Movie Review
การกลับมาของแคทนิส เอเวอร์ดีนที่ยิ่งใหญ่สมศักดิ์ศรี
Movie Name : The Hunger Games : Catching Fire ( 2013 ) , Action / Adventure / Sci-Fi
Director : Francis Lawrence ( Constantine , I Am Legend , Water for Elephants )
Stars : Jennifer Lawrence ( X-Men : First Class , Silver Linings Playbook ,The Hunger Games ) , Liam Hemsworth ( The Hunger Games , The Expendables 2 ) , Josh Hutcherson ( Bridge to Terabithia , The Hunger Games ) , Woody Harrelson ( The Hunger Games , Zombie Land , Now You See Me ) , Donald Sutherland ( The Hunger Games , Ordinary People ) , Stanley Tucci ( The Hunger Games , Percy Jackson : Sea of Monsters ) , Philip Seymour Hoffman ( Money Ball , The Master ) , Jena Malone ( Sucker Punch , Into the Wild ) , Sam Claflin ( Snow White and The Hunts Man , United )
Rating : PG -13
REVIEW
ในตอนนี้ คงจะพูดได้ว่าไม่มีใครที่จะไม่รู้จักภาพยนตร์ที่เรียกได้ว่ายักษ์ใหญ่มากที่สุดอีกเรื่องหนึ่งอย่าง The Hunger Games อย่างแน่นอน ตั้งแต่ภาคแรกในช่วงที่เข้าฉายทั่วโลกก็เกิดกระแส "Hype" กันมากมายจนทำให้หลายคนก็อดสงสัยไม่ได้ว่ากระแส Hype ต่างๆเหล่านี้ มันจริงหรือมันเป็นเพียงแค่กระแสที่แฟนๆสร้างขึ้นมาแบบ Twilight กันแน่ คงต้องขอปูพื้นกันหน่อย The Hunger Games นั้นเป็นภาพยนตร์ที่มีต้นแบบหรือสร้างมาจากหนังสือนวนิยายขายดีชื่อดัง ในชื่อเดียวกันของ Suzanne Collins โดยในหนังสือซีรียส์นี้นั้นมีอยู่ 3 ภาคด้วยกัน นั้นก็คือ The Hunger Games , Catching Fire และสุดท้าย Mockingjay โดยในฉบับภาพยนตร์นั้นก็จะเดินตามภาคต่างๆในหนังสือเช่นเดียวกัน จะแตกต่างกันตรงที่ในภาคสุดท้าย Mockingjay นั้นตัวภาพยนตร์จะแยกออกมาเป็น 2 ภาค แบบ Harry Potter และ Twilight นั้นก็คือ 3.1 และ 3.2
ถึงแม้จะขอพูดเลยว่า รู้สึกเสียดายกับ The Hunger Games ในภาคแรก ที่ถึงแม้จะเป็นภาพยนตร์ที่มีโอกาสมากๆอีกเรื่องหนึ่ง แต่กลับไม่สามารถที่จะแสดงหรือเปล่งประกายมันออกมาได้อย่างที่ต้องการ โดยเฉพาะในองค์ 2 และ 3 ของภาพยนตร์ที่ผลออกมาได้ไม่สมกับองค์แรกที่ปูมาอย่างเข้มข้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ช่างน่าเสียดาย ซึ่งคำถามในภาคนี้ "Catching Fire" หลักๆก็คงจะมีอยู่ว่า "แล้วภาคนี้สามารถที่จะข้ามจุดๆนั้นและโบยบินไปสู่จุดหมายได้หรือไม่ ?"
The Hunger Games : Catching Fire เป็นภาพยนตร์ที่น่าจะเรียกได้ว่า "เดินมาถูกทาง"แล้วในหลายๆด้าน ด้านที่น่าจะเรียกได้ว่าสำคัญมากที่สุดนั้นก็คือ การที่ตัวภาพยนตร์นั้นเปลี่ยนผู้กำกับจากภาคที่แล้วซึ่งก็คือ Gary Ross มาเป็น Francis Lawrence ซึ่งในภาพยนตร์บางเรื่องการที่เปลี่ยนผู้กำกับอาจจะไม่ใช่เรื่องดีซักเท่าไรนัก อย่างเช่น A Good Day To Die Hard ของ John Moore แต่ใน Catching Fire การเปลี่ยนครั้งใหญ่ครั้งนี้นั้น กลับทำให้ภาพยนตร์นั้น "เฉิดฉาย" ขึ้นอย่างมาก ซึ่งจริงๆแล้วตัวผู้กำกับ Francis Lawrence ก็ถือได้ว่าเป็นผู้กำกับที่มีความสามารถมากมายอีกคนหนึ่ง จากผลงานอย่าง Constantine หรือ ภาพยนตร์ขวัญใจใครหลายๆคน I Am Legend เขาถือได้ว่าเป็นผู้กำกับอีกคนหนึ่งที่เล่าเรื่องได้เก่งน่าติดตามและรู้จักวิธีการสร้างความตึงเครียดในฉากต่างๆได้อย่างเก่งกาจ ที่สำคัญเลยก็คือ เขารู้จักวิธีที่จะขยี้หัวใจคนดูได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ซึ่งสิ่งเหล่าๆนี้นั้น ก็เป็นองค์ประกอบหลักๆในภาพยนตร์ Catching Fire ภาคนี้ที่ทำให้มันช่าง "น่าหลงใหล"
สิ่งที่พบเห็นและรู้สึกได้ชัดเจนเลยในภาคนี้นั้นก็คือ มันเป็นการรับไม้ต่อได้อย่างน่าทึ่ง และเป็นการรับไม้ต่อจากภาคที่แล้ว ที่ยิ่งเสริมและทวีคูณความเข้มข้นของภาพยนตร์อีกเหล่าเท่าตัว ไม่ว่าจะในด้าน Content หรือ เนื้อหาของภาพยนตร์ที่เข้มข้น ดุเดือด จริงจัง มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ถึงแม้ว่าการปูเรื่องในองค์แรกของ Francis Lawrence จะโซซัด โซเซ ไปบ้าง แต่การเล่าเรื่องใน องค์ที่ 2 และ 3 เขากลับเอามันได้อย่างอยู่หมัดเลยจริงๆ ซึ่งแตกต่างจากภาคที่แล้วอย่างเห็นได้ชัด ความตึงเครียดต่างๆที่ช่างถาถม ทวีคูณขึ้นเรื่อยๆ หลายๆครั้งที่คุณจะพบว่าตัวคุณเองรู้สึกเหมือนกำลังกลั้นหายใจ ท่ามกลางความตึงเครียดนี้ ซึ่งเป็นผลมาจาก การที่ภาพยนตร์นั้นสามารถที่จะทำให้ผู้ชม"หลงเชื่อ" ได้ ว่านี้คือของจริง นี้คือสมรภูมิจริง ที่คุณไม่อาจจะรู้ได้ว่าก้าวต่อไปของตัวละครหนึ่งอาจจะเป็นก้าวสุดท้ายในชีวิตของตัวละครนั้น และคุณก็หลงไหล หรือ อาจจะพูดได้ว่า "หลงรัก" ตัวละครเหล่านี้ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งมันทำให้คุณคอยลุ้นทุกก้าวของตัวละคร และ หวัง ส่งกำลังใจให้ ตัวละครเหล่านั้น ว่าพวกเขาจะไม่เป็นอะไรไป
ที่สำคัญอีกจุดหนึ่งเลยก็คึอ ฉาก Action ต่างๆของผู้กำกับ Francis Lawrence นั้นไม่ใช่ฉากที่เต็มไปด้วย "Shaky Cam" หรือ เทคนิคการถือกล้องด้วยมือซึ่งทำให้ภาพที่ออกมามีการสั่น และไม่อยู่กับที่ ซึ่งช่างน่ารำคาญ และคุณแทบจะมองอะไรไม่เห็นเลย ซึ่งมันเป็นเทคนิคที่เรียกได้ว่า "หน้าไม่อาย" เพราะมันคือการพยายามปกปิดว่าคุณทำฉาก Action ได้อย่างห่วยแตกจนต้องใช้เทคนิคนี้มาบดบัง ซึ่งมีผู้กำกับจริงๆไม่กี่คนในโลกเท่านั้น ที่จะใช้เทคนิคนี้ได้อย่างเป็น สไตล์จริงๆ ใน The Hunger Games : Catching Fire นั้นทุกๆฉาก Action เราจะได้เห็นทุกๆตัวละครกำลังฟาดฟันกันอย่างไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะมองไม่เห็นอะไร หลายๆครั้งฉาก Action เหล่านี้ มันมีความลึก ของรายละเอียดในฉากต่างๆ ที่น่าตื่นตาตื่นใจ กว่าภาพยนตร์ Action หลายๆเรื่องโดยไม่ต้องใช้เทคนิค Shaky Cam เสียอีก
และอีกหนึ่งสิ่งสำคัญ ที่ไม่พูดเลยไม่ได้นั้นก็คือนักแสดงในภาพยนตร์ โดยเฉพาะ Jennifer Lawrence ที่เป็นอีกครั้งที่เธอพิสูจน์แล้วว่า เธอไม่ได้บท แคทนิส มาโดยฟลุ๊คๆ หรือ ได้รางวัล Oscar นำแสดงหญิงยอดเยี่ยม มาเพราะโชคดี แต่อย่างใด เพราะหลายๆครั้งในภาพยนตร์ที่เธอแสดงได้อย่างน่าทึ่ง และเรียกได้ว่าจัดการทั้งเรื่องได้อย่างอยู่หมัด ซึ่งในตอนนี้เธอถือได้ว่าเป็นนักแสดงหญิงที่มีความสามารถมากที่สุดอีกคนหนึ่ง และยังมีโปรแกรมแสดงในภาพยนตร์ใหญ่ๆอีกอย่างเช่น X-Men : Days of Future Past ซึ่งเป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์ยักษ์ใหญ่ ที่คนทั่วโลกจับตามองและคาดหวังมากอีกเรื่องหนึ่งในปี 2014 ยังไม่รวมถึง Jena Malone จาก Sucker Punch ที่ยังคงแสดงได้อย่าง "บ้าบิ่น"ซะจนทำให้ถูกใจตั้งแต่แรกพบจริงๆ
สุดท้ายนี้แล้ว คงจะต้องขอพูดถึงจุด Climax ของภาพยนตร์ ซึ่งต้องขอสารภาพเลยว่า ตัวเองนั้น เป็นคนที่ดูภาพยนตร์ Hollywood โดยเฉพาะ ภาพยนตร์ตลาด มามาก จนแทบจะไม่รู้สึกว่า ตัวเองนั้นตกใจกับฉาก Climax ฉากหักมุมต่างๆหรือตื่นเต้นไปกับมัน เท่าไรอะไรอีกแล้ว ซึ่ง The Hunger Games : Catching Fire ก็พิสูจน์แล้วว่าความคิดข้อนั้น "ผิด" เพราะมันช่างเป็นฉากจบที่ น่าทึ่ง ตระการตา คาดไม่ถึง ฉลาด ที่สำคัญก็คือสมเหตุสมผล และเป็นการเริ่มต้น ปูไปสู่จุดจบในภาค 3.1 และ 3.2 ได้อย่างชาญฉลาด สาเหตุและเหตุผลเต็มๆก็น่าจะมาจากการที่ไม่เคยอ่านหนังสือภาคใดๆของ The Hunger Games มาก่อนเลย ซึ่งในจุดนี้ก็คงต้องขอชมผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ Suzanne Collins ที่เขียนหนังสือมาได้อย่างน่าทึ่ง และ ผู้กำกับ Francis Lawrence ที่กำกับและถ่ายทอดมันออกมาได้อย่างตระการตา
ใช่ The Hunger Games : Catching Fire นั้น ไม่ใช่ภาพยนตร์ที่ "Perfect" มันยังคงมีการสะดุด และล้มอยู่หลายครั้ง แต่ทุกๆครั้งที่มันได้ล้มลง มันกลับลุกขึ้นมาใหม่ ได้อย่างแข็งแกร่ง และทรงพลังมากขึ้นกว่าเดิมทุกครั้ง จนในท้ายที่สุดก็คงจะไม่มีใครสามารถที่จะปฏิเสธได้อีกว่า นี้คืออีกหนึ่งภาพยนตร์ที่ยิ่งใหญ่ สมการรอคอย และยิ่งใหญ่พอ ที่จะสามารถเดินตามรอยท้าว หรือแม้แต่ก้าวเคียง ไปกับภาพยนตร์ที่ยิ่งใหญ่มากที่สุดอีกเรื่องหนึ่งอย่าง Harry Potter ได้อย่างเต็มที่ และมีเกียรติ
Final Score : [ A - ] & [ Must See Badge ]
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น