Movie Review
อีกหนึ่งผลงานอันยอดเยี่ยมของสองพี่น้องโคเอน
Movie Name : No Country For Old Men ( 2007 ) Crime / Drama / Thriller [ Won 4 Oscar ]
Director : Ethan Coen , Joel Coen ( รวมถึงเขียนบทร่วมกัน )
Stars : Josh Brolin ( True Grit , Jonah Hex ) , Tommy Lee Jones ( Men In Black ) , Javier Bardem ( Skyfall )
Rating : R ( มีฉากที่รุนแรง , เนื้อหาที่รุนแรง )
REVIEW
No Country For Old Men เป็นภาพยนตร์อีกเรื่องหนึ่ง ที่ได้รับการพูดถึงในวงของนักวิจารณ์ภาพยนตร์ หรือแม้กระทั่งผู้ชมภาพยนตร์หลายๆคนอยู่ ถึงแม้ตัวภาพยนตร์จะสร้างและออกฉายมานานตั้งแต่ปี 2007 แล้วก็ตาม ด้วยความเป็น "Masterpiece" ของมันจึงทำให้ไม่สงสัยเลยที่ทำไมมันยังคงเป็นภาพยนตร์ที่ได้รับการกล่าวขวัญกันอยู่ถึงทุกวันนี้
No Country For Old Men เป็นผลงานที่เรียกได้ว่า ชิ้นโบว์แดง ของสองพี่น้องโคเอน ที่หลังจากภาพยนตร์เรื่องนี้กวาดรางวัลมากมาย รวมถึงเสียงวิจารณ์ที่ชมแล้วชมอีก จากต่างประเทศ จึงทำให้ทั้งสองพี่น้องมีผลงานต่อๆไปหลายๆเรื่องในปีถัดๆมา เช่น True Grit ที่ได้ Jeff Bridges เป็นดารานำแสดง , A Serious Man หรือภาพยนตร์ในปี 2013 นี้อย่าง Inside Llewyn Davis
No Country For Old Men นั้น วินาทีแรกที่ตัวภาพยนตร์เปิดตัวขึ้น จนจบภาพยนตร์นั้น ตัวภาพยนตร์ช่างมีความ "Intense" แรงกดดัน ถาโถมเข้ามาประทังใส่คนดูอย่างมากตั้งแต่วินาทีแรกของภาพยนตร์ และแรงกดดันนี้ มันไม่มีช่วงใดเลยในภาพยนตร์ ที่มันจะหายไปเลย หลายๆสาเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็น่าจะมาจาก ลายเซ็นของสองพี่น้องโคเอน อยู่แล้ว ที่เรียกได้ว่า เป็นสองพี่น้องที่"ไม่ค่อยชอบปรุงแต่ง" ในภาพยนตร์ซักเท่าไรนัก อย่างเช่นการใช้เสียงประกอบเป็นเสียงจากในสถานที่จริงๆ ไม่ใช้เสียง Soundtrack ชนิดที่เป็นเพลงเพื่อสร้างอารมณ์ หรือการตัดต่อในแต่ละ Scene แบบฉูดฉาดมากจนเกินไป ผลของมันก็คือ มันทำให้ตัวภาพยนตร์นั้นมีความ Realistic หรือ สมจริงมากขึ้นอย่างมหาศาล พร้อมกับแรงกดดันอย่างอัตโนมัติ เนื่องจากความสมจริงของมัน ยังไม่รวมถึงเนื้อหาของภาพยนตร์ที่ตัวมันเองโดดๆก็ช่างกดดันมากๆพอตัวอยู่แล้ว และเทคนิคต่างๆในภาพยนตร์อื่นๆเช่น โทนสีของภาพยนตร์ในทุกๆฉากที่ถูกเลือกสรรค์มาเป็นอย่างดี การวางองค์ประกอบภาพที่น่าทึ่ง ถึงแม้ในบางครั้งมันจะนำทางผู้ชมมากไปหน่อยก็ตาม
อีกหนึ่งเรื่องที่น่าชื่นชมมากๆของสองพี่น้องโคเอนใน No Country For Old Men คือการเล่าเรื่องที่น่าทึ่ง การตัดต่อที่ไม่ทำให้รู้สึก "Disconnect" หรือไม่รู้สึกเชื่อมต่อกัน การตัดต่อของพวกเขานั้น ช่างไหลลื่น เชื่อมต่อกันระหว่าง 3 ตัวละครหลักได้อย่างดีเยี่ยม พร้อมยังเล่าเรื่องของพวกเขาในเวลาเดียวกันได้อีก อีกสิ่งหนึ่งที่ทั้งสองพี่น้องทำได้อย่างยอดเยี่ยมมากในภาพยนตร์ก็คือ การสื่อสารกับคนดูโดยใช้"ภาษาภาพยนตร์" ทางภาพ มากกว่าใช้คำพูด เสียง หรือตัวละครอื่นๆบอก ใน 1 ชั่วโมงแรก ของภาพยนตร์นั้น ตัวละครทั้ง 3 ตัวนั้นพูดน้อยมาก และหลายๆฉากที่ไม่มีเสียงพูดเลยหลายนาที แต่ 1 ชั่วโมงนี้ กลับเล่า Character ของตัวละครได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย น่าทึ่ง และมันทำให้คนดู"เชื่อ"โดยที่ไม่ต้องมีตัวละครไหน หรือมีเสียงไหนมาบอก
ยังไม่รวมถึงทั้งสามดาราระดับแถวหน้าของ Hollywood ที่มาประชันบทบาทกันไม่ว่าจะเป็น Josh Brolin , Tommy Lee Jones และที่สำคัญและเป็นตัวชูโรงที่สุด Javier Bardem จาก Skyfall นั้นเอง Javier Bardem นั้นต้องขอชมจริงๆเลยว่าเขาแสดงได้อย่างยอดเยี่ยม น่าทึ่ง หยุดทุกลมหายใจ จนทำให้รู้สึกว่า เราคงจะไม่มีวันลืมตัวละครนี้และบทบาทนี้ของเขาไปแน่นอน โดยเฉพาะในฉากร้านขายของในช่วงต้นเรื่องของภาพยนตร์ ที่เขาแสดงได้อย่างยอดเยี่ยมจนความตึงเครียดในฉากนั้นมันพุ่งทวีคูณ 3-4 เท่า และทำให้หัวใจของคนดูเต้นไม่เป็นจังหวะ ในฉากๆเดียว ทั้งๆที่ในฉากนั้นดูผิวเผินมันก็แทบจะไม่มีอะไรเลย นอกจากคนสองคนคุยกัน ซึ่งพูดได้เลยว่า สมแล้วกับการได้รางวัล Oscar นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมมากอดไว้
สิ่งสุดท้ายที่จะพูดถึงนั้นก็คือ Theme หรือ ข้อความของภาพยนตร์ ซึ่งเป็นข้อความที่หนักแน่นมากๆของภาพยนตร์จากการเล่าเรื่องที่ไหลไปเป็นธรรมชาติของสองพี่น้องโคเอน และไม่ทำให้รู้สึกว่าตัวภาพยนตร์จงใจเกินไปในเกือบทุกช่วง
No Country For Old Men เป็นภาพยนตร์ที่พูดถึง ความ"วิปริต"ของโลก , ของมนุษย์ และ ความ"โง่เขลา เย่อหยิ่ง"ของมนุษย์ตัวเล็กๆซึ่งพยายามที่จะควบคุมสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ หลายๆครั้งที่มนุษย์อย่างเราๆ นั้นตั้งคำถามว่า "ทำไมมันจะต้องเป็นเช่นนั้น , ทำไมมันจะต้องเป็นเช่นนี้ , ทำไมมันถึงเป็นแบบนั้น" และพยายามที่จะไปวาดกรอบให้กับมันในหลายๆสิ่งหลายๆอย่าง พยายามหาเหตุผลในหลายๆสิ่งหลายๆอย่าง ไม่ว่าจะเป็นกฏหมาย ศีลธรรม ความคิดต่างๆนาๆ หลายๆครั้งที่เรากับพบว่า เราไม่เข้าใจมันว่าทำไมมันเป็นเช่นนั้น หรือผลออกมาเป็นเช่นนั้น ซึ่งนั้นก็คือตัวละครของ Javier Bardem ในภาพยนตร์เรื่องนี้นั้นเอง การที่เขาฆ่าคนอย่างไร้เหตุผลในหลายๆครั้ง เขาทำก็เพราะ"เขาอยากทำ" หรือแม้กระทั่งฆาตกร หรือแม้กระทั่งคนทั่วไปอย่างเราๆ ที่บางครั้งเราก็หาเหตุผลไม่ได้ ว่าเราทำอะไรบางอย่างไปทำไม หรือ ตัวละครของ Josh Brolin ซึ่งก็คือตัวแทนของมนุษย์ผู้ซึ่งไหลไปตามธรรมชาติ และ ตัวละครของ Tommy Lee Jones ที่เป็นมนุษย์ผู้ซึ่งพยายามที่จะตีกรอบและควบคุมบางสิ่งบางอย่าง นั้นคือสิ่งที่ตัวภาพยนตร์นั้นต้องการจะบอกกับผู้ชม "จงอย่าพยายามที่จะไปควบคุมมัน เพราะ ไม่ใช่ทุกอย่างที่เราจะควบคุมได้ บางสิ่งบางอย่างและบางครั้ง มันก็เป็นไปตามของมันโดยปราศจากและไร้เหตุผล"
No Country For Old Men เป็นภาพยนตร์ที่เกือบที่จะ"Perfect" แล้วในทุกๆด้าน แต่ก็ยังมีส่วนเล็กๆบ้างที่ยังคงย้ำอยู่กับที่บ่อยจนเกินไปหรือจงใจมากจนเกินไป แต่เราก็ต้องไม่ลืมว่า ไม่มีสิ่งใดๆหรือภาพยนตร์เรื่องใดๆบนโลกที่ "Perfect" สำหรับ No Country For Old Men กฏนี้ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ในท้ายที่สุดแล้ว มันก็ยังคงเป็นภาพยนตร์ระดับ "Classic" ขึ้นหึ้งได้อย่างง่ายดาย ด้วยฝีมือการกำกับระดับมหากาฬของสองพี่น้องโคเอน และ นักแสดงระดับแนวหน้าที่แสดงและถ่ายทอดข้อความออกมาได้อย่างน่าทึ่ง น่าชื่นชม
Final Score : [ A + ] & [ Must See Badge ]
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น