทันทีก็ได้ มันทำให้คุณถูกบังคับใช้ Offerings หรือ สกิล ประเภทขว้างทันที คนที่เป็นแฟนพวกอาวุธระยะประชิด เช่นดาบ หรือ Arm ก็อาจจะผิดหวังไป เพราะ แค่ระยะไกลก็จะแย่แล้ว ขืนคุณวิ่งไปตีบอสระยะใกล้คงตายใน1ท่าของบอส แน่นอน
และ หลายๆ Type ของสกิล ผมรู้สึกว่ามันค่อนข้างไร้ประโยชน์และผมแทบจะไม่ใช้มันเลย เช่น Lure ล่อศัตรู , สายอาวุธต่างๆ , สายยิง Wave เป็นต้น เพราะหลายๆสาเหตุ เช่น จำนวนการใช้ที่จำกัด และ ระยที่ใกล้เกินไปเสี่ยงต่อโดนบอสตบตายเอาง่ายๆ หรือ แม้กระทั่งความจริงที่ ระบบ ดันจำกัดมาให้ใช้ได้แค่ 6 สกิลต่อแมช แถมแต่ละอัน พอใช้จริง มันหมดไวโคตรๆอีกต่างหาก บอสก็โคตรอึด อีกด้วย 


ระบบ Sigil เองก็เช่นกัน ให้ความรู้สึกคล้ายๆกับ Offerings ที่ผมว่ามันใช้จริงๆอยู่ไม่กี่อัน เป็นผลมาจาก Offerings ที่เราดันใช้อยู่ไม่กี่ชนิด ไม่กี่อย่าง เราก็จึงมัวแต่ใช้ Sigil อันเดิมๆ ไม่เปลี่ยนใดๆ เลย มันทำให้ระบบ Sigil ดูน่าสนใจน้อยลงอยู่พอควรเลยทีเดียว ยิ่ง Sigil ระดับสูงๆที่ต้องใช้วัตถุดิบที่ดรอปยากๆ ตอนที่คุณไม่ได้ไปฟารม์วัตถุดิบนั้นๆ คุณมักจะไม่แม้แต่จะเข้าไปเปลี่ยนหน้า Sigil ด้วยซ้ำไป เพราะ คุณก็จะใช้อันเดิมๆ 


จุดต่อมาคือ มอนสเตอร์ พวกลูกกระจ๊อก ทั้งหลาย มันซ้ำกันมากเกินไป มีอย่างมากก็แค่ 3-4 รูปแบบเท่านั้น ทั้งๆที่บอสมอนสเตอร์ กลับมีค่อนข้างเยอะ แต่ลูกกระจ๊อกกลับมีแค่กระติ๊ดเดียว ช่างน่าน้อยใจนัก ทั้งๆพวกลูกกระจ๊อกเหล่านี้เป็นตัวที่คอยช่วยซ้ำเติม หรือ ช่วยเหลือคุณ ในบางครั้งแท้ๆ ทำไมถึงทำกับฉันได้หนอ (ตอนนี้มี DLC บอสตัวใหม่ๆออกมาแล้วนะครับ ซึ่ง FREE !!! ) มันทำให้คุณรู้สึกเบื่อหน้าพวกลูกกระจ๊อกพวกนี้อย่างมาก เพราะ อย่างมาก มันก็เปลี่ยนแค่ ธาตุ ซึ่งหน้าตามันแทบจะไม่เปลี่ยนไปเลย เรียกง่ายๆ เปลี่ยนแค่สี นั้นแหละ


จุดสุดท้ายคือ แผนที่ในเกมที่ดูเหมือนจะเยอะ แต่เอาเข้าจริง มีอยู่ไม่กี่แบบ แถม แต่ละที่ก็ไม่ได้ให้ความรู้สึกแตกต่างกันมากนัก เหมือนแค่เปลี่ยนอะไรบ้างนิดหน่อย ถ้าหากแต่ละแผนที่ มีระบบอะไรที่ส่งผลต่อรูปแบบเกมในระดับที่ส่งผลแบบเห็นได้ชัด ในแต่ละแผนที่ทุกๆแผนที่ คงจะดี



Soul Sacrifice เป็นเกม ที่พิสูจน์แล้วว่าไม่จำเป็นเลยสำหรับเกมๆนึงที่จะดีได้ โดยจำเป็นจะต้องมี CG งดงามอลังการงานสร้าง แต่ทีมงานกลับใช้ การเล่าเรื่องอย่างแสนชาญฉลาด เนื้อเรื่องที่น่าสนใจ น่าติดตาม จริงจัง  ระบบ Gameplay ที่สนุก ตื่นเต้น เร้าใจ โดยเฉพาะ เมื่อสู้กับบอสที่โหดมหาบรมชนิดโดนทีเดียวตาย มันช่างตื่นเต้นเหลือเกิน  Soundtrack ที่สุดยอด ทั้งหดหู่ สิ้นหวัง แต่ช่างไพเราะ เป็นที่สุด และส่งเสริมตัวเกมในแต่ละฉากๆได้เป็นอย่างดีที่สุด ระบบ Multiplayer ที่ไม่แลคเลยแม้แต่น้อย แม้กระทั่งเน็ตกากๆอย่างบ้านผม บอส แต่ละตัว มอนสเตอร์แต่ละตัวที่มีเรื่องราว Background ในแต่ละตัว ที่ช่างน่าสนใจ น่าติดตาม และยังเป็น Tip ให้คุณได้รู้สึกจุดอ่อนของบอสตัวนั้นๆอีกด้วย ถึงแม้ตัวเกมจะมีจุดอ่อน อย่างเช่น Offerings ที่คุณวนใช้อยู่อันเดิมๆ มอนสเตอร์ลูกกระจ๊อก ที่มีอยู่ 3-4 ชนิดอย่างน่าน้อยใจไปบ้าง แต่นั้นก็ไม่เพียงพอเลย ที่จะลดระดับความสุดยอดของ Soul Sacrifice ลงเลย ถ้าหากในมือของคุณตอนนี้ มี PSVITA แล้วคุณยังไม่ได้เล่นเกมนี้แล้วล่ะก็ คุณพลาดอย่างใหญ่หลวงแล้ว ผมหวังเหลือเกินที่จะอยากให้มันมีภาคต่อไปเรื่อยๆ 

โดยคุณ Keiji Inafune ได้เปรยเอาไว้ดังนี้
“I’m interested in making other console games for PlayStation, not just for the Vita,” Inafune said. “Soul Sacrifice is something I specifically designed for Vita using [the] hardware’s specific features. To drive Vita sales even more, I have an idea for a Soul Sacrifice sequel. I’m actually approaching [Sony Computer Entertainment] regarding this project.

He concluded: “Let’s say the talks are ongoing and I’d love to make it happen.”

กรื้ดดด Day One Only


The Best Quote from " Soul Sacrifice "

"Have you checked for droplets recently?"  - Librom


+ จุดที่ตัวเกมทำได้ดี :
+ การเล่าเรื่องที่น่าสนใจ น่าติดตาม ฉลาด
+ บทที่น่าสนใจ น่าติดตาม จนคุณไม่อันเป็นทำอะไร นอกจากจะเล่นต่อไป เพราะ คุณอยากรู้เหลือเกินว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป และ มันเกิดอะไรขึ้น
+ Soundtrack ที่สุดยอด อลังการ หดหู่ สิ้นหวัง และ เหมาะสมกับสถานการณ์ต่างๆในเกมเสมอๆ
+ บอสแต่ละตัวที่มีท่าโจมตี และ จุดอ่อนที่แตกต่างกันออกไป รวมถึงยังฉลาด น่ากลัวสมกับเป็นบอส รวมถึงแต่ละตัวจะมีเรื่องราวของตัวมันเองที่น่าสนใจ น่าติดตาม รวมถึงยังเป็น Tips ให้ผู้เล่นในการเผชิญหน้ากับมันอีกด้วย
+ ระบบ Multiplayer ที่ไม่แลคเลยแม้เน็ตห่วยแตก 
+ ระบบ อย่าง Save Or Sacrifice และ ระบบ Level ของ Soul Sacrifice ที่น่าสนใจ สนุก และ ไม่บังคับผู้เล่นแต่อย่างใดเลย
+ Offerings หรือ สกิลมีให้เลือกมากมาย
+ แม้แต่ Side Mission ก็ยังน่าตืนเต้น น่าติดตาม ไม่แพ้ Main Mission เลย 
+ ตัวละครที่น่าสนใจ น่าติดตาม และ ความคิดเป็นของตัวเอง
+ ความกล้าที่จะสร้างไอเดียใหม่ๆขึ้นมา แล้วยังซ้อนไอเดียใหม่ๆเข้าไปในนั้นอีกชั้น 
+ มีความสมเหตุสมผลในจุดต่างๆของเรื่อง สำหรับในโลกของ Soul Sacrifice
+ การตีความในโลกของ Soul Sacrifice ที่น่าสนใจ และ ความคิดของตัวละครต่างๆ
+ หลายๆอย่างในเกม ไม่มีการบังคับ แต่เป็นการเลือกของ " คุณ " 


- จุดที่ตัวเกมทำได้แย่ :
- Offerings ที่เยอะ แต่เอาเข้าจริง ใช้อยู่ไม่กี่อัน เปลี่ยนแค่ธาตุก็พอ เนื่องจากการจำกัดของตัวเกมในระบบต่อสู้ และ Offerings บางประเภทดูไร้ประโยชน์
- เนื่องจาก Offerings ใช้ไม่กี่อัน ส่งผลให้ Sigil ก็ใช้ไม่กี่อันหนักกว่า Offerings อีก จนคุณแทบจะไม่เปลี่ยนมันเลย 
- ลูกกระจ๊อก ที่มีแค่ 3-4 รูปแบบ บางทีก็แค่เปลี่ยนธาตุ หรือ เปลี่ยนสี
- เนื่องจากบอสในช่วงหลังๆก็เกมโหดมากถึงมากที่่สุด ทำให้เหมือนคุณถูกบังคับให้ใช้ Offerings หรือ สกิลที่โจมตีได้จากระยะไกลเท่านั้น เพราะ หากคุณใช้สกิลโจมตีระยะใกล้อาจตายได้ง่ายๆ โดยเฉพาะ คนที่ไปทางสายโจมตี หรือ สังเวย ยิ่งถูกบังคับแล้วใหญ่
- แผนที่แทบจะไม่รู้สึกถึงความแตกต่างเท่าใดนัก 



Final Score : [ A+ ]  & [ MUST PLAY !!! BADGE ]


วันศุกร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2556

World War Z ( 2013 ) Movie Review

World War Z 
ซอมบี้วินาศโลก รอบที่สองหมื่นสีพันแปดร้อยเก้าสิบห้าล้าน !!?




Movie Name : World War Z (2013) , Action / Zombie / Drama
Director : Marc Forster ( Quantum Of Solace ) 
Stars : Brad Pitt ( Mr. & Mrs. Smith ) , Mireille Enos ( The Killing ) 
Rating : PG-13







REVIEW



                                                                                World War Z เป็นภาพยนตร์ Zombie อีกเรื่องหนึ่งที่มีหลายๆคนตั้งตารอคอยกันพอสมควรเลยทีเดียว ต้องขอบอกก่อนเลยว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้นั้นมีต้นแบบมาจากหนังสือในชื่อเดียวกัน และ ผมผู้เขียนยังไม่เคยได้อ่านหนังสือใดๆนะครับ เพราะ ฉะนั้นรีวิวนี้ จากตัวหนังล้วนๆครับผม


สิ่งแรกที่ผมค่อนข้างเป็นห่วงเลยก็คือ คำวิจารณ์จากต่างประเทศที่ค่อนข้างจะแตกแยกซักหน่อย คนที่บอกว่าดีก็ดีเลย คนที่บอกว่าห่วยก็ห่วยเลยทีเดียว นอกจากนั้น World War Z (ต่อจากนี้ไปขอย่อเหลือ WWZ) ยังเป็นภาพยนตร์ Zombie ที่มีเรทแค่ PG-13 เท่านั้นเองทั้งๆที่หนัง Zombie ปกติจะเป็นเรท R ซะส่วนใหญ่



World War Z ต้องขอพูดเลยว่าเป็นภาพยนตร์อีกเรื่องที่ผมค่อนข้างจะชอบมากเป็นอันดับต้นๆในครึ่งปี 2013 นี้ (ถึงแม้จะยังไม่เท่ากับ Star Trek : Into Darkness ก็ตาม) เริ่มด้วยจุดแข็งกันก่อน อย่างแรกที่ผมชอบมากๆเลยก็คือ การเล่าเรื่องของผู้กำกับ Marc Forster ที่เล่าได้อย่างน่าสนใจ น่าตื่นเต้น น่าติดตาม เขาไม่ได้ใช้ Action เละเทะเพื่อทำให้คุณสนุก แบบ Resident Evil ฉบับภาพยนตร์ แต่เขาใช้ สิ่งแวดล้อม ความกดดัน ได้เป็นอย่างดีในการกดดันคุณ คุณจะรู้สึกตื่นเต้น ไปพร้อมๆกับตัวละครอยู่ตลอดเวลา 


ต่อมาก็คือ การที่นำเรื่องราวของ Zombie ไปคิดใหม่ เป็นมุขใหม่ออกมา ซึ่งค่อนข้างจะน่าสนใจมากๆ ซึ่งมันเป็นจุดที่ผมค่อนข้างอยากจะชม เพราะ กล้าที่จะคิดอะไรใหม่ๆออกมา ที่ไม่ค่อยได้เห็นกันนัก และน่าสนใจที่จะติดตาม ว่ามันจะเป็นอย่างไรบ้าง


สำหรับบางท่าน เรท PG-13 อาจจะพาอารมณ์เสียได้อยู่บ้าง โดยเฉพาะ คอซาดิสฮ่าๆ เพราะ ความรุนแรงของ WWZ ไม่ใช่ว่าไม่มี แต่พยายามให้ดูรุนแรงน้อยที่สุด สาเหตุมาจาก WWZ ธีม และ หัวใจของมัน ไม่ใช่ความรุนแรง ไม่ใช่ความสนุก และไม่เชิงการเอาตัวรอดเป็นหลัก  แต่ คือ "ครอบครัว" ต่างหาก ผมเข้าใจว่า ผกก. จึงพยายามทำให้เรทเรื่องนี้ น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ (แต่ PG คงไม่ไหวมั้ง) เพื่อจะได้ให้พาคนในครอบครัวมานั่งชมได้ โดยไม่ต้องกลัวว่ามันจะรุนแรง แบบไม่สนใจคนดูแบบ Evil Dead (แต่ผมดันชอบ Evil Dead โคตรๆเลยนะ 555+ ) ที่ได้เรท R ไปเต็มๆ และ เกือบจะได้ NC-17 ด้วยซ้ำไป


มีหลายๆฉากที่คุณรู้สึกร่วมไปกับตัวละครอย่างมาก ซึ่งสาเหตุนึงก็มาจากตัวนักแสดงนำอย่าง Brad  Pitt เองที่แสดงได้ค่อนข้างจะดีมาก ทุกครั้งคุณจะคอยเอาใจช่วย ตัวละครนี้อยู่เสมอๆ และ คุณรู้สึกแทบจะทนดูไม่ได้ถ้าหากตัวละครนี้จะเป็นอะไรไป ซึ่งต้องขอชม Brad Pitt ที่สามารถพาคนดูไปถึงจุดนั้นได้อย่างไร้ข้อกังขาเลยทีเดียว

ตอนที่ผมดูตัวอย่าง WWZ ผมค่อนข้างจะกังวลอยู่บ้าง เพราะ ตัวอย่างมันดันสปอยฉากต่อไปในหนังอย่างหน้าตาเฉย ผมก็เลยกังวลว่า แล้วอย่างนี้ ฉากก่อนหน้านั้น จะทำให้มันจืดไปเลยไหม เพราะ เราก็รู้อยู่แล้วว่ามันจะเป็นยังไงต่อไป แต่ไม่เลย ไม่แน่ใจว่าเขาจงใจใส่ลงไปหรืออย่างไร แต่ฉากก่อนหน้านั้น ต่อให้คุณรู้มาก่อนจากการดูตัวอย่าง ก็ไม่เป็นปัญหาใดๆ มันยังคง ตื่นเต้น สนุก และ ลุ้นระทึกในทุกๆวินาที



ด้วย บทที่น่าสนใจ และ การเล่าเรื่องที่สนุก ตื่นเต้น จะมีอะไรดีไปกว่านี้ ? แต่... ช่างน่าเสียดาย ที่ตัวหนังนั้นกลับเหมือนจะลืมอะไรไปบางอย่างไป ระหว่างทางไปบ้าง

ข้อแรกสุดเลยก็คือ ตัวละครรองทั้งหลาย นอกจาก Brad Pitt แล้ว ตัวละครอื่นๆแทบจะไม่มีบทบาทในเรื่องเลย แถม 90% ส่วนใหญ่จะเป็นแบบ ใช้แล้วทิ้งซะงั้น ทำให้เป็นการเปลืองทรัพยากรโลก เอ้ย ไม่ใช่ ทรัพยากรบท อยู่มาก ตัวละครรองที่สำคัญขึ้นมาหน่อย 3-4 ตัวละคร ก็กลับถูกลืมไปตรงกลางเรื่องซะอย่างงั้น ทำให้ทั้งเรื่อง นอกจากตัวเอกแล้ว ตัวละครที่เหลือนั้น ไม่น่าสนใจ และ ไม่น่าติดตามซักเท่าไรนัก เพราะ พวกเขาโผล่มาแวบเดียวเท่านั้นเองเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งน่าเสียดายในส่วนนี้


จุดต่อมาเลยก็คือ บท ที่น่าสนใจ น่าติดตามก็จริง โดยเฉพาะ เรื่องราวของ Zombie แบบใหม่ แต่ตัวหนังกลับอธิบายแบบครึ่งๆกลางๆ ไม่แน่ใจว่าทาง ผกก. จงใจเพื่อจะแกล้งทำเป็นภาคต่อหรืออย่างไรไม่ทราบ แต่ในภาคนี้ การอธิบาย Zombie แบบใหม่ ยังคงครึ่งๆกลางๆ และ ยังคง พางงอยู่ในหลายๆจุด รวมไปถึง ไม่สมเหตุสมผลในหลายๆจุดอีกด้วย


จุดต่อมาอีกก็คือ ความ โอเวอร์ของหนัง ที่ค่อนข้างจะมากไปหน่อย โดยเฉพาะพระเอก ถึงแม้จะไม่กลายเป็นเทพเจ้าแบบ Alice ใน Resident Evil ฉบับภาพยนตร์ แต่ในหลายๆฉากกลับดูเวอร์เกินจริงไปหน่อย แต่ก็เพียงนิดเดียวเท่านั้นครับ ส่วนใหญ่ในหนังจะค่อนข้าง โอเคอยู่



World War Z เป็นภาพยนตร์ Zombie ที่ถ้าหากมีภาคต่อจริง คงจะน่าติดตามมากๆอีกเรื่องหนึ่งเป็นแน่แท้ ด้วยความกล้าที่จะนำ Zombie มาตีความใหม่ เล่าแบบใหม่ การเล่าเรื่องที่น่าสนใจ สนุก ตื่นเต้น น่าติดตาม ฉลาด รวมไปถึง ธีม ครอบครัว ที่ถึงแม้จะลดความโหดลงไป แต่ก็ไม่เสียความเป็น หนัง Zombie Survival แต่อย่างใด ถึงแม้ตัวหนังจะยังขาดอะไรหลายๆอย่างไป เช่น ตัวละครรองที่ถูกใช้แบบ ใช้แล้วทิ้ง บทที่ยังครึ่งๆกลางๆ และ ความเวอร์ของหนังที่มากไปหน่อยในบางจุด แต่ผมก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่า World War Z เป็นภาพยนตร์ที่ สนุก ตื่นเต้น น่าติดตาม เป็นที่สุด เป็นภาพยนตร์อีกเรื่อง ที่คุณไม่ควรพลาดในช่วงนี้ ต่อจาก Man Of Steel เลยทีเดียว


The Best Quote from " World War Z "

“Most people don't believe something can happen until it already has. That's not stupidity or weakness, that's just human nature.” 



+ จุดที่ภาพยนตร์ทำได้ดี :
+ ความกล้าที่จะแหวกแนว Zombie ตีความใหม่
+ การเล่าเรื่องที่น่าสนใจ น่าติดตาม สนุก ตื่นเต้น ลุ้นระทึก ฉลาด
+ Brad Pitt เล่นได้อย่างดีในตัวละครของเขา
+ Theme " ครอบครัว "
+ คุณจะรู้สึกร่วมไปกับตัวละครหลัก ในหลายๆฉาก


- จุดที่ดูเหมือนจะไปไม่รอด :
- บทที่ครึ่งๆกลางๆ อธิบายไม่หมด
- ตัวละครรองทั้งหลายนั้นเป็นแบบ ใช้แล้วทิ้ง โผล่มาแปปเดียวเท่านั้น ส่วน ตัวละครรองใหญ่บางตัว ก็ถูกลดความสำคัญลงไปในกลางเรื่อง
- ความโอเวอร์ของภาพยนตร์ที่มากไปหน่อย ในบางฉาก



Final Score : [ B+ ] & [ Must See Badge ]



วันพฤหัสบดีที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2556

Man Of Steel ( 2013 ) Movie Review

Movie Review
ซุปเปอร์แมนที่กางเกงไม่แดง !!




Movie Name : Man Of Steel ( 2013 ) , Action / Superhero
Director : Zack Snyder ( 300 , Sucker Punch )
Stars : Henry Cavill ( Immortals ) , Russel Crowe ( Les Miserables ) , Amy Adams (  The Fighter ) , Michael Shannon ( Bad Boys 2 ) , Kevin Costner ( The Bodyguard ) 
Rating : PG -13






REVIEW


                                                                                 Man of Steel เป็นภาพยนตร์ที่คงปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นภาพยนตร์ที่คนทั่วโลกรอคอยมากที่สุดอีกเรื่องนึงของปี 2013 นี้ และ Superman นั้นเป็นซุปเปอร์ฮีโร่ที่มีประวัติมายาวนานเหลือเกิน ทั้งยังเป็นอีกหนึ่งฮีโร่ชั้นหน้าของ DC ที่เทียบเท่า Batman หรือ ดีไม่ดี อาจจะมากกว่าด้วยซ้ำไป ยิ่งกระแส Justice League ของทาง DC ที่อยากจะเอาคืนทาง Marvel ที่ประสบความสำเร็จไปแล้วอย่างมากกับ The Avengers บ้าง จึงทำให้ Man of Steel เป็นภาพยนตร์อีกเรื่องที่สำคัญมากๆสำหรับค่าย DC


Man Of Steel ต้องขอเริ่มจากขอชมก่อน อย่างแรกเลยคือ Casting ที่ช่างเหมาะสมเหลือเกิน และ ยกระดับหนังให้ดีขึ้นพอสมควรเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น Henry Cavill ที่ภาพยนตร์เรื่องก่อนหน้านี้ ผมก็ไม่ได้ประทับใจเขาอะไรซักเท่าไร แต่พอเขามาเล่น Man Of Steel ผมกลับที่จะอดที่จะดูภาคต่อไปไม่ได้ว่า เขาจะทำอะไรได้อีกบ้าง หรือ อย่าง Russel Crowe ที่เล่นได้ดี และมีบทบาทอย่างมาก และ เป็นอีกคนที่ยกระดับหนังให้สูงขึ้น แต่คนที่ผมอยากชมจริงๆเลยก็คือ Kevin Costner ตัวหนังจะแย่กว่านี้พอสมควรเลยทีเดียว ถ้าไม่มีเขา เพราะ เขาช่างตีบทแตกกระจุยกระจายเละเทะจริงๆ เขาเล่นได้อย่างสุดยอด จนคุณขนลุก เขาเข้าถึงตัวบทอย่างแท้จริง 

ตัวละครอย่าง Jonathan Kent และ Martha Kent นั้นเป็นสองตัวละครที่ค่อนข้างจะแข็งแรงสุดๆ และ มีความสำคัญอย่างมากต่อเรื่องและตัวละครอย่าง Superman ทั้งเรื่องอาจจะกลับกันทั้งหมดเลยก็ว่าได้ ถ้าหากไม่มีสองตัวละครนี้ 



อย่างที่สองเลยก็คือเรื่อง Design ที่มีหลายๆฉาก และ หลายๆวิธีการเล่าเรื่องด้วยภาพ ใน Man Of Steel ที่ดูดี และ น่าสนใจเหลือเกิน ในหลายๆฉากภาพก็สวยอย่างมาก และ CG ที่อลังการงานสร้างสุดๆ

รวมไปถึง Action ที่เตะต่อย ปล่อยพลังกันยิ่งกว่า ดรากอนบอล มหาวินาศสุดๆ น่าจะถูกใจคอ Action ได้อย่างดิบดี

อีกจุดหนึ่งที่ผมค่อนข้างชอบก็คือ วิวัฒนาการของ Superman ในภาคนี้ตั้งแต่ 0 จนถึงเป็น Superman ที่น่าสนใจ น่าติดตาม และ สิ่งที่เขาต้องเผชิญต่างๆ ช่างน่าติดตามเหลือเกิน




มาถึงจุดนี้แล้ว ผมต้องขอพูดเลยว่า Man Of Steel เป็นภาพยนตร์ในปีนี้ที่ ณ ขณะนี้ผมผิดหวังมากที่สุดก็ว่าได้ เพราะ มันมีหลายสิ่ง หลายอย่าง ที่ยังไม่เข้ารูปเข้ารอยอย่างมาก 


อย่างแรกสุดที่ผมว่าเป็นจุดอ่อนที่ร้ายแรงที่สุดของ Man Of Steel คือ บทโดยเฉพาะในช่วงแรกที่ตัวหนังเร่งมากเกินไปอย่างมาก ทั้งๆที่เป็นฉากที่ค่อนข้างสำคัญมาก แต่กลับเร่งๆเพื่อที่จะให้ถึงฉากต่อไปได้เร็วขึ้น แต่มันทำให้คุณแทบจะไม่รู้สึกอะไรเลยในฉากนั้น คุณจะไม่รู้สึกที่จะมีอารมณ์ร่วมไปกับตัวละครเลยแม้แต่น้อย ในฉากนั้น เพราะ ทุกอย่างมาถึงก็เหมือนจะโยนใส่คุณทันที มันทำให้หนังทั้งเรื่อง คุณมีอารมณ์ร่วมน้อยลงอย่างมาก เพราะ ตอนช่วงแรกหนังไม่ได้ทำให้คุณรู้สึกไปกับตัวละครนั้นๆเลย 

บทที่เป็นเส้นตรงสุดๆ ต่อให้คุณไม่ได้ดู ก็เดาได้ไม่ยากเลยทีเดียว มันคือบทของ หนังฮีโร่นั้นแหละ ไม่มีอะไรมากกว่านั้น ถึงแม้จะพยายามแล้วก็ตาม

นอกจากนั้นบทนั้นดูเหมือนจะถูกจัดวางมามากจนเกินไป ทำให้บางส่วนพาดูไม่สมเหตุสมผลเอาซักเท่าไรนัก 


ต่อมาคือตัวร้าย ที่หลักๆก็คือตัวร้าย เป็นได้แค่นั้น ทั้งๆที่ผมว่านักแสดงอย่าง Michael Shannon เขาก็พยายามแล้ว แต่เหมือนบทมันส่งได้แค่นั้นจริงๆ ถ้าจะให้เทียบกับ Star Trek : Into Darkness ตัวร้ายใน Star Trek ช่างน่าสนใจ น่าติดตาม รวมถึงแรงจูงใจที่สมเหตุสมผลอย่างมาก รวมถึงการแสดงขั้นมหาเทพของ Benedict Cumberbatch ที่ทำให้คุณแทบจะอดไม่ได้ที่สงสาร และ แอบเอาใจช่วยตัวละครนี้ ทั้งๆที่เป็นตัวละครร้ายแท้ๆ  และ ตัวร้ายใน Man Of  Steel นั้นไม่ได้ดูฉลาดเอาเสียเลย ออกจะตัวร้ายที่มีมาเอาไว้ให้พระเอกกระทืบ ก็เท่านั้นซะมากกว่า 


มีหลายๆฉากที่ตัวหนังพยายามที่จะสร้างอารมณ์ร่วม หรือ ทำให้คุณอินไปกับมัน แต่ก็ไม่สามารถที่จะพาคุณไปได้เลย เพราะ คุณไม่ได้รู้สึกมีความผูกพันธ์อะไรกับตัวละครเลย แม้กระทั่งตัวละครบางตัวก็ไม่น่าสนใจ และ ไม่มีก็ยังได้ด้วยซ้ำไป ทำให้คุณหลังจากดูจบก็เหมือนจะจบไปเลย ไม่มีความน่าจดจำแต่อย่างใด ซึ่งเป็นจุดที่ร้ายแรงอันดับที่สองของเรื่องเลยก็ว่าได้


ฉาก Action ที่ผมกลับมองว่า มันมากเกินความจำเป็นไปหน่อย ถ้าท่านใดไม่ชอบดูฉากเร็วๆนานๆละก็ ฉาก Action บางฉากคุณอาจจะแทบอยากจะปิดตาเลยก็ว่าได้ [/color]



[color=red]Man Of Steel เป็นภาพยนตร์ที่ "ดี" แต่ไม่ถึงกับยอดเยี่ยม เพราะ หนังมันไปได้แค่นั้นจริงๆ ด้วยบทที่ค่อนข้างจะอ่อนแอในหลายๆส่วน การเร่งเรื่องมากจนเกินไปในบางส่วน ตัวร้ายที่ไม่น่าสนใจ หลายๆฉากที่ไม่สามารถที่จะสร้างให้คุณมีอารมณ์ร่วมไปกับตัวละครได้ ถ้าให้เทียบกับ Star Trek : Into Darkness แล้ว Star Trek : Into Darkness ยังคงเป็นที่ 1 ในปีนี้ด้วยความเหนือในหลายๆด้าน และ Man Of Steel ถือเป็นภาพยนตร์ที่น่าผิดหวังที่สุดในขณะนี้สำหรับครึ่งปีนี้ สำหรับผมเลยทีเดียว แต่ ยังไงก็ตาม Man Of Steel ก็ยังคงเป็นภาพยนตร์ที่ไม่สมควรพลาดอีกเรื่อง ในปีนี้ ไม่ว่าจะด้วย Casting ที่ดี Kevin Costner ที่ตีบทแตกกระจุย ฉาก Action วินาศสุดๆ หรือ แม้แต่เหตุผลง่ายๆอย่างเข้าไปดู Superman ก็คงไม่ผิดนัก


The Best Quote from " Man Of Steel " 

 You are not alone... My name is General Zod. I have journeyed across an ocean of stars to reach here. Your world has sheltered one of my citizens. He will look like you, but he is not one of you. To those of you who know of his location: the fate of your planet rests in your hands. To Kal-El, I say this: surrender within 24 hours, or watch this world suffer the consequences... "


+ จุดที่ตัวหนังทำได้ดี :
+ นักแสดงทั้งหลายที่ Casting ได้เป็นอย่างดี แต่ละคนช่างเล่นได้ดี เหมาะสม และ ยกระดับตัวหนังขึ้น
+ การออกแบบภาพ ที่สวยงาม
+ วิธีการเล่าเรื่องด้วย CG ในหลายๆฉาก ที่น่าสนใจ และ ทำได้ดี
+ Action ระดับมหาโคตรวินาศ
+ Kevin Costner แสดงได้อย่างสุดยอดเป็นที่สุด ทุกๆคำพูดของเขามีความหมาย และ เข้าถึงบทได้อย่างแท้จริง
+ การวิวัฒนาการของ Superman 
+ Easter Egg


- จุดที่ดูเหมือนจะไปไม่รอด :
- บทที่อ่อนแอในหลายๆส่วน
- ต้นเรื่องตัวหนังถูกเร่งมากจนเกินไป จนทำให้คุณไม่รู้สึกร่วมใดๆกับตัวละคร
- หลายๆฉากที่พยายามจะให้คนดูมีอารมณ์ร่วม แต่ไม่สำเร็จ คุณไม่รู้สึกอิน หรือ รู้สึกร่วมไปกับตัวละครใดๆ 
- บทที่เป็นเส้นตรง เดาง่ายดาย 
- ตัวละครร้ายที่ไม่น่าสนใจ
- บางส่วนถูกจัดวางมากเกินไป จนไม่สมเหตุสมผล
- หลังจากดูจบ หนังก็จบไปกับคุณ ไม่ได้มีอารมณ์น่าจดจำ แต่อย่างใด
- ฉาก Action ที่มากเกินความจำเป็น


Final Score : [ B ] & [ Disappointed Badge ]


วันจันทร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2556

After Earth ( 2013 ) Movie Review

MOVIE REVIEW
M.Night.....OH GOD... WHAT HAVE YOU DONE !!?!




Movie Name : After Earth ( 2013 ) , Columbia Pictures , Adventure 
Director : M.Night Shyamalan ( The Last Airbender , The Sixth Sense )
Stars : Will Smith  ( I Am Legend ) , Jaden Smith ( Karate Kid ) 
Rating : PG-13





REVIEW



                                                                                    After Earth เป็นภาพยนตร์ของผู้กำกับ M.Night Syamalan ที่เป็นผู้กำกับคนหนึ่งที่ทำให้คนทั่วโลกสับสนมาก ในช่วงแรกๆนั้นภาพยนตร์ของเขาแต่ละเรื่องถือว่าเป็นภาพยนตร์ที่เป็นตำนาน จนถึงกับไม่ว่าใครๆก็ต้องรู้จักภาพยนตร์ของเขา อย่างเช่น The Sixth Sense , Unbreakable หรือ The Signs แต่หลังจากนั้นไม่รู้พี่แกไปทำอะไรมาก็ไม่ทราบ ฝีมือการกำกับก็พลิกจากหน้ามือเป็นหลังเท้าเลยทีเดียว เขากลับสร้างผลงานที่แสนเจ็บปวดให้แก่แฟนๆ รวมไปถึง The Last Airbender ที่เป็นการ์ตูนโปรดของ ผู้เขียนเลยก็ว่าได้ เพราะมันสนุกมากๆ แต่พอพี่แกเอาไปทำหนังแค่นั้นหละ ดูไปแทบอยากจะร้องไห้ ต่อให้คุณไม่ได้ดูการ์ตูนมาก่อนคุณก็รู้ว่า The Last Airbender มันแย่แค่ไหน  และคราวนี้ After Earth ได้สองพ่อลูก Will Smith และ Jaden Smith มา ไม่แน่ !! เรื่องนี้อาจจะเป็นความหวังใหม่สำหรับแฟนๆ M.Night ก็เป็นได้ แต่................... ขอแสดงความเสียใจด้วยครับ เพราะมันไม่เป็นเช่นนั้นเลยแม้แต่น้อย......


After Earth เป็นภาพยนตร์ที่ผมขอบอกตามตรงว่าเลวร้ายกว่าภาพยนตร์เกรด B เสียอีก ไม่ว่าจะบท ตัวละคร ความน่าสนใจ ความสนุก สิ่งที่เลวร้ายที่สุดของภาพยนตร์เรื่องนี้เลยก็คือ มันไม่มีอะไรเลย ไม่มีอะไรเลยจริงๆ ทุกๆสิ่ง บท ตัวละคร มันไม่มีตัวตนเลยแม้แต่น้อย บทที่ไม่มีอะไรเลย ไม่สมเหตุสมผลซักจุด ยิ่งดูยิ่งขัดกันเองไปมา ในหลายๆจุดมันทำให้คุณรู้สึกทรมาณเหลือเกินที่จะนั่งดู เพราะบทมันช่างปยอ สุดจะทนเหลือเกิน


ตัวละครก็เลวร้ายไม่แพ้กัน ไม่ทราบว่าหนังเรื่องนี้พยายามจะแข่งให้แย่ที่สุดกันหรืออย่างไรไม่ทราบ เพราะ ตัวละครนั้นทั้งเรื่องขอบอกตรงๆครับ มีอยู่แค่นั้นแหละ 2 ตัวละคร ที่เหลือ มีมาทำไมไม่ทราบก็ไม่รู้ ไม่มีก็ยังได้ ถ้า 2 ตัวละครนั้นดีจริงๆละก็ มันก็คงจะพอรับได้ใช่ไหมละครับ แต่ไม่เลย แม้แต่ 2 ตัวละครนี้ก็ยังเลวร้ายสุดๆ เป็นตัวละครพ่อ-ลูกที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่ผมเคยดูมา ไม่ทราบว่าไอ้การที่แกเอาความคิดที่ว่า ตัวละครที่ไร้อารมณ์มาเนี้ยมันเป็นดาบสองคมรึเปล่า เพราะ ถ้าทำดีก็เวิรค์ไป แต่ถ้าทำไม่ดีก็โคตรแห่งเฟล ซึ่งในกรณีนี้เป็นอย่างหลัง ตัวละครทั้งสองตัว นั้น คนนึงก็แทบจะไร้ซึ่งอารมณ์ทั้งเรื่องตลอด 24 ชม. และ ช่างน่าเบื่อเหลือเกินที่จะทนดูตัวละครนี้ อีกตัวละครหนึ่ง ก็อารมณ์แปรปรวนแบบหาเหตุผลไม่ได้เลยแม้แต่น้อย และ มันเหมือนเป็นตัวละครที่ยิ่งดูยิ่งรู้สึกน่ารำคาญอย่างมาก ยิ่งกว่าตัวละครอีกตัวละครเสียอีก และความสัมพันธ์พ่อ-ลูก ในเรื่องนี้นั้น ตั้งแต่ต้นจนจบ ความสัมพันธ์ = 0 ทั้งเรื่องไม่มีการพัฒนาใดๆ แต่หนังก็ยังพยายามยัดเยียดเข้ามาให้คนดูซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรคุณก็ไม่มีวันเชื่อเลยแม้แต่น้อย ว่าสองคนนี้ในตอนท้ายจะเข้าใจกันได้เลย ไม่มีวันจริงๆ ต่อให้เป็นหนังห่วยแตก เกรด B แค่ไหน อย่างน้อยมันก็ต้องมีการพัฒนาความสัมพันธ์ของตัวละครบ้างแม้กระติ๊ดดดนึงก็ยังมี แต่หนังเรื่องนี้ ไม่มีเลย ไม่มีแม้แต่น้อย



ความสมเหตุสมผลในหนังก็แทบจะเป็น 0 เช่นกัน หลายๆสิ่งหลายๆอย่างทำให้คุณรู้สึกว่า มันเป็นไปได้ยังไง แต่หนังก็กลับไม่คิดที่จะอธิบายมัน ทำให้ผมรู้สึกว่าหลายๆสิ่งในภาพยนตร์มันก็คือมีไปอย่างนั้น ไม่มีเหตุผล ไม่มีคำอธิบายใดๆ ยิ่งทำให้การดูหนังเรื่องนี้ดูช่างลำบากมากขึ้นเพราะ ทุกๆการกระทำในภาพยนตร์มันดูจะขัดกันเองไปมากันเสียหมด


ความสนุกของหนังเรื่องนี้ต้องบอกว่าแทบจะไม่มีเลยมากกว่า มันจะกลายเป็นนั่งดูอย่างทรมาณเสียมากกว่า จนบางท่านอาจจะนั่งคิดว่า "เมื่อไรมันจะจบฟะ" ก็เป็นไปได้ หนังช่างอืดเหลือเกินในหลายๆช่วง ยิ่งผนวกกับบทและตัวละครที่ไม่มีค่าใดๆเลย ทำให้คุณอดที่จะรู้สึกอยากจะขำอย่างคนบ้าไม่ได้ แม้แต่ในช่วงแรกของภาพยนตร์นั้นก็ถือว่าเปิดเรื่องมาได้แย่แล้วผมก็ได้แต่ภาวนาว่า อย่างน้อยมันก็คงไม่แย่กว่านี้ จนมันแย่กว่านี้จนได้...

การแสดงถือว่าทั้งคู่ทำได้ในระดับแบบน่าแปลกใจ Will Smith นั้นถือว่าค่อนข้างแย่ผมเข้าใจว่าเขาพยายามที่จะแสดงให้เป็นตัวละครให้ได้ แต่ไม่รู้เพราะว่าตัวละครนั้นถูกเขียนมาแย่มากๆด้วยหรือเปล่า ทำให้การแสดงของเขาดูแย่ไปในถนัดตา ส่วน Jaden Smith แสดงได้อย่างขึ้นๆลงๆสุดๆ ในหลายๆช่วงแสดงได้แย่ แต่บางช่วงก็แสดงได้โอเค-ดี 


สิ่งที่ทำให้ผมปวดร้าวและเจ็บปวดมากที่สุดเลยสำหรับ M.Night สำหรับเรื่อง After Earth เลยนั้นก็คือ ผมเข้าใจว่าเขาพยายามเหลือเกินที่จะทำให้หนังมันออกมาดี ในหลายๆฉากเขาก็ทำได้ไม่ถึงกับเลวนัก และ ตัวหนังมี Potential สูงมาก คือ มีโอกาสที่จะไปได้ไกล และ สุดยอดมากกว่านี้หลายเท่า ผมเห็นหลายๆสิ่งในภาพยนตร์ที่ช่างน่าเสียดายเหลือเกินที่มันถูกใช้อย่างผิดที่ผิดทางอย่างมาก ทั้งๆที่ถ้าใช้มันถูกทางล่ะก็มันจะเป็นภาพยนตร์ที่สุดยอดอีกเรื่องหนึ่งแท้ๆ แต่มันกลับไปไม่รอด ด้วยองค์ประกอบที่ใช้ผิดที่ผิดทางไปหมด บทและตัวละครที่แทบจะมีค่าเป็น 0 ความสนุกยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงแค่ดูให้ไม่รู้สึกเบื่อก็จะแย่ หรือ ขำในความอนาจของบทและตัวละครก็จะแย่แล้ว แถมในหนังยังมีฉาก Jump Scare หรือ ฉากตกใจแบบที่ใช้มุขเดียวกับหนังผีไทยมาใช้ด้วยทำให้ผมตั้งข้อสงสัยว่า นี้พี่แกจะลดระดับจาก Hollywood มาเท่าหนังไทยแล้วหรอ.....



After Earth เป็นภาพยนตร์อีกเรื่องหนึ่งในครึ่งปีแรก 2013 นี้ที่คงไปเข้าชิง ภาพยนตร์ยอดแย่แห่งปีเป็นแน่แท้ร่วมกับ A Good Day To Die Hard และ Movie 43 (ที่เขาว่ากันว่าเป็นภาพยนตร์ที่ห่วยแตกที่สุดตลอดกาล)  After Earth นั้นเป็นภาพยนตร์ที่ไม่มีสิ่งใดๆเลย บทที่ไร้ความหมาย ไม่อธิบายใดๆ และขัดกันไปมา ตัวละครที่ไม่น่าสนใจ แถมยังเลวร้าย และ ยังไร้เหตุผลเป็นที่สุด ความสัมพันธ์ของตัวละครที่เป็น 0 ตั้งแต่ต้นยันจบ ความสนุกที่แทบจะหาไม่ได้ หรือว่านี้จะเป็นจุดจบแล้ว สำหรับ M.Night Shyamalan ?


The Best Quote from " After Earth "

" Danger is Real ,but Fear is a choice "




+ จุดที่ภาพยนตร์ทำได้ดี :
+ Soundtrack ที่ทำให้ตื่นเต้นและสนุกได้บ้างในฉากสุดท้าย
+ ภาพที่สวยในบางฉาก


- จุดที่ดูเหมือนจะไปไม่รอด :
- บทที่ไม่มีอะไรเลย ไร้เหตุผล ไร้คำอธิบาย ก็มันมีอยู่ตรงนั้นแหละจะถามอะไรมากมาย !!
- ความสมเหตุสมผลที่แทบจะเป็น 0 ทำให้หลายๆจุดในภาพยนตร์รู้สึกขัดกันเอง 
- ตัวละครสุดแสนน่าเบื่อ ทั้งคู่เป็นตัวละครที่ไม่รู้คิดออกมาได้ยังไง อย่าว่าแต่ภายในจิตใจ หรือ Conflict เลย แค่ธรรมดาพื้นๆก็จะแย่แล้ว
- แถมทั้งเรื่องมันก็มีอยู่แค่สองตัวละครนั้นเท่านั้นแหละ !! ที่เหลือไร้ความหมาย !!
- การแสดงที่ขึ้นๆลงๆของทั้งสอง
- ทำให้คุณรู้สึกขำในความน่าอนาจของ บท และ ตัวละคร ในหลายๆฉากที่ไม่สมเหตุสมผล และ ไม่รู้คิดได้อย่างไร
- ความสนุกที่แทบจะหาไม่ได้ แค่เพียงไม่ทำให้คุณรู้สึกเบื่อ หรือ ขำอย่างคนบ้าก็เต็มทนแล้ว
- Potential หรือ ความเป็นไปได้ในภาพยนตร์ที่ช่างน่าเสียดาย ที่ถูกใช้ผิดที่ผิดทางสุดๆ
- ความสัมพันธ์ของตัวละครที่ไม่มีการพัฒนาใดๆ เป็น 0 ตั้งแต่ต้นยันจบ แต่หนังก็พยายามยัดเยียดให้คุณ แต่ในท้ายที่สุดคุณก็ไม่สามารถเชื่อมันได้อยู่ดี 
- มี Jump Scare หรือ ฉากตกใจที่ใช้มุขน่าอนาจๆแบบหนังไทย...



Final Score : [ D ] & [ GARBAGE BADGE ]




Thank you to : After Earth ( 2013 ) , Columbia Pictures , IMDB for information