Mission Impossible : Rogue Nation ( 2015 ) บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz
ในโลกของภาพยนตร์ไม่ว่าจะในช่วงอดีตหรือปัจจุบันนั้น มีภาพยนตร์ซีรีส์หลากหลายชุดเกิดขึ้นมามากมาย เช่น Terminator ,Transformers , X-Men , Die Hard หรือ James Bond แต่ในเวลานี้ดูเหมือนว่าจะมีเพียงไม่กี่ซีรีส์เท่านั้นที่ยังคงรักษาระดับคุณภาพและเอกลักษณ์ของตนเองไว้ได้ ซึ่งปฏิเสธไม่ได้เลยว่าหนึ่งในนั้นก็คงจะหนีไม่พ้น ภาพยนตร์แอ็คชั่นสุดยอดสายลับที่มีอายุยาวนานถึงเกือบ 20 ปี อย่าง Mission Impossible
Mission Impossible: Rogue Nation ว่าด้วยเรื่องราวของกลุ่มสายลับมือฉกาจ ไอเอ็มเอฟ ที่กำลังถูกตามล่าตัวโดยกลุ่มลึกลับกลุ่มใหม่ที่ได้ชื่อว่า ซินดิเคท ทำให้สมาชิกกลุ่ม ไอเอ็มเอฟ จึงต้องหาทางเอาชีวิตรอดท่ามกลางสถานการณ์ที่ดูจะเป็นไปไม่ได้
ถึงแม้จะไม่น่าเชื่อ แต่ก็ต้องเชื่อ ว่า Rogue Nation ยังคงเป็นภาพยนตร์ภาคต่อของ Mission Impossible ที่ยังคงรักษาระดับคุณภาพของตนเองได้เป็นอย่างดี ท่ามกลางภาพยนตร์ซีรีส์ใหม่ที่ผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด และภาพยนตร์ซีรีส์เก่าๆที่ต่างล้มหายตายจากและคุณภาพลดลงเข้าทุกวัน เช่น Terminator หรือกรณีหนักสุดอย่าง Die Hard
Rogue Nation ยังคงเป็นภาพยนตร์ที่เต็มไปด้วยฉากแอ็คชั่นไล่ล่าอันลุ้นระทึก ตื่นเต้น และมีการออกแบบฉากแอ็คชั่นและลำดับฉากต่างๆได้เป็นอย่างดี ซ้ำฉากเหล่านี้ยังถาโถมเข้ามาไม่หยุดหย่อน แทบไม่มีเวลาให้หยุดพัก จนทำให้แทบจะไม่มีช่วงใดที่รู้สึกเบื่อเลย จะว่าไปแล้ว ความคิดที่ว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้คือภาพยนตร์ที่สนุก ตื่นเต้นและน่าติดตามมากที่สุดในปีนี้ ณ เวลานี้ ก็พุ่งเข้ามาในสมองระหว่างชมอยู่หลายต่อหลายครั้งเลยทีเดียว
ในด้านของตัวละครต่างๆ เหล่าสายลับไอเอ็มเอฟเจ้าเก่าก็ยังคงเป็นตัวละครที่เราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ยังคงสนุกสนาน น่าคอยเอาใจช่วยไม่เปลี่ยนแปลง ถึงแม้ว่าจะน่าเสียดายที่ตัวละครส่วนใหญ่ที่เราจะได้เห็นในภาคนี้ ดูจะเป็นตัว อีธาน ฮันท์ ซึ่งรับบทโดย ทอม ครูซ กับตัวละครใหม่อย่าง อิลซ่า ซะเกินครึ่งเรื่อง แต่จริงๆนั้นก็ไม่ใช่เรื่องแย่เสียทีเดียว เพราะตัวละคร อิลซ่า ซึ่งรับบทโดย รีเบ็คก้า เฟอร์กูสัน ก็โดดเด่นน่าสนใจ แอบแฝงเรื่องราวมุมมองของตัวละครที่น่าติดตามอยู่มากเลยทีเดียว ซ้ำการแสดงอันน่าทึ่ง และความเซ็กซี่ของเธอก็ยิ่งทำให้ตัวภาพยนตร์น่าดูชมเข้าไปอีก
น่าเสียดายที่ตัวละครร้ายหลักของเรื่องอย่าง โซโลมอน เลน ซึ่งรับบทโดย ฌอน แฮร์ริส ค่อนข้างจะจืดชืด แบนราบ และถูกบดบังรัศมีโดย อิลซ่า อยู่มาก ซึ่งจริงๆส่วนหนึ่งก็ต้องโทษเวลาบนจอหนังที่ให้กับตัวละครนี้น้อยมากๆจนแทบจะไม่มีโอกาสสร้างมิติหรือปูเรื่องราวให้กับตัวละครเท่าไรนัก ซึ่งถือว่าเป็นอะไรที่น่าเสียดาย
น่าเสียดายที่ตัวละครร้ายหลักของเรื่องอย่าง โซโลมอน เลน ซึ่งรับบทโดย ฌอน แฮร์ริส ค่อนข้างจะจืดชืด แบนราบ และถูกบดบังรัศมีโดย อิลซ่า อยู่มาก ซึ่งจริงๆส่วนหนึ่งก็ต้องโทษเวลาบนจอหนังที่ให้กับตัวละครนี้น้อยมากๆจนแทบจะไม่มีโอกาสสร้างมิติหรือปูเรื่องราวให้กับตัวละครเท่าไรนัก ซึ่งถือว่าเป็นอะไรที่น่าเสียดาย
อีกสิ่งที่น่าผิดหวังอยู่บ้าง ก็คือบทภาพยนตร์อันสุดแสนจะธรรมดา ค่อนข้างจะจืดชืดและเดาทางง่ายอยู่มากของตัวภาพยนตร์ ถึงแม้ว่าจะพยายามพลิกไปมา ใส่จุดหักมุมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็ไม่ค่อยจะได้ผลซักเท่าไรนัก จะมีก็เพียงฉากเปิดตัว ซินดิเคท และ โซโลมอน เลน ในช่วงต้นเรื่องด้วยวิธีที่คาดไม่ถึงแต่โคตรเท่ห์เท่านั้น ที่พอจะสร้างความน่าตื่นเต้นให้ได้บ้าง
นี่ยังไม่นับถึงตรรกะอันหลุดโลกของตัวภาพยนตร์ที่ดูจะออกนอกแกแล็คซี่เข้าไปทุกวินาที จนแทบจะปราศจากซึ่งเหตุผลหรือข้ออ้างใดๆ ได้แต่แถไปเรื่อยเปื่อย แต่นี้ดูจะเป็นสิ่งที่คงจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ และเอาเข้าจริงก็คงจะพอให้อภัยได้ในบางโอกาส สำหรับภาพยนตร์ที่ใช้ชื่อว่า Mission "Impossible"
แต่สิ่งที่น่าประทับใจและน่านำไปครุ่นคิดมากที่สุดของ Rogue Nation อย่างแท้จริงเลย ไม่ใช่ฉากแอ็คชั่นไล่ล่าอันน่าตื่นเต้น หรือ เหล่าตัวละครที่น่าหลงใหล แต่เป็นการตั้งคำถามถึงศีลธรรมในการตัดสินใจของตัวละคร ที่ลุ่มหลงไปกับสิ่งที่อยู่ข้างหน้าและชัยชนะ โดยปราศจากซึ่งการคำนึงถึงความเดือดร้อน และภัยอันตรายที่จะส่งผลต่อผู้อื่น ของตัวละครเอกอย่าง อีธาน ฮันท์ ต่างหาก
หรือกระทั่งคำกล่าวของเหล่าตัวละครร้าย ที่หาว่าเหล่าตัวละครเอกของเราพึ่งแต่สิ่งที่เรียกว่า "โชค" ในการเอาชีวิตรอดสถานการณ์อันยากลำบากต่างๆ ก็เช่นกัน สุดท้ายแล้วทั้งสองสิ่งนี้ ก็เป็นอะไรที่ยากจะปฏิเสธ โดยเฉพาะความจริงที่ชะตากรรมของเหล่าตัวละครเอกที่หากวันใดอับโชค ก็อาจนำมาซึ่งความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงอันน่าหวาดกลัว แต่ไม่อาจจะหลีกเลี่ยงหรือหลีกหนีได้เลยเสียจริง
หรือกระทั่งคำกล่าวของเหล่าตัวละครร้าย ที่หาว่าเหล่าตัวละครเอกของเราพึ่งแต่สิ่งที่เรียกว่า "โชค" ในการเอาชีวิตรอดสถานการณ์อันยากลำบากต่างๆ ก็เช่นกัน สุดท้ายแล้วทั้งสองสิ่งนี้ ก็เป็นอะไรที่ยากจะปฏิเสธ โดยเฉพาะความจริงที่ชะตากรรมของเหล่าตัวละครเอกที่หากวันใดอับโชค ก็อาจนำมาซึ่งความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงอันน่าหวาดกลัว แต่ไม่อาจจะหลีกเลี่ยงหรือหลีกหนีได้เลยเสียจริง
Final Score: [ 7.5 / 10 ]