วันจันทร์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2557

Taxi Driver ( 1976 ) Movie Review

Movie Review
หนึ่งในภาพยนตร์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดของ โรเบิร์ต เดอ นีโร




                                Taxi Driver เป็นอีกหนึ่งในภาพยนตร์ของผู้กำกับ มาร์ติน สกอร์เซซี ที่เรียกได้ว่าหลายๆคนคงจะคุ้นหูกันดีหรืออาจจะเคยชมกันมาบ้างด้วยซ้ำไป นอกจากนั้นแล้วมันยังเรียกได้อีกว่าเป็นหนึ่งในผลงานที่ยอดเยี่ยมที่สุดของ โรเบิร์ต เดอ นีโร และแฟนๆป๋าเดอ นีโรทุกคนจะต้องเคยดู ซึ่งต้องขอสารภาพเลยว่าผู้เขียนเองได้ชม Taxi Driver เป็นครั้งแรก ถึงแม้ว่าจะเป็นแฟนของป๋าเดอ นีโรมานานแล้วก็ตาม (โดยเฉพาะหนังของป๋าแกช่วงหลังๆที่แต่ละเรื่องนี้....สุดๆเลยนะป๋า)


Taxi Driver ตามชื่อเรื่องเลย ว่าด้วยเรื่องของคนขับ Taxi คนหนึ่งในเมือง New York  ที่เขาได้ประสบพบเจอกับเหตุการณ์ต่างๆมากมายในเมือง New York ซึ่งมันทำให้เขา "ขยะแขยง" และเมื่อสิ่งต่างๆเริ่มไม่เป็นไปตามที่เขาคาดหวัง มันจึงทำให้เขาเริ่มที่จะตัดสินใจครั้งใหญ่บางอย่าง


แง่มุมที่น่าสนใจมากที่สุดในภาพยนตร์เรื่องนี้เลยก็คือ การถ่ายทอดมุมมองของความน่าขยะแขยง ล้มเหลว เละเทะ และเน่าเฟะของเมือง New York ในช่วงสมัยปี 1970s ไม่ว่าจะเป็นการลุกฮือของคนผิวสีที่พยายามเบ่งอำนาจและกร่างไปทั่วเมือง หรือ โสเภณีและอุตสาหกรรมหนังโป๊ที่เกลื่อนไปทั่วเมืองจนกลายเป็นเรื่องปกติและ "ยอมรับได้" ซึ่งในจุดนี้ต้องขอชม มาร์ติน สกอร์เซซีจริงๆที่ถ่ายทอดมุมมองนี้ได้อย่างน่าทึ่ง ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายด้วยมุมกล้องและจุดโฟกัสที่สร้างความรู้สึกแปลกปลอม แปลกประหลาด และโดยเฉพาะการจัดสีในฉากต่างๆ และการถ่ายทอดความคิดจากตัวละครสู่ผู้ชมได้อย่างน่าทึ่ง โดยเปรียบเสมือนถูกล้างสมองโดยที่ผู้ชมอาจจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำไป คิดๆดูแล้วถ้าหากภาพยนตร์เรื่องนี้ได้มือตัดต่อฝีมือฉกาจประจำตัวของสกอร์เซซีอย่าง เทลม่า ชูเมกเกอร์มาตัดต่อแล้วล่ะก็ คงจะแซ่บยิ่งกว่านี้อย่างแน่นอน


ตัวนักแสดงนำอย่างป๋าโรเบิรต์ เดอ นีโรเองก็เรียกได้ว่าเป็นเสาหลักสำคัญในภาพยนตร์เรื่องนี้เลยทีเดียว จากการแสดงที่น่าทึ่ง เริ่มจากคนขับ Taxi ที่ดูเหมือนสุดแสนจะธรรมดา ไปจนถึงช่วงบ้าคลั่ง นี้ยังไม่รวมถึงภาวะจิตใจของตัวละครที่หนักหน่วงเอาการอยู่เหมือนกันอีกด้วย แต่ป๋าก็แสดงได้อย่างน่าทึ่งจนทำให้เรารู้สึกอยากติดตามตัวละครนี้อย่างบอกไม่ถูก ถึงแม้ว่าในท้ายที่สุดแล้วตัวละครๆนี้จะไม่ได้ดูเหมือน "ฮีโร่" ซักเท่าไรนักก็ตาม


ตัวธีมหลักของภาพยนตร์เองก็เรียกได้ว่าน่าสนใจเช่นกัน เพราะมันพูดถึงสภาพความเป็นอยู่ของประเทศอเมริกาหรืออย่างน้อยก็เมือง New York ในขณะนั้นที่เต็มไปด้วยขี้ยา โสเภณี และฆาตกรมากมาย  แต่เหมือนตัวมาร์ติน สกอร์เซซีเองจะถ่ายทอดมันออกมาด้วยทัศนะคติของความพยายาม "ขอความช่วยเหลือ" เสียมากกว่าจะด่าทอ ด้วยความรู้สึกที่เป็นเหมือนการตะโกนให้ใครซักคนออกมาช่วยเหลือหรือแก้ไขสังคมอเมริกันที่กำลังย่ำแย่ถึงขีดสุดในปัจจุบัน ซึ่งการที่ตัวภาพยนตร์นำเอาอาชีพอย่างคนขับ Taxi มาเป็นตัวแก้ไขปัญหา ก็เป็นการเสียดสีและจิกกัด นักการเมืองและตำรวจในโลกของความเป็นจริงได้อย่างเจ็บแสบเช่นกัน

ประเด็นของการก้าวหน้าไปสู่โลกของประชาธิปไตยในภาพยนตร์เรื่องนี้ก็เรียกได้ว่าถูกถ่ายทอดออกมาในมุมมองที่ทำให้ผู้เขียนรู้สึกต้องกลับไปทบทวนอยู่เหมือนกัน ว่าในบางครั้งการก้าวที่รวดเร็วมากจนเกินไป นอกจากมันจะกระทบถึงผู้คนที่ปรับตัวไม่ทันแล้ว มันยังสร้างความขัดแย้งภายนอกและภายในจิตใจของผู้คน และอาจจะปะทุขึ้นมาเมื่อไรก็ได้อีกด้วย ซึ่งเราจะเห็นประเด็นเหล่านี้แอบแฝงอยู่ในการกระทำของตัวละครต่างๆในภาพยนตร์


อีกสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจในภาพยนตร์เรื่องนี้ ก็คือการถ่ายทอดเรื่องราวของ "ความรัก" ของมาร์ติน สกอร์เซซีใน Taxi Driver ที่ตรงกันข้ามกับธีมหลักของภาพยนตร์อย่างสิ้นเชิง เพราะมันถูกถ่ายทอดออกมาในภาพของสิ่งที่สวยงาม มีความหวัง และอบอุ่นเหลือเกิน นอกจากนั้นแล้วมันยังเป็นสิ่งที่ตัวเอกของเรื่องปรารถนาอย่างสูงสุดอีกด้วย เปรียบเสมือนว่าสุดท้ายแล้ว ต่อให้เราจะเลวร้ายเท่าใด ความรักก็คือสิ่งที่เราต้องการสูงที่สุด


Taxi Driver ต้องเรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งในภาพยนตร์ที่น่าทึ่งของ มาร์ติน สกอร์เซซีจริงๆจากการกำกับที่สร้างโลกที่น่าขยะแขยง เละเทะ และบิดเบี้ยวของเขา นอกจากนั้นแล้วการแสดงของป๋าโรเบิรต์ เดอ นีโรผนวกกับบทตัวละครที่น่าทึ่งก็ยิ่งส่งให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ยิ่งน่าจดจำในฐานะของคำเตือนของการก้าวข้ามสู่โลกประชาธิปไตยที่รวดเร็วจนเกินไปได้อย่างน่าทึ่งอีกต่างหาก ถึงแม้ว่าตัวภาพยนตร์ในบางครั้งให้ความรู้สึกว่าตัวสกอร์เซซีเองอ่อนข้อและออมมือในประเด็นบางประเด็นไปบ้างอย่างน่าเสียดาย ก็ไม่ได้ลดทอนความน่าจดจำของภาพยนตร์เรื่องนี้ไปซักเท่าไรเลยทีเดียว ถ้าหากคุณเป็นแฟนของ ผู้กำกับมาร์ติน สกอร์เซซี หรือ นักแสดงโรเบิรต์ เดอ นีโร นี้คือหนึ่งในภาพยนตร์บังคับที่ต้องชมอย่างแน่นอน


Final Score : [ A ] & [ MUST SEE BADGE ]

วันเสาร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2557

Need for Speed ( 2014 ) Movie Review

Movie Review
Need for Speed ( 2014 )  บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz

มาแล้ว มาแล้ว กับ Super Car ที่จะมาช่วยลบคำสบประมาทที่ว่าภาพยนตร์ที่มีต้นแบบมาจากเกมมักจะห่วยเสมอ !!?





                              Need for Speed  แน่นอนว่าถ้าหากพูดชื่อๆนี้ขึ้นมาแล้วล่ะก็ คอเกมเมอร์ทั้งหลายคงจะร้องอ๋อกันอย่างแน่นอนเลยทีเดียว 
คงจะไม่เป็นการเกินเลยหรือเกินจริงไปนัก ถ้าหากจะพูดว่า Need for Speed เป็นหนึ่งในซีรียส์เกมแข่งรถที่โด่งดังมากที่สุดตั้งแต่ภาคแรกสุดในปี 1994 ที่ลงให้กับเครื่องเกมอย่าง PC และ Playstation 1 จนกระทั่งแม้แต่ในปัจจุบันก็ยังมีภาคใหม่ๆออกมาเรื่อยๆ 


ถึงแม้ว่าตัวผู้เขียนเอง จะไม่ค่อยได้เล่นเกม Need for Speed หรือเรียกได้ว่าเป็น"ฮาร์ดคอร์แฟน"ซักเท่าไรนัก  แต่ก็พูดได้เลยว่า เคยผ่านเกมในซีรียส์นี้มาแล้วบ้าง อย่างเช่นภาค Need for Speed : Underground 2 บน PC ที่เรียกได้ว่าในสมัยนั้นติดกันงอมแงมไม่เป็นอันทำอะไรเลยทีเดียว หรือภาคล่าสุดที่ได้เล่นอย่าง Need for Speed : Most Wanted บน PSVITA จึงเรียกได้ว่าพอที่จะเข้าใจจุดประสงค์และหัวใจของเกม Need for Speed อยู่บ้าง


ต้องพูดก่อนเลยว่า ในปัจจุบันและอดีตที่ผ่านมานั้น มีภาพยนตร์ซีรียส์ประเภทแข่งรถเกิดขึ้นมากมายเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น Death Race หรือ ซีรียส์ที่เรียกได้ว่าเป็นแชมป์อยู่ขณะนี้อย่าง Fast & Furious ซึ่งถ้าหากเราตั้งใจวิเคราะห์มันดีๆแล้ว เราจะพบว่าซีรียส์เหล่านี้ ถึงแม้ภายนอกดูเหมือนว่าจะแข่งรถเหมือนๆกัน แต่ตัวประเด็นหลัก และ สไตล์ของมันค่อนข้างจะแตกต่างกันมากเลยทีเดียว อย่างเช่น Death Race ที่เป็นการแข่งรถที่เอาชีวิตเป็นเดิมพัน สามารถเล่นตุกติกได้ทุกประการตราบใดที่มันทำให้คุณยังมีชีวิตรอดอยู่บนสนาม 
และ Fast & Furious ที่มักจะนำเรื่องราวความขัดแย้งต่างๆเข้าไปผูกกับการแข่งรถ ซึ่งทำให้มันมีความหมายมากกว่าแค่ใครชนะใครได้อย่างน่าทึ่ง


และแน่นอนว่า Need For Speed ก็มีจุดเด่นที่เห็นได้อย่างชัดเจนเช่นกัน แตกต่างจากภาพยนตร์แข่งรถส่วนใหญ่ที่มักจะใช้รถประเภทแต่งเองและไม่ค่อยจะใช้รถราคาแพงๆมากนัก Need for Speed ใช้รถราคาแพงๆอย่าง Super Car จริงๆ อย่างเช่น Bugatti Veyron Super Sport , Koenigsegg Agera S , Lamborghini Sesto Elemento , 2013 Shelby GT500 และอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งรถเหล่านี้นั้นมักจะเร็วมากจนแทบจะไม่ต้องแต่งอะไรแล้ว แต่ที่เร็วยิ่งกว่านั้นก็คือความแพงของมันอย่างเช่นบางฉากในภาพยนตร์ที่มีรถมารวมกันเพียง 8 คัน แต่กลับมีมูลค่าถึง 8 ล้านเหรียญสหรัฐ ก็คูณเป็นเงินไทยกันเอาเองละกันครับว่ามันเท่าไร


ซึ่งในทางภาพยนตร์แล้ว ใช่เลยว่าแค่เอารถแพงๆมาขับไม่ได้หมายความว่าตัวหนังมันจะดีขึ้นแต่อย่างใด แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่า มันช่างล่อตาล่อใจ และสร้างความบันเทิงให้กับผู้เขียนเหลือเกิน ยิ่งแฟนๆที่บ้าเรื่องรถแพงๆแล้วล่ะก็ ได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้คงแทบจะนั่งไม่ติดเก้าอี้เลยทีเดียว

อีกสิ่งหนึ่งเลยที่ต้องขอชมจริงๆก็คือผู้กำกับภาพ เชน เฮิลด์บัท ที่เรียกได้ว่ากำกับภาพในฉากต่างๆได้อย่างสวยงาม น่าทึ่งจริงๆ 


น่าเสียดายที่เพียงแค่รถ Supercar ไม่อาจที่จะช่วยเหลืออะไร Need For Speed ได้มากไปกว่าทำให้เรารู้สึกว่าคุ้มค่าตั๋วจากรถแพงๆแล้วอีก
เนื่องจากภาพยนตร์เรื่องนี้เรียกได้ว่ามีปัญหาเยอะและในหลายด้านมากๆอย่างน่าเสียดายเลยทีเดียว

อย่างแรกเลยก็คือผู้กำกับ สก็อต วอห์น ที่ทำหน้าที่ในการกำกับได้ไม่ค่อยดีซักเท่าไรนัก โดยเฉพาะการใช้เวลาไปกับฉากคุยบทพูดต่างๆที่มากเกินไป ไม่ใช่ว่าการให้เวลาในการปูตัวละคร และเนื้อเรื่องมันไม่ดี แต่ตัวบทพูดเองก็ช่างเลวร้าย ไม่ได้แฝงไปด้วยคาแรคเตอร์ของตัวละคร หรือเนื้อเรื่องใดๆเลย มันกลับเต็มไปด้วยบทพูดซ้ำๆซากๆเดิมๆ ที่ไร้ความหมาย และไม่สามารถที่จะสื่อถึงอะไรได้เลย และตัวสก็อตเองก็ดันเสียเวลาไปกับบทพูดที่ไร้ควาหมายนี้มากจนเกินไป ซึ่งนอกจากมันจะลดความน่าสนใจของภาพยนตร์ลงแล้ว มันยังทำให้รู้สึกเปลืองเวลาไปอย่างเปล่าประโยชน์อีกด้วย

ที่สำคัญเลยก็คือตัวบทที่อยู่ในขั้นเลวร้ายพอตัว ด้วยความบ้าบอคอแตก ไร้เหตุผลสุดๆของมัน ทำให้ผู้เขียนไม่สามารถที่จะจริงจังและเชื่ออะไรในภาพยนตร์ได้เลย เช่น ตัวละครๆหนึ่งที่ไม่รู้เสกเฮลิคอปเตอร์มาจากไหนอย่างง่ายดายตลอดเวลา


นอกจากนั้นแล้วตัวละครแทบจะทุกตัวในภาพยนตร์ก็ไม่น่าสนใจ แบน ซ้ำซากและน่าเบื่อสุดๆ แถมบางตัวก็มีความคล้ายคลึงกับตัวละครใน Fast & Furious ชนิดที่เรียกได้ว่าพยายามลอกกันมา แต่ด้วยฝีมือการเล่าเรื่องและกำกับที่เลวร้ายของ สก็อต วอห์น ทำให้ตัวละครเหล่านี้ยิ่งดูช่างไร้ความหมายในสายตาผู้เขียนเข้าไปอีก ไร้ความหมายชนิดที่เรียกได้ว่าจะตายๆไป เราก็ไม่ได้รู้สึกรู้ร้อนอะไรไปกับตัวละครเหล่านี้เลย ซึ่งมันไปส่งผลจุดขัดแย้งในภาพยนตร์อย่างมาก


ซึ่งผลของตัวละครที่แย่ บวกเข้ากับบทที่สุดแสนจะไร้เหตุผล ปิดท้ายด้วยการกำกับที่แย่ของผู้กำกับ มันเท่ากับความรู้สึกที่เราจะไม่สนใจอะไรในบทมันอีก ที่ผู้เขียนถึงขนาดคิดว่า ตัดๆฉากบทพูดและความพยายามปูบทเหล่านี้ไปเถอะ เอาให้เหลือแต่ฉากโชว์รถ กับแข่งรถก็พอ เพราะตัวบทมันช่างไร้ความหมายขนาดนั้นจริงๆ ซึ่งเรียกได้ว่าน่าเสียดายมาก เพราะนักแสดงหลายๆคนในภาพยนตร์เองก็พยายามที่จะให้อะไรกับคนดูอยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะ แอรอน พอล ที่นำแสดงได้อย่างน่าทึ่ง และสร้างความน่าสนใจให้กับตัวละครอยู่พอสมควรเลยทีเดียว เพียงแต่ว่าแค่นั้นมันไม่สามารถเทียบอะไรกับความหายนะที่เหลือของบทและการกำกับได้เลย


แม้แต่การกำกับฉากไล่ล่า และแข่งรถของ สก็อต วอห์นเอง ก็ให้ความรู้สึกช้า เหนื่อยและเฉื่อยอย่างมาก ซึ่งมาจากการพยายามตั้งกล้องจัดฉากให้ดูเท่,สวยและตัดให้น้อยลง ซึ่งเห็นได้ชัดว่ามันไม่ได้ผลเลยแม้แต่น้อย เพราะว่าเพียงแค่ว่ามันดูเท่หรือสวย ไม่ได้หมายความว่ามันจะทำให้ฉากๆนั้นมันสนุกขึ้นแต่อย่างใดเลย มันจึงเหลือแต่เพียงฉากไล่ล่าของรถที่(โคตร)แพงแบบจืดๆชืดๆเท่านั้นเอง


Need for Speed ยังคงเป็นอีกหนึ่งในภาพยนตร์ที่ไม่สามารถจะทำลายคำสาปและคำครหาที่ว่า ภาพยนตร์ที่มีต้นแบบมาจากเกมนั้นมักจะหวยแตกเสมอได้เลยแม้แต่น้อย จากการกำกับที่เข้าขั้นเลวร้ายของ สก็อต วอห์น และที่ยิ่งเลวร้ายเข้าไปอีกก็คือบทภาพยนตร์ที่เลวร้ายพอๆกับความแพงของรถ Super Car เหล่านี้ ถึงแม้ว่าตัวภาพยนตร์จะมีด้านสว่างเล็กๆน้อยๆ อย่างเช่นผู้กำกับภาพที่ยอดเยี่ยม , แอรอน พอล และ รถ Super Car ที่(โคตรๆ)แพง เพียงแค่สิ่งเหล่านี้มันไม่ได้ใกล้เคียงอะไรกับด้านมืดที่ได้กลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างในภาพยนตร์ไปหมดแล้วเลยแม้แต่น้อย


Final Score : [ C - ]

วันพฤหัสบดีที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2557

Noah ( 2014 ) Movie Review by FallsDownz

Movie Review
ภัยพิบัติแห่งชีวิตกับจิตใจ





                  โนอาห์  ถ้าหากพูดชื่อนี้แล้วล่ะก็ ภาพแรกๆที่ผุดขึ้นมาในหัวก็คงจะเป็นภาพเรือที่ล่องลอยอยู่ท่ามกลางมหาสมุทรหรือโลกที่จมอยู่ท่ามกลางสายน้ำเป็นแน่แท้ ซึ่งภาพๆนี้ก็คงจะเป็นหนึ่งในฉากที่ผู้ชมหลายๆคน คงจะตั้งตารอคอยกันอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียวเชียว


ต้องขอพูดจากใจจริงว่า ในตอนแรกนั้น เมื่อคิดว่าจะมีคนนำเอาเรื่องราวของ โนอาห์ มาทำเป็นภาพยนตร์ แทบจะรู้สึกว่ามันจะต้องแย่หรือธรรมดาสุดๆแบบภาพยนตร์หายนะโลกเรื่องอื่นๆ อย่างเช่น 2012 เป็นแน่แท้ แต่ผู้เขียนก็ไปสะดุดเข้ากับชื่อๆหนึ่งในทีมงานภาพยนตร์เรื่องนี้ ชื่อๆนั้นก็คือ ดาร์เร็น แอโรนอฟสกี้  ซึ่งเรียกได้ว่า เขาเป็นผู้กำกับที่มีความสามารถมากๆคนหนึ่งจากผลงานที่น่าทึ่งอย่างเช่น Requiem for a Dream , The Wrestler หรือภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของเขาที่ส่ง   นาตาลี พอรต์แมน เข้าไปได้รับรางวัลออสการ์นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมอย่าง Black Swan


แต่ยิ่งเมื่อคิดว่าผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง โนอาห์ จะเป็น ดาร์เร็น แอโรนอฟสกี้แล้ว ก็ยิ่งทำให้รู้สึกว่า ตัวภาพยนตร์ที่ออกมา มันจะไม่เหมือนภาพยนตร์โลกแตกเรื่องอื่นๆอย่างแน่นอน เพราะถ้าผู้ชมท่านใดที่เคยชมภาพยนตร์ของ ดาร์เร็น มาก่อน น่าจะทราบดีว่า จุดเด่นในบทภาพยนตร์และตัวละครของเขาเลยก็คือ การต่อสู้กับจิตใจของตนเอง และรวมไปถึงการตัดต่อที่ต้องอาศัยความไวและเข้าใจโลกภาพยนตร์พอสมควร ถึงจะไม่นั่งเกาหัวอย่างมึนงงทั้งเรื่อง ซึ่งนั้นแหละมันทำให้ผู้เขียนรู้สึกตื่นเต้นขนลุก ขนพองขึ้นมาทันทีเลยทีเดียว


ซึ่งเมื่อได้ชมตัวภาพยนตร์จริงๆแล้ว ก็ต้องขอบอกเลยว่าไม่ผิดหวังกับฝีมือการกำกับของ ดาร์เร็น แอโรนอฟสกี้ เสียจริงๆ จากการตัดต่อเล่าเรื่องได้อย่างน่าสนใจ น่าติดตาม และมีสไตล์สุดๆ ที่สำคัญเลยก็คือ การตัดต่อในฉากเล่าเรื่องใหญ่ๆของเขานั้นดูมุ่งมั่นและแฝงไปด้วยความหมายเสมอๆ เช่นฉากเล่าถึงเรื่องก่อนโลกจะเกิด ไปจนถึงโลกที่เต็มไปด้วยความรุนแรง ซึ่งเป็นการตัดต่อที่ทำให้รู้สึกเหนื่อยแทนอยู่พอสมควรซึ่งในที่นี้ก็ต้องขอชมความพยายามของคนตัดต่อภาพยนตร์อย่าง แอนดรู เวสบลัม ด้วยเช่นกัน ถึงแม้ว่าการตัดต่อของเขาในภาพยนตร์เรื่องนี้จะดูเพลาๆลงไปบ้างเพื่อกันการงง ก็ไม่ได้ทำให้สไตล์ของเขาหายไปเลย


และด้วยการที่ตัวดาร์เร็น แอโรนอฟสกีเอง ได้เข้าไปมีส่วนรวมในการเขียนบทด้วย แน่นอนว่าบทภาพยนตร์ที่ออกมานั้นก็แยกได้เป็นสองมิติเช่นเคย มิติหนึ่งก็คือโลกที่เราเห็นในภาพยนตร์ ความวุ่นวาย ความรุนแรง และเรื่องราวของมนุษย์ผู้พยายามจะเอาชีวิตรอด ส่วนอีกมิติหนึ่งก็ยังคงเป็นความขัดแย้งภายในจิตใจของตัวละครเช่นเคย กับการตั้งคำถามในสิ่งต่างๆ เช่น อะไรคือสิ่งที่ถูกต้อง ? อะไรคือสิ่งที่ควรทำ ? มนุษย์เป็นสัตว์ที่มีความดีอยู่ในตัวจริงหรือ ? และอีกมากมาย ซึ่งคำถามเหล่านี้นั้นแตกต่างจากผู้กำกับท่านอื่นๆที่มักจะตอบให้แทนผู้ชมในตอนท้าย ในภาพยนตร์ของดาร์เร็น แอโรนอฟสกีนั้นเขามักจะให้ผู้ชมเป็นคนหาคำตอบเองเสียมากกว่า ซึ่งมันเปิดทางให้กับความคิดเห็นอื่นๆที่แตกต่างกัน โดยไม่ไปขัดความคิดของใครได้อย่างน่าทึ่งมากๆเลยทีเดียว


ในส่วนของด้านทีมนักแสดงเอง โดยรวมก็ถือได้ว่าเป็นที่น่าพอใจทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น รัซเซล โครว , เจนนิเฟอร์ คอนเนลลี , แอนโทนี ฮ็อปกินส์ , เรย์ วินโสตน , เอมม่า วัตสัน หรือแม้กระทั่ง โลแกน เลอแมน ทุกๆคนต่างแสดงผลงานได้อย่างน่าทึ่งในระดับหนึ่ง สร้างมิติให้กับตัวละครอยู่พอสมควรเลยทีเดียว แต่เมื่อมานั่งเจาะลงเป็นคนๆ ก็ไม่ถึงกับยอดเยี่ยมซักเท่าไรนัก ทุกๆคนยังสามารถรีดพลังออกมาได้มากกว่านี้ ที่เป็นอยู่ในภาพยนตร์ตอนนี้อยู่ในระดับ พอรับได้เสียมากกว่า


แต่สิ่งที่เรียกได้ว่าขัดหูขัดตาผู้เขียน และแทบจะทำลายภาพยนตร์ทั้งเรื่องมากที่สุด ก็คงจะหนีไม่พ้น Production Design อย่างแน่นอนร้อยเปอร์เซ็น เพราะ การออกแบบฉากต่างๆ สัตว์ประหลาดต่างๆ มันช่างอยู่ในขั้นเกือบจะเลวร้ายสุดๆ นอกจากมันจะแบน ไม่น่าสนใจ ไม่สร้างสรรค์สุดๆแล้ว มันยังเกือบจะดึงผู้เขียนออกจากตัวภาพยนตร์ด้วยซ้ำไป เพราะความไม่สมจริง ไม่น่าเชื่อถือ และขี้เกียจของมัน


ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า ภาพยนตร์ประเภทโลกหายนะ หรือ Adventure เกือบจะ Fantasy เช่นนี้นั้น ต้องอาศัยการสร้างฉาก และ CG อย่างมาก เพื่อให้เราล่องลอยไปกับภาพยนตร์อย่างง่ายดาย เพราะมันสามารถที่จะทำให้เราเชื่อได้ว่า โลกๆนั้น(เสมือน)มีอยู่จริง แต่ที่เป็นอยู่ในภาพยนตร์เรื่องนี้ คือความแบนแต๊ดแต๋ น่าเบื่อ ไม่น่าเชื่อถือแม้จะอยู่ในโลกเมื่อสมัยหมื่นปีก่อนก็ตาม


อีกสิ่งหนึ่งในภาพยนตร์ที่ทำให้ผู้เขียนรู้สึกไม่ค่อยถูกใจเท่าไรนัก ก็คือบทสรุปของภาพยนตร์ที่ให้ความรู้สึกว่าตัวบทและผู้กำกับ ดาร์เร็น แอโรนอฟสกี นั้นดันไปฟันธงและชี้นำคนดูมากจนเกินไป ว่าคำตอบและผลของการกระทำของตัวละครมันจะต้องเป็นเช่นนี้ เช่นนี้เท่านั้น ซึ่งแปลกมากๆ เพราะ 90% ของทั้งเรื่องตัวเขาเองก็เป็นคนตั้งคำถามและยื่นมันให้กับผู้ชมตอบเอาเองอยู่ตลอดเวลาแท้ๆ แต่ในตอนจบอยู่ดีๆก็กลับจูงจมูกว่ามันจะต้องเป็นเช่นนี้อย่างหน้าตาเฉย ซึ่งนอกจากมันจะขัดกับการกระทำของตัวเองมากๆแล้ว มันยังเป็นการกีดกันความคิดเห็นอื่นๆที่แตกต่างจากตนเองอีกด้วยซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมากๆเลยทีเดียว


ถ้าหากภาพยนตร์เรื่องนี้ ไม่ดันไปตกม้าตายตั้งแต่เริ่มกับ Production Design ที่สุดแสนห่วยแล้วล่ะก็ พูดเลยว่า โนอาห์ คงจะเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่น่าจดจำมากๆเลยทีเดียวในปี 2014 นี้ แต่ที่เป็นอยู่ ณ ขณะนี้ แม้แต่บทภาพยนตร์และการกำกับที่น่าทึ่งของ ดาร์เร็น แอโรนอฟสกี คงจะช่วยอะไรได้ไม่มากอย่างน่าเสียดายจริงๆ


Final Score : [ B ] 

วันศุกร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2557

Captain America : The Winter Soldier ( 2014 ) Movie Review

Movie Review
ภาพยนตร์ที่ดีที่สุดเท่าที่ Marvel เคยสร้างมา ?



                   ถึงเวลากันอีกครั้ง กับอีกหนึ่งภาพยนตร์ Phase 2 ของ Marvel ซึ่งคราวนี้ ถึงทีของกัปปิตันอเมริกากันบ้างแล้ว หลังจากที่เทพเจ้าสายฟ้าอย่าง Thor : The Dark World ได้นำร่องตาม Iron Man 3 ไปเป็นที่เรียบร้อย (ซึ่งในความเห็นของผู้เขียน ไม่ค่อยจะประทับใจทั้งสองเรื่องเท่าไรนัก โดยเฉพาะ Thor : The Dark World) ต้องขอบอกเลยว่า สำหรับผู้เขียนนั้น ถ้าให้นึกหนังของ Marvel ที่น่าเบื่อที่สุด คงจะหนีไม่พ้น Captain America : The First Avenger อย่างแน่นอน เพราะมันช่างน่าเบื่อ และพยายามมากจนเกินไปเหลือเกิน ส่วนตัวผู้เขียนจึงไม่ค่อยจะคาดหวังกับภาคต่อนี้เท่าไรนัก

แต่....ผลที่ออกมากลับเกินคาดเสียจริง เพราะต้องพูดเลยว่า Captain America : The Winter Soldier นี้นั้น เป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่ดีที่สุดเท่าที่ Marvel เคยสร้างมา ถ้าไม่นับ The Avengers เลยทีเดียว

สิ่งแรกที่ต้องขอชมจากใจเลยจริงๆก็คือสองผู้กำกับ โจ รุซโซ กับ แอนโทนี่ รุซโซ ซึ่งเรียกได้ว่าก้าวมาทำภาพยนตร์ยักษ์ใหญ่ครั้งแรก จากผลงานเก่าๆอย่าง TV-Series Community ของอเมริกา ซึ่งส่วนใหญ่นั้นการก้าวครั้งแรก ไม่ค่อยจะเวิรค์ซักเท่าไรนัก... แต่พวกเขากลับทำได้อย่างยอดเยี่ยมจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นการกำกับฉากเนื้อเรื่องที่น่าสนใจ การกำกับฉาก Action ที่รู้สึกได้ถึงความเข้าใจลึกซึ้งถึงการกำกับฉากบู้ล้างผลาญเหล่านี้จริงๆ เพราะแต่ละฉาก ถูกออกแบบมาเป็นอย่างดี และมีความซับซ้อนมากๆ ที่สำคัญคือโคตรเท่ห์(และโคตรเวอร์) แตกต่างจากภาคแรกที่ค่อนข้างจะตรงไปตรงมาอย่างน่าเบื่อ

สิ่งหนึ่งที่ถูกใจผู้เขียนมากที่สุดเลยก็คือ การทำการบ้านมาอย่างยอดเยี่ยมของสองผู้กำกับนี้เอง ซึ่งผลมันแสดงออกมาทางฉาก Action และการกำกับท่าทางของตัวละครต่างๆ เช่น กัปตันอเมริกา ที่ต้องยอมรับจริงๆว่า พวกเขากำกับได้อย่างยอดเยี่ยมจริงๆ พวกเขารู้ว่าอะไรคือความสามารถของกัปตันอเมริกา เขาทำอะไรได้บ้าง ไม่ได้บ้าง โดยเฉพาะ การใช้โล่ห์ซึ่งเป็นจุดเด่นของกัปตัน ที่ชาญฉลาด และทำให้รู้สึกได้จริงๆว่า กัปตันอเมริกาคนนี้ มีความสามารถที่น่าจะเท่าเทียมกับในฉบับหนังสือการ์ตูนจริงๆ 

ตัวละครอื่นๆก็ไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็น Falcon หรือ Winter Soldier เอง ก็มีท่าทางและท่าต่อสู้ต่างๆที่ดูสมจริง และดูเก่งกาจจริงๆสมกับที่ตัวภาพยนตร์ได้กล่าวเอาไว้ (คือไม่ได้เก่งแต่โม้นั้นแหละ) 


ในด้านของบทภาพยนตร์เองก็ทำได้ไม่เลวเลยทีเดียว โดยเฉพาะจุดขัดแย้งในความคิดเห็นของกัปตันอเมริกา กับ องค์กรชิลด์ ที่มีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน และตัวกัปตันในภาคนี้ก็แสดงจุดยืนอย่างชัดเจน และ คริส อีแวนส์ ก็นำแสดงได้อย่างยอดเยี่ยมจริงๆ เขาเติมความเป็นผู้ใหญ่ และน่าเชื่อถือให้กับตัวละครอย่างมากเลยทีเดียว จนเรียกได้ว่าทำให้ผู้เขียนเชื่อได้เต็มๆว่า นี้แหละคือผู้นำของกลุ่ม The Avengers เป็นคนที่มีความยุติธรรม ความเชื่อ แต่ก็สามารถที่จะลุยหรือบู้ได้เช่นกัน ที่สำคัญเลย ก็คือคนที่จะมาควบคุมเหล่าตัวละครที่บ้าคลั่งในกลุ่ม เช่น โทนี่ สตารค์ หรือ บรูซ แบนเนอร์ ได้จริงๆ ตัวหนังและ คริส อีแวนส์ ทำจุดนี้ได้อย่างยอดเยี่ยมมากจริงๆ


แต่ไม่รู้ว่าเพราะด้วยความที่เป็นหนังซุปเปอร์ฮีโร่ และ ตกไปอยู่ในมือของดิสนีย์แต่อย่างไร  จุดหักมุมและการคลี่คลายทุกอย่าง จึงช่างง่ายดายและตื้นเหลือเกิน ทุกอย่างมันดูง่ายไปหมดเสียจนทำให้สงสัยว่า ทำไปเพราะว่ากลัวเด็กไม่เข้าใจ หรืออย่างไรไม่ทราบ เพราะในสุดท้ายแล้ว ปัญหาและจุดขัดแย้งทั้งหมดในเรื่องที่ปูมาอย่างน่าสนใจ กลับรู้สึกได้ถึงการคลี่คลายที่ช่างไม่สมน้ำสมเนื้อเอาเสียเลย มันกลับดูช่างง่ายดายเสมือนดีดนิ้วเสกคาถาอย่างน่าเสียดายจริงๆ


รวมไปถึงชื่อตอน The Winter Soldier ซึ่งมีส่วนในเรื่องก็จริง แต่เอาเข้าจริงๆแล้ว กลับโผล่มาแวบๆแล้วก็หายไป แล้วก็โผล่มา แล้วก็หายไปอีก ทำให้ผู้เขียนไม่เข้าใจว่าตกลงต้องการจะเอาเรื่องใดเป็นเรื่องหลักกันแน่ เพราะทั้งสองเรื่องตัวหนังก็แทบจะให้ความสำคัญเท่ากัน จนมันทำให้สับสนและเริ่มที่จะพันกันมั่วไปหมด และถ้าหากตัวละคร Winter Soldier จะมาๆโผล่ๆแบบนี้ เปลี่ยนชื่อภาคไปเป็นอย่างอื่นบ้าง ก็ไม่น่าจะเสียหายอะไร ไม่แน่ใจว่า Hollywood เดี๋ยวนี้เขาตั้งชื่อภาพยนตร์ยังไงกัน เอาความเท่ห์มาเป็นที่ตั้งหรืออย่างไร เพราะเราก็เห็นตัวอย่างมากมายแล้ว ที่มีการตั้งชื่อที่ไม่เข้ากับตัวหนังจริงๆเอาเสียเลย เช่น The Mortal Instruments : The City of Bone ซึ่งอยู่ในเมืองกระดูกประมาณ 3 นาที....


สุดท้ายนี้แล้่วถึงแม้ตัวหนังจะแยกเป็นของแต่ละคนๆ ก็ทำให้ผู้เขียนอดคิดไม่ได้จริงๆว่า ตัวละครอื่นๆในโลกของ Marvel จะไม่ทราบได้อย่างไร ว่ามีเหตุการณ์ๆนี้ขึ้น ไม่ว่าจะเป็นโลกโดนบุกใน Thor : The Dark World หรือ เหตุการณ์ในภาคนี้ของ The Winter Soldier จะเป็นไปได้อย่างไรที่ตัวละครอื่นๆอย่าง Iron Man หรือคนอื่นๆในกลุ่ม Avengers ไม่ทราบเรื่องราวนี้ และไม่คิดจะเข้ามาช่วยเลย ทั้งๆที่เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า ตัวละครเหล่านี้อยู่ในจักรวาลเดียวกัน และยังอยู่ในองค์กรเดียวกันอีกด้วย ไม่เหมือนกับในเคสของ Spiderman ที่ไปตกอยู่ในมือของ Sony 
หรือ X-Men ที่อยู่ในมือของ 20th Century Fox  ซึ่งตัวหนังไม่ว่าจะในเรื่องใดๆของ Marvel ก็ยังไม่มีการอธิบายเรื่องราวนี้นัก ซึ่งมันสร้างความรู้สึกไม่สมเหตุสมผลและการตั้งคำถามอยู่พอตัว (โดยเฉพาะการที่ตัวหนังเองก็มีการชี้ถึง Tony Stark แบบเต็มๆ) จะบอกว่าก็เพราะว่าชื่อหนังมันคนละเรื่อง ก็คงกระไรอยู่


Captain America : The Winter Soldier ท้ายที่สุดแล้ว เรียกได้ว่าทำได้ดีเกินคาดจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นการกำกับฉาก Action ที่ยอดเยี่ยม ออกแบบมาได้เป็นอย่างดี , ตัวละครและความขัดแย้งที่น่าสนใจ รวมไปถึงการปูเรื่องที่น่าติดตาม ถึงแม้ว่าในท้ายที่สุดทุกๆอย่างจะคลี่คลายอย่างง่ายดายไปนิดหน่อย แต่ก็ถือว่าพอจะทนได้ นี้เรียกได้ว่า เป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญสำหรับ Phase 2 ที่จะนำเราไปสู่ The Avengers 2 ของ Marvel เลยทีเดียว

Final Score : [ B + ]

** เช่นเคยตามธรรมเนียม Marvel อย่าลืมหา Stan Lee และอย่าลืมรอดูหลังเครดิตนะจ๊ะ ** 

วันพฤหัสบดีที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2557

Dark Souls II ( 2014 ) Game Review

Game Review
คุณพร้อม ที่จะเผชิญกับคำสาบและความตายหรือยัง ?



Game Name : Dark Souls II ( 2014 ) Action / Role-Playing (RPG)
Developers : From Software
Platforms : Playstation 3 , Xbox 360 , PC
Rating : Mature 18+






                                       Dark Souls เป็นชื่อที่คอเกมหลายๆคน น่าจะเคยได้ยินกันมาบ้าง หรือบางท่านอาจจะเคยสัมผัสมาแล้วในภาคแรกก็เป็นได้ โดยซีรียส์ Souls นั้น จริงๆแล้วมีถึง 3 ภาค นั้นก็คือ Demon Souls - Dark Souls และแน่นอน Dark Souls 2 ซึ่งผู้เขียนต้องขอพูดตั้งแต่เริ่มก่อนเลยว่า ไม่เคยแตะภาคก่อนหน้านี้เลย เรียกได้ว่า Dark Souls 2 เป็นประสบการณ์ครั้งแรกของ ซีรียส์ Souls อย่างแท้จริงเลยทีเดียว


และแน่นอนเมื่อเราพูดถึง Dark Souls หรือนึกถึง Dark Souls สิ่งๆแรกที่มักจะขึ้นมาในหัว ก็คงหนีไม่พ้นความ "ยาก" ของมัน ที่ยากจนขนาดเรียกได้ว่า จงจำไว้เลยว่า นี้ไม่ใช่ God of War หรือ Devil May Cry  คุณไม่สามารถที่จะวิ่งเข้ารัวๆปุ่ม แล้วรอดชีวิตกลับมาได้ ยิ่งไปกว่านั้นการสู้ตัวต่อตัวในเกม แม้แต่ตอนต้นเกม ก็เรียกได้ว่าท้าทาย และโหดร้ายอยู่พอสมควรเลยทีเดียว ยิ่งศัตรูมาหลายๆตัว ก็ยิ่งไม่ต้องพูดเลย วิ่งเถิด !! เพราะว่าในเกมนี้นั้น ศัตรูทั่วๆไปนั้นมีการโจมตีที่รุนแรงมาก ขนาดผู้เขียนเองเล่นสายที่เรียกได้ว่าน่าจะมีเลือด และเกราะพอตัวแล้ว ศัตรูบางตัวยังตีเพียงแค่ทีเดียว เลือดจาก 100% เหลือ 20-15% ทันที ย้ำว่าทีเดียว เพราะฉะนั้นจงทำใจเอาไว้ก่อนจะเล่นเกมในซีรียส์ Souls เลยว่า คุณจะต้อง "ตาย" (หลายครั้ง) อย่างแน่นอน เพราะสำหรับตัวผู้เขียนเองที่เล่นซีรียส์ Souls เป็นครั้งแรก ตั้งแต่ต้นจนจบ ก็ตายไปมากกว่า 50 ครั้ง หรืออาจจะเฉียดๆ 100 ครั้งแล้วด้วยซ้ำไป ยิ่งไปกว่านั้นคือมีการนับสถิติการตายของผู้เล่นทั่วโลกอีกด้วย ซึ่ง ณ ปัจจุบันก็ปาไปหลายล้านแล้วครับ !!


ซึ่งด้วยความที่ศัตรูนั้นตีแรงมากๆในเกม มันทำให้การหลบการโจมตี หรือ ป้องกันการโจมตีจากศัตรู เป็นจุดที่สำคัญมากๆ ซึ่งสองแบบนี้ จะมีความเสี่ยงและรางวัลที่แตกต่างกันออกไป ในขณะที่การหลบการโจมตี คุณจะไม่ได้รับความเสียหายใดๆเลย ซ้ำยังสามารถหาจังหวะสวนกลับได้อีก แต่ถ้าหากคุณดันหลบพลาดก็เตรียมรับดาเมจแบบเต็มๆ ซึ่งในตอนนั้นอาจจะหมายถึงชีวิตของคุณได้เลย อีกแบบหนึ่งก็คือการป้องกันการโจมตีจากศัตรูโดยโล่ (ซึ่งสำคัญมากถ้าหากคุณเป็นมือใหม่) ซึ่งโล่ส่วนใหญ่จะป้องกันความเสียหายได้พอสมควรแต่ไม่ 100% ซึ่งคุณไม่ต้องเสี่ยงว่าจะหลบพลาดแล้วโดนเต็มๆหน้าหรือไม่ แต่นั้นก็แลกมาด้วย การเสียโอกาสในการสวนกลับศัตรูไปพอสมควรเพราะคุณจะเสีย Stamina หรือ ค่าความเหนื่อยจากการรับการโจมตีของศัตรูนั้นเองเวลาสวนจึงสวนได้ไม่มากเท่ากับการหลบการโจมตี และบางครั้งอาจจะไม่ได้สวนเลยก็ได้ โดยเฉพาะศัตรูที่เป็นบอส เพราะการโจมตีส่วนใหญ่ของบอสนั้น จะทำให้การป้องกันเราแตกได้ภายในไม่กี่ครั้งของการโจมตี เพราะเมื่อคุณป้องกันการโจมตีแล้ว Stamina ของเราจะกลายเป็น 0 ทันที (โดยเฉพาะช่วงหลังๆของเกมที่บอสตีแรงมาก) และในช่วงนั้นคุณจะอยู่ในสถานะทำอะไรไม่ได้เลยทันที (จงดูค่า Stamina ให้ดี มิเช่นนั้นการ์ดแตกในขณะที่บอสยังคอมโบไม่จบ ก็เตรียมตัวนอนได้เลย) 



ขออนุญาติซ้ำเติมความ "สิ้นหวัง" ซึ่งเป็น Theme ของภาคนี้ เข้าไปอีก ก็คือการตกในเกม เกมส่วนใหญ่นั้น เวลาเราตกน้ำ หรือ ตกผา ส่วนมากจะเสียแค่เลือด แล้วก็กลับมาที่เดิม (เช่น Darksiders ) แต่ใน Dark Souls II การตก = ตาย ไม่ว่าคุณจะมีเลือดมากเท่าไร หรือ เกราะยอดเยี่ยมมากเท่าไรก็ตาม ตายหมด เพราะฉะนั้นสำรวจสถานที่รอบๆข้างให้ดีก่อน เพราะบางครั้งเราไม่ได้เดินไปตกเอง แต่เพราะเราโดนการโจมตีของศัตรูนี้แหละทำให้กระเด็นไปตกตาย หรือ บางครั้งเรากลิ้งหลบตกผาเองก็ยังเป็นเหตุที่เกิดขึ้นได้(จากประสบการณ์ผู้เขียน เชื่อเถอะ)


แต่... เพราะความยากของ Dark Souls II นี้แหละ ถึงทำให้ตัวเกมมันโดดเด่น น่าสนใจ และที่สำคัญก็คือ ท้าทายอยู่ตลอดเวลา เพราะตัวเกมไม่มีการออมมือ หรือ จูงมือ ชี้ทางคุณแต่อย่างใด ตัวเกมนั้นให้อิสระกับคุณอย่างมากเลยทีเดียว และเพราะความยากนี้เอง มันทำให้ทุกๆชัยชนะมีความหมายอย่างมาก ใน Dark Souls II นั้นเมื่อคุณฆ่าบอส หรือผ่านศัตรูที่สุดแสนโหดไปได้แล้ว คุณจะรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูกเลยทีเดียว รวมไปถึงกับตัวเกมก็ให้รางวัลที่ค่อนข้างจะสมน้ำสมเนื้อกับความเสี่ยงของเราอยู่พอสมควรเลยทีเดียว และนั้นเป็นความรู้สึก ที่เกมหลายๆเกมให้ไม่ได้ แต่ Dark Souls II ให้ได้นั้นเอง จะว่าไปแล้วตัวเกมก็ไม่ได้ถึงกับขี้โกง หรือ ยากซะทีเดียว แต่ผู้เขียนรู้สึกว่ามัน "แฟร์หรือเท่าเทียม" กับเรามากกว่า ใช้เรารับความเสียหายหนัก แต่เราก็ทำความเสียหายหนักเช่นกัน ขึ้นอยู่กับฝีมือและวิธีของคุณแล้ว ว่าใครจะได้รับชัยชนะไป



อย่างที่บอกไว้แล้ว ว่าตัวเกมนั้นให้อิสระกับผู้เล่นอย่างมาก ซึ่งนั้นก็รวมไปถึงเกมเพลย์และระบบต่อสู้ด้วยเช่นกัน ถึงแม้ว่าตัวเกมจะเริ่มมาโดยให้มีเลือกคลาสหรืออาชีพต่างๆก็ตาม แต่ในท้ายที่สุดแล้ว คุณจะเพิ่มค่าสถานะต่างๆอย่างไรก็ได้ตามใจคุณ รวมถึงคุณจะใส่อาวุธอะไรก็ได้ตามใจคุณอีกเช่นกัน คุณอยากจะเป็น Cleric ที่ถือดาบคู่ไล่ฟาดฟันศัตรูหรือ ? ย่อมได้
คุณอยากจะเป็น Knight ขี้กลัว ที่ถือธนูคอยสอยศัตรูจากมุมมืดงั้นหรือ ? ย่อมได้ 
ซึ่งนอกจากนั้นแล้ว ถ้าหากคุณถืออาวุธที่เหมือนกันในสองมือ เช่นดาบคู่ หรือ มืดพกคู่ คุณยังสามารถใช้ท่าพิเศษที่มีแต่ในอาวุธเหล่านี้ได้อีกด้วย ซึ่งเหมือนทีมพัฒนา From Software จะให้ความสำคัญกับในจุดนี้มากเลยทีเดียว


การให้อิสระของตัวเกมนั้น มันทำให้เกมเพลย์ของ Dark Souls II นั้นแตกต่างจากเกมอื่นๆอยู่พอสมควรเลยทีเดียว คุณมีอิสระที่จะไปแผนที่ไหนก่อนก็ได้ หรือ จะฆ่าบอสตัวไหนก่อนก็ได้แล้วแต่คุณ ถ้าหากคุณไปถึง และฆ่ามันไหว(ยกเว้นบอสบางตัวที่มีเงื่อนไข) และถ้าหากคุณอยากจะกลับไปอีกแผนที่อย่างรวดเร็ว ก็ยังมี Bonfire เอาไว้ให้คุณวารป์ไปอีกแผนที่ ที่คุณเคยไปและจุด Bonfire มาแล้วอีกด้วย (คิดซะว่า Bonfire เปรียบเสมือนจุดเซฟ)  นอกจากนั้นแล้ว Bonfire ยังเรียกได้ว่า เป็นเพียงไม่กี่สิ่งในโลกของ Dark Souls II ที่ไม่พยายามจะฆ่าคุณ แต่กลับช่วยคุณอย่างมากอีกต่างหาก หากคุณนั่งพักใน Bonfire มันจะฟื้นฟูพลังชีวิตของคุณ และยังฟื้นฟูค่าคงทนของอาวุธของคุณอีกด้วย แต่จงระวัง ถ้าหากคุณนั่งบน Bonfire แล้ว ศัตรูที่คุณฆ่าไปจะเกิดใหม่ทั้งหมด (ยกเว้นบางตัว เช่นบอส) นั้นหมายความว่า คุณพัก ศัตรูก็ได้พักเช่นกัน แต่ในภาคนี้มีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในจุดนี้ นั้นก็คือ ถ้าหากคุณฆ่าศัตรูตัวเดิมๆซ้ำๆ มันจะไม่เกิดใหม่อีกแล้ว เพื่อป้องกันการฟารม์ Souls ซึ่งเป็นระบบเงินในเกม และนอกจากนั้นยังเป็นการช่วยผู้เล่นที่ไม่ผ่านแผนที่นั้นๆ ให้ไม่ต้องผ่านศัตรูใหม่ทั้งหมดหลายๆรอบจนเกินไปอีกด้วยนั้นเอง



และด้วยความยากของตัวเกม มันทำให้วิธีการเล่นของคุณเปลี่ยนไปอย่างแท้จริง ถ้าหากเป็นแต่ก่อน ผู้เขียนคงวิ่งเข้าไปรัวปุ่มแบบ Darksiders อย่างแน่นอน แต่ Dark Souls II เปลี่ยนวิธีการเล่นของผู้เขียนไปจนหมดเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น การมองแผนที่และสิ่งรอบๆข้างว่าตรงไหนมีหลุม มีบ่อ หรือมีที่ๆจะตกลงไปตายได้หรือไม่ มีที่ตรงไหนแคบ หรือจะทำให้การต่อสู้เราเสียเปรียบหรือไม่ และถ้าหากเสียเปรียบ จะถอยอย่างไร ก่อนที่จะทำการค่อยๆลากศัตรูมาทีละตัว แล้วฆ่าทิ้งซะ ไปเรื่อยๆจนกว่าจะหมด หรือ จะเป็นนิสัยที่ชอบฟันหีบสมบัติก่อนที่จะเปิด (ผู้เขียนโคตรกลัว Mimic เคยโดนกินทีนึง)  ซึ่งไม่มีเกมใดเท่าที่ผู้เขียนเคยเล่นมา ที่จะส่งผลถึงพฤติกรรมผู้เล่นได้ขนาดนี้ เมื่อเล่นเกมไปซักพัก คุณจะพบว่าคุณจะมีอาการระแวดระวังซะทุกอย่างรอบตัวไปเสียหมดเลยทีเดียว ซึ่งจะว่าไปก็เป็นเรื่องที่ถูกต้อง เพราะใน Dark Souls II ถ้าหากคุณไม่เก่งจริง หรือ แม้กระทั่งคุณเก่ง การไร้ความอดทน และความโลภ สามารถทำให้คุณโดนรุมกระทืบหรือโดนฟันตายได้อย่างรวดเร็ว ถ้าหากคุณคิดว่าคุณสามารถสวนการโจมตีได้เพียง 2 ครั้ง จงตีเพียง 2 ครั้ง อย่าโลภ หรือ พยายามจบเร็วๆ ด้วยการโจมตี 3 ครั้ง เพราะบางครั้ง มันจะทำให้คุณหลบการโจมตี หรือ ยกโล่ไม่ทัน และผลก็คือจะมีคำว่า You Died ขึ้นตัวใหญ่ๆบนหน้าจอของคุณนั้นเอง



ถึงแม้ว่าตัวเกมจะดูว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะผ่านก็ตาม แต่ความจริงแล้ว ถ้าหากคุณมีความอดทนพอ คุณจะพบว่ามันไม่ได้ยากอย่างที่คุณคิดเลย ใช่ศัตรูเหล่านี้มันช่างโหดร้าย และโจมตีรุนแรงมาก ถึงมากที่สุด แต่ถ้าหากคุณอดทน และสังเกตุดีๆ คุณจะทราบถึง ท่าหรืออนิเมชั่นการโจมตี หรือ ท่าต่างๆของศัตรู เช่นฟันสามที , ทุบด้วยโล่ หรือ กระโดดทับ และเมื่อคุณรู้ว่าศัตรูกำลังจะใช้ท่าอะไร หาทางรับมือกับมัน และสวนในขณะที่มันมีช่องว่างให้ตีฟรีๆซะ ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ คุณจะพบว่ามันไม่ได้ยากอย่างที่คิดจริงๆ (แต่เชื่อเถอะพูดมันง่ายกว่าทำ) 


นอกจากนั้นแล้วตัวเกมยังมีระบบ Multiplayer ที่เข้ามาสร้างมิติใหม่ๆและประสบการณ์ใหม่ๆให้กับผู้เล่นอีกด้วย เช่นคุณสามารถที่จะเรียกผู้เล่นคนอื่นมาช่วยในการรุมกระทืบบอสที่คุณทำเท่าไรก็ไม่ผ่านซักทีได้ แต่ในอีกด้านหนึ่งจงระวังการโดนบุกรุกจากผู้เล่นคนอื่นเอาไว้ด้วย เพราะผู้เล่นเหล่านี้มีเป้าหมายเพียงอย่างเดียว ก็คือฆ่าคุณนั้นเอง ส่วนวิธีแก้ก็ง่ายมาก ก็ฆ่าเขาก่อนที่เขาจะฆ่าคุณได้นั้นเอง (หรือกดปิดเครื่อง) ซึ่งในจุดนี้ระบบ Covenant หรือคล้ายๆกับกลุ่มในเกม เข้ามามีส่วนร่วมอย่างมาก เช่นในบางแผนที่ ที่มี Covenant นี้ประจำอยู่ ถ้าหากคุณเข้าไปในแผนที่ๆนั้นโดยที่คุณไม่ได้เป็นสมาชิกของ Covenant นั้น คุณจะมีสิทธิโดนบุกรุกจากสมาชิกของกลุ่มๆนั้น หรือ บาง Covenant จะไม่บุกรุกโลกของคุณ แต่จะฉุดกระฉากลากดึงคุณเข้าไปโลกของเขา เพื่อที่จะเข้าได้แอบวางกับดักต่างๆไว้รอคุณอีกด้วย ซึ่ง Covenant ต่างๆจะมีความสามารถที่แตกต่างกันออกไป แล้วถ้าหากคุณทำตามเงื่อนไขของแต่ละ Covenant ได้สำเร็จ คุณก็จะได้รับไอเทมอีกด้วย



อีกหนึ่งระบบที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือระบบ Souls ในเกม ซึ่ง Souls เปรียบเสมือนเป็นเงินในเกมก็ว่าได้ เอาไว้ใช้ซื้อของ ซ่อมของ ตีบวกอาวุธ รวมไปถึงการอัพเลเวลอีกด้วย ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่มีค่ามากที่สุดในเกมก็ว่าได้ แต่ !! จงระวัง ถ้าหากคุณตาย คุณจะสูญเสีย Souls ที่คุณถือเอาไว้ตอนนั้นอยู่ทันที ซึ่งยังมีวิธีแก้ก็คือการเดินไปแตะที่ Souls ของคุณ ณ จุดๆที่คุณตายนั้นแหละ แต่ถ้าหากคุณยังตายอีกรอบหรือเรียกง่ายๆว่าล้มเหลวในการกู้ Souls คืน 
Souls ทั้งหมดตรงนั้นก็จะหายวับไปกับตา เหลือแต่ความเศร้าโศกของคุณ 


สิ่งที่พิเศษมากๆใน Dark Souls II ก็คือความรู้สึกที่ทุกอย่างนั้นมีส่วนร่วมในเกมอยู่ตลอดเวลา เช่น แทนที่ตัวเกมจะมีการปรับระดับความยาก กลับใส่ไอเทมอย่าง Bonfire Ascetic ที่เพิ่มความโหดให้กับศัตรูในบริเวณนั้นเข้าไปแทน
หรือระบบ Hollow ในเกม ที่เมื่อเราตาย เราจะเริ่มกลายสภาพเป็น Hollow หรือคล้ายๆกับมนุษย์ที่สูญเสียความเป็นมนุษย์ไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นปีศาจไปในที่สุด ซึ่งนอกจากมันจะส่งผลถึงเกมเพลย์โดยการที่มันลดขนาดหลอดเลือดเราแล้ว มันยังให้ความรู้สึกว่าเรากำลังเข้าไปอยู่ในเนื้อเรื่องในเกม ที่พูดถึง คำสาป และ การแก้คำสาปอีกด้วย นอกจากนั้นการที่เรากลายสภาพเป็น Hollow เราจะไม่สามารถเรียก NPC หรือ ผู้เล่นคนอื่นมาช่วยได้อีกด้วย เพราะเรานั้นไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไปแล้วนั้นเอง 


ในด้านของเนื้อเรื่องในตัวเกมแล้ว ก็น่าสนใจพอสมควรเลยทีเดียว คุณคือคนที่ต้องคำสาป และเดินทางมาที่ดินแดนนี้ เพื่อหาทางแก้คำสาปของคุณ ซึ่งเนื้อเรื่องหลักๆแบบไม่หาอะไรเพิ่มเติมมันจะดูไม่ค่อยมีอะไรมากนัก แต่ถ้าหากใครเป็นแฟนของเกม Dark Souls ก็คงจะนั่งดูรายละเอียดแต่ละไอเทม และพยายามตั้งสมมุติฐานต่างๆเกี่ยวกับดินแดน และเรื่องราวเหล่านี้อย่างแน่นอน เพราะ ถ้าหากสังเกตุและตั้งใจฟังดีๆแล้ว แต่ละตัวละคร แต่ละสถานที่ และแต่ละไอเทม จะแอบแฝงไปด้วยเรื่องราวมากมายเลยทีเดียว 



ถึงแม้ว่า Dark Souls II จะเป็นเกมที่ดูเหมือนจะสมบูรณ์แบบเสียเหลือเกินก็ตาม แน่นอนว่ามันก็ต้องมีข้อเสียอยู่บ้าง และนี้ก็เป็นข้อเสียในความรู้สึกของผู้เขียนของ Dark Souls II

อย่างแรกเลยก็คือกราฟฟิค และ ภาพในเกม ที่ถึงแม้มันจะไม่ใช่จุดเด่นหรือจุดขายของเกมก็ตาม แต่ก็อดยอมรับไม่ได้จริงๆ ว่ากราฟฟิคมันช่างเก่าย้อนยุคเสียเหลือเกิน โดยเฉพาะในยุค Next-Gen นี้แล้วยิ่งเข้าไปใหญ่ ซึ่งก็แลกมาด้วยเฟรมเรตที่ดีขึ้น เล่นได้อย่างลื่นไหล ไม่กระตุก แต่ในบางครั้งก็แอบเศร้าในกราฟฟิคอยู่เหมือนกัน

หรือระบบ Covenant ของ Dark Souls II ผู้เขียนต้องบอกตามตรงเลยว่า ไม่ได้รู้สึกว่ามันสำคัญและน่าสนใจซักเท่าไรเลย นอกจากการทำถ้วย Platinum เพราะสิ่งที่ทำให้รู้สึกว่า Covenant เหล่านี้สำคัญจริงๆ ก็เพราะระบบ Multiplayer แท้ๆเลยทีเดียว นอกจากนั้นแล้ว ไม่รู้สึกว่ามันจำเป็น หรือ น่าสนใจแต่อย่างใดเลยจริงๆ พูดง่ายๆก็คือ Covenant อื่นๆที่ไม่ได้เกี่ยวกับ Multiplayer ดูไม่น่าสนใจไปทันทีเลยทีเดียว



Dark Souls II เป็นเกมที่เรียกได้ว่าสมกับการร่ำลือเสียจริงๆ เพราะนอกจากมันจะเป็นเกมที่ท้าทาย สนุก และให้รางวัลกับผู้เล่นที่กล้าที่จะต่อกรกับมันแล้ว ตัวเกมมันยังช่างให้ความรู้สึกที่ไม่สามารถที่จะหาได้จากเกมอื่นๆอีกด้วย ซึ่งความรู้สึกนั้น มันส่งผลต่อตัวผู้เล่นมากถึงขนาดที่เปลี่ยนวิธีการเล่นไปอย่างสิ้นเชิงเลยทีเดียว ซึ่งนี้ก็เป็นหลักฐานได้อย่างชัดเจนว่าทำไม Dark Souls II ถึงได้เป็นเกมที่ยอดเยี่ยมมากที่สุดเกมหนึ่งบนโลก แล้วคุณล่ะ พร้อมที่จะมาสัมผัส Dark Souls II หรือยัง ถ้าหากพร้อมแล้ว ก็เหลือเพียงคำถามเดียวเท่านั้นที่คุณจะต้องตอบ                                                                  "คุณพร้อมที่จะตายหรือยัง ?"


Final Score : [ A+ ] 




สามารถ Comment บทวิจารณ์หรือติดต่อผู้เขียนโดยตรงได้ที่ fallsdownzth@gmail.com ครับผม ขอบคุณครับ :) .

วันพุธที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2557

The Railway Man ( 2014 ) Movie Review

Movie Review
สงครามจบ คนไม่จบ



The Railway Man เป็นภาพยนตร์ของประเทศอังกฤษ / ออสเตรเลีย ซึ่งเรียกได้ว่า ในด้านของนักแสดงนำนั้น แต่ละคนมีชื่อเสียงโด่งดัง และได้รับรางวัลออสการ์มาแล้วถึง 2 คน นั้นก็คือ โคลิน เฟิร์ธ แห่ง The King's Speech และ นิโคล คิดแมน จาก The Hours ซึ่งเรียกได้ว่าสองคนนี้นั้นแทบจะการันตีความสามารถได้เลยทีเดียว แต่ยังไม่พอเท่านั้น ยังมี เจเรมี่ เออร์วีน , ฮิโรยูกิ ซานาดะ และ สเตลแลน สคาร์การ์ด มาร่วมวงอีกด้วย


The Railway Man เป็นภาพยนตร์ที่เล่าถึงเรื่องราวของ อีริก โลแมกซ์ ซึ่งถูกจับเป็นไปทาสในการสร้างทางรถไฟสายมรณะโดยคนญี่ปุ่น ในช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งสายทางรถไฟนี้ ก็อยู่ในประเทศไทยนี้เอง ซึ่งสัญลักษณ์ของทางรถไฟนี้ก็คือสะพานข้ามแม่น้ำแควนั้นเอง หลังจากสงครามจบลง เขาพบว่าตัวเขาเองนั้นตกอยู่ในภาวะเสียสติไปทุกขณะ ความแค้นที่สั่งสมมาของเขานั้น ทำให้เขาจะต้องตามหาคนที่ทำให้เขาเป็นเช่นนี้จงได้


จริงๆแล้วภาพยนตร์เรื่องนี้ ต้องพูดเลยว่ามีหลายๆสิ่งหลายๆอย่างที่เพรียบพร้อมเป็นอย่างมากเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นบทภาพยนตร์ที่น่าสนใจ และน่าติดตาม โดยพูดถึงเรื่องราวของมนุษย์ในสภาวะหลังสงคราม ความแค้น และแน่นอนเป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์ที่ต่อต้านสงครามอย่างชัดเจน 

หรือ นักแสดงนำทุกคนที่เรียกได้ว่าถ่ายทอดพลังออกมาได้อย่างน่าทึ่ง และสร้างมิติให้กับตัวละครเหล่านี้เสียจริง ไม่ว่าจะเป็น โคลิน เฟิร์ธ ที่แสดงตัวละครที่ "ย่อยยับ เละเทะ" ได้อย่างน่าสนใจ , นิโคล คิดแมน ทีแสดงถึงความเป็นห่วงเป็นใย และเป็นตัวแทนของเพศหญิงในการพยายามช่วยเหลือเพศชายในสภาวะหลังสงครามได้อย่างยอดเยี่ยม  แม้กระทั่ง เจเรมี่ เออร์วีน ที่แสดงเป็น อีริค ในช่วงที่ถูกจับไปเป็นทาส ก็แสดงได้อย่างยอดเยี่ยมมากๆเช่นกัน ซึ่งนักแสดงทุกคนเหล่านี้ เรียกได้ว่าทำให้ตัวภาพยนตร์น่าสนใจ และมีลวดลายขึ้นมาอย่างมาก

นอกจากนั้นแล้วต้องขอชมผู้กำกับภาพ แกรรี่ ฟิลิปส์ จริงๆที่ทำให้ The Railway Man เป็นภาพยนตร์ที่ช่างสวยงามเหลือเกิน โดยเฉพาะฉากภาพทางรถไฟสายมรณะที่กำลังแล่นผ่านทางคดเคี้ยวลัดเลาะไปตามหน้าผาที่สวยงาม ตระการตา และแน่นอน ฉากสะพานข้ามแม่น้ำแคว ที่สวยงาม น่าจดจำเป็นที่สุดของเรื่อง

แต่.... ภาพยนตร์เรื่องนี้ มีปัญหาอยู่จุดหนึ่งที่หนักพอสมควรเลยทีเดียว ซึ่งปัญหานั้นก็คือ ความน่าเชื่อถือของภาพยนตร์ ที่ตัวผู้กำกับ โจนาธาน เทพลิสกี้ ไม่สามารถที่จะทำให้เราเชื่อในหลายๆประเด็นได้เลย เพราะเรื่องราวต่างๆในภาพยนตร์ พยายามจะเล่าหลายด้านมากจนเกินไป ในขณะที่ตัวผู้กำกับเองก็แบ่งเวลาในเรื่องราวส่วนต่างๆได้อย่างย่ำแย่ ผลก็คือทุกๆอย่างมันพันกันมั่วซั่วไปหมด จนเล่าเรื่องออกมาได้อย่างไม่มีประสิทธิภาพ 

ไม่ว่าจะเป็นความรักระหว่าง อีริค กับ แพทริเซีย ที่ใช้เวลาในการปูน้อยมาก และทุกอย่างมันดูเร่งรีบไปจนหมด ซึ่งยังดีที่ในจุดนี้ถูกแก้ด้วยนักแสดงที่มีความสามารถอย่างมากทั้งสองคน ถ้าหากเป็นนักแสดงคนอื่น เราอาจจะไม่เชื่อเลยด้วยซ้ำ ว่าสองคนนี้จะรักกันได้

อย่างต่อมาก็คือเรื่องราวความทรมาณของ อีริค ในยุคปัจจุบันของหนัง (ซึ่งก็คือ 1980) ซึ่งตัวหนังก็ให้เวลาปูน้อยอีกเช่นกัน อยู่ดีๆมันก็โผล่มาอย่างหน้าตาเฉยในกลางเรื่อง ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้มีให้เห็นในด้านนี้น้อยมาก ซึ่งมันทำให้ความน่าเชื่อถือของหนังลดลงอย่างมาก

หรือจะเป็นเรื่องราวของ กลุ่มตัวละครเพื่อนของ อีริค ที่มีการพูดถึงน้อยมากๆ และการปูตัวละครเหล่านี้ แทบจะเป็น 0 ทั้งๆที่มันส่งผลกับบทสรุป และการดำเนินเรื่องของภาพยนตร์อย่างมาก เพราะมันทำให้การกระทำของตัวละครต่างๆ มันช่างดูไร้เหตุผล และไม่น่าเชื่อถือไปเสียหมด มีแต่เพียงลมปากที่ตัวละครพูดออกมาก็เท่านั้น ซึ่งมันไม่เพียงพออย่างแน่นอน

อีกสิ่งหนึ่งในภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่ผู้เขียนรู้สึกไม่ค่อยถูกใจซักเท่าไรนัก ก็คือความไม่เป็นกลางของมัน ซึ่งก็ต้องยอมรับว่ามันเป็นเรื่องที่พอจะคาดเดาได้ เพราะเป็นภาพยนตร์ของประเทศอังกฤษ การเล่าเรื่อง การกำกับ ตัวละคร และบทภาพยนตร์ต่างๆ จึงอวยประเทศอังกฤษและโทษประเทศญี่ปุ่นแบบเต็มประตู โดยเฉพาะฉากที่ให้ตัวละครญี่ปุ่นโค้งคำนับ ตัวเอกจากประเทศอังกฤษ สร้างความสับสน และความรู้สึกแปลกประหลาดให้กับผู้เขียนเป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่าในตอนท้าย ตัวผู้กำกับ และตัวภาพยนตร์จะพยายามสร้างมิติให้กับตัวละครญี่ปุ่นไม่ดูเลวร้ายมากจนเกินไปนักซักเท่าไรก็ตาม แต่ในเมื่อ 80-90% ของทั้งเรื่อง คุณได้เสมือนพูดว่า "ญี่ปุ่นมันเลว" ไปเรียบร้อยแล้ว การแก้ตัวเหล่านั้น มันก็ไม่ได้มีความหมายอะไรอีกต่อไป


สุดท้ายแล้ว ผู้เขียนรู้สึกเสียดายความเป็นไปได้ของภาพยนตร์เรื่องนี้อยู่บ้าง ทั้งๆที่มันมีเรื่องราวที่ช่างน่าสนใจ และไปลึกได้มากกว่านี้ เช่น ตัวละคร หรือ ในด้านมุมมองใหม่ๆ ที่มันสามารถไปไกลได้มากกว่านี้ ทั้งตัวภาพยนตร์ยังได้นักแสดงที่ยอดเยี่ยม และผู้กำกับภาพที่ยอดเยี่ยม เพรียบพร้อมรออยู่แล้วแท้ๆ ในท้ายที่สุดแล้วกลับไปไม่ถึงไหน ถึงจะไม่อยากโทษแต่ก็ต้องพูดจริงๆ ว่าถ้าหาก The Railway Man ได้ผู้กำกับที่ดีกว่านี้ มีความสามารถในการเล่าเรื่องมากกว่านี้ ตัวภาพยนตร์จะไปได้ไกลกว่านี้มากเลยทีเดียว


Final Score : [ B - ]