วันเสาร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2555

Silent Hill : Revelation 3D ( 2012 ) Movie Review

Movie Review




Movie Name : Silent Hill : Revelation 3D (2012) , Konami , Lion Gate , Horror / Thriller
Director :  Michael J. Bassett ( Also as writer )
Stars :  Adelaide Clemens ( X-Men Origins : Wolverine ) , Sean Bean ( Silent Hill , The Lords of The Ring ) , Kit Harington ( Game of Thrones TV-Series ) , Radha Mitchell ( Silent Hill , Man on Fire ) 
Rating : R ( Lots of Violence , Blood , Gore , Nudity Scene , Scary Stuff )







(REVIEW)
(THAI)


Silent Hill : Revelation 3D ต้องขอบอกว่าเป็นภาพยนตร์อีกเรื่องหนึ่งของปีนี้ที่ผู้เขียนส่วนตัวเองรอคอยมานานมาก (รอมาตั้งแต่ประกาศว่าจะทำภาคต่อ) เรียกได้ว่าอยู่อันดับต้นๆของปีนี้เลยที่ต้องขอดูก่อนตาย !! ถึงแม้ส่วนตัวจะไม่ได้คาดหวังอะไรมากมายนัก เพราะ ถ้าท่านใดเป็นแฟนเกม และดูหนังเยอะๆด้วยแล้วล่ะก็ ท่านก็จะรู้ดีว่า ภาพยนตร์ที่มีต้นแบบมาจากเกม มักจะห่วยแตกสุดจะทน อารมณ์ประมาณอย่าเรียกว่ามาจากเกมเลยดีกว่า ราวๆนั้น



Silent Hill : Revelation 3D เป็นภาพยนตร์ภาคต่อของ Silent Hill ภาคแรกที่ฉายไปเมื่อปี 2006 ซึ่งกระแสตอบรับก็ถือว่าไม่ค่อยจะดีนัก แต่ก็ไม่ถึงกับขาดทุน ถึงแม้ Silent Hill ในภาคแรกถ้านับว่ามันเป็นภาพยนตร์ผีทั่วๆไปแล้วล่ะก็ ก็คงไม่ได้ดีอะไรมากมายนัก แต่ถ้าหากเรานับว่ามันเป็นภาพยนตร์ที่สร้างมาจากเกมแล้วล่ะก็ แฟนๆเกมหลายๆคน คงแทบจะซื้อแผ่น Bluray มาแล้วลงไปกราบงามๆ 3 ที เพราะถือได้ว่าเป็นภาพยนตร์ที่มีต้นแบบมาจากเกมที่ทำได้เหมือนที่สุดแล้ว ซึ่งในภาคนี้นั้นเอาจริงๆแฟนๆหลายๆคนรวมถึงตัวผมเองก็คงไม่ได้คาดหวังจะให้มันดีแบบภาคแรกซักเท่าไร ขอแค่ใกล้เคียงหรือไม่หลุดลอยทะเลหรือเคว้งคว้าง กลางอวกาศก็โอเคแล้ว แถมช่วงแรกๆผมค่อนข้างตกใจกับหลายๆสิ่งมาก เช่นในไทย เขียนเรทภาพยนตร์เรื่องนี้ว่า "น 13+" ผมก็เลยตกใจ เห้ยบ้าไปแล้ว Silent Hill น 13+ แล้วมันจะเป็น Silent Hill ได้อย่างไรกัน ? เพราะถ้าหากคุณเป็นแฟนเกม Silent Hill แล้วล่ะก็ คุณจะรู้ดีว่าเกมนี้มันโหดร้าย ทารุณแค่ไหน ชนิดที่เรียกว่าถ้าเอาแบบเหมือนในเกม คงติดเรท ฉ 20+ ไปเรียบร้อยแล้ว



Silent Hill : Revelation 3D นั้นในภาคนี้ได้ตัวผู้กำกับมาก็คือ Michael J. Bassett นั้นเองซึ่งจะว่าไปถ้าดูจากผลงานที่ผ่านๆมาของเขาก็คงไม่น่าแปลกใจเท่าไรเลยว่าทำไมเขาถึงได้ถูกดึงตัวเข้ามาเป็นผู้กำกับ เพราะผลงานที่ผ่านมาของเขานั้น มีแต่ภาพยนตร์สยองขวัญทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น Solomon Kane ( 2009 ) , Wilderness ( 2006 ) และ Deathwatch ( 2002 ) เพราะฉะนั้นก็คงการันตีได้ในระดับหนึ่งว่า คงไม่ใช่หนังผีวิ่งไปวิ่งมา เดาได้ทุกฉากแน่นอน



Silent Hill : Revelation 3D นั้นเรื่องราวได้เล่าต่อมาจากภาคแรก หลังจากที่ Rose และลูกสาวของเธอ Alessa ได้ไปติดอยู่ท่ามกลางเมืองหมอกที่หนึ่ง ซึ่งพวกเขาหารู้ไม่ว่าเมืองนี้นั้นเต็มไปด้วยความชั่วร้ายที่เกินจะจินตนาการเลยทีเดียว โดยในภาค 2 นี้ เหตุการณ์ได้ผ่านมาหลายปี Alessa ได้เติบโตขึ้นจากการที่เธอกลับมาจากเมือง Silent Hill ได้โดยความช่วยเหลือจากแม่ของเธอ เธอกับพ่อของเธอ ได้ย้ายเมืองไปเรื่อยๆ เพื่อหลบหนีความจริง พวกเธอคิดว่าพวกเธอคงจะหนีมันพ้นแล้ว แต่พวกเธอคิดผิดอย่างรุนแรง หลังจากนั้น พ่อของเธอได้ถูกคนจากในเมือง Silent Hill ลักพาตัวไป เธอจึงไม่มีทางเลือกนอกจาก กลับไปยังเมืองนรกนั้นอีกครั้ง !!



Silent Hill : Revelation 3D นั้นผมขออนุญาติเปิดการรีวิวด้วยการพูดถึงว่าในภาคนี้นั้นเหมือนกับตัวเกมแค่ไหนก่อนนะครับ เพราะหลายๆท่านที่ไปชมกันก็ต้องเป็นแฟนเกม เกมนี้อย่างแน่นอน ซึ่งหลายๆท่านหลังจากดูตัวอย่างหรืออาจจะไม่ได้ดูก็คงทำใจไว้แล้วส่วนหนึ่งว่ามันคงไม่ได้ออกมาเลิศอะไรขนาดนั้น เอาแค่คล้ายๆก็ดีใจละ (ส่วนตัวผมก็เป็นตอนแรกก็คิดว่าให้มันคล้ายๆไม่ออกทะเลก็พอใจละ) แต่ที่ไหนได้ พวกเราชาวเกมเมอร์นั้นหวังเพียงแค่ โรงพยาบาลบ้า แต่พวกเขากลับให้เรามาทั้งเมือง !!! เพราะตั้งแต่ต้นเรื่องจนจบเรื่อง นั้นคุณจะรู้สึกได้ตลอดเวลาว่า "นี้แหละคือ Silent Hill นี้แหละคือบรรยากาศที่แสนจะหดหู่ยากจะบอก ความน่ากลัว ความสยดสยอง ที่ไม่อาจจะบรรยายออกมาได้ อยู่ในทุกอณูของบรรยากาศที่ตัวละครเดินผ่าน" เพราะ บรรยายกาศในเรื่องนั้น แม้แต่ช่วงที่ยังไม่ได้เข้าโลก Silent Hill หรือแฟนๆเกมจะเรียกกันว่า "โลกสนิม" คุณก็จะรู้สึกได้อยู่ดีว่าความกดดันนั้นมันยังคงมีอยู่ เหมือนตอนที่คุณเล่นเกม คุณไม่มีวันจะรู้ได้เลยว่า เมื่อไรคุณจะถูกความมืดดึงเข้าไปในโลกสนิม คุณนอนๆอยู่ หรือกำลัง 1 2 3 อยู่ก็อาจจะถูกดึงไปโดยไม่รู้ตัวก็เป็นได้ และตัวคุณเองรู้ดีไปกว่าใครว่า คุณนั้น"ไม่มีทางหนี" เพราะไม่ว่าคุณจะไปอยู่ดีใด มันก็จะตามคุณจนเจอได้เสมอๆ นอกจากสัตว์ประหลาด ปีศาจ มอนสเตอร์ แล้วแต่คุณจะเรียกที่มาจากเกมแล้ว ยังมี มาสค็อตต์ ประจำเกม Silent Hill ที่จะต้องมีทุกภาค (แต่จะแอบๆไว้) นั้นก็คือ ตุ๊กตากระต่าย Silent Hill นั้นเอง !! และก็ยังมี บอสต่างๆ บรรยากาศ สถานที่ หรือแม้แต่แผนที่ๆแปะอยู่ข้างผนัง !! ก็ยังเหมือนในเกมเปะๆ " O    M    G " 



คราวนี้มาพูดถึงเรื่องความสยดสยอง ความหลอน ความน่ากลัว ตกใจ อะไรต่างๆนาๆ กันดีกว่า เพราะ ต่อให้หนังมันจะเหมือนเกมแค่ไหน แต่มันไม่หลอน ก็จบเห่กัน.... แต่คุณเลิกกังวลไปได้เลยเพราะ ถ้าหากคุณคิดว่า สัตว์ประหลาดจะโผล่มา 2-3วิ ซัก1-2 ฉากพอแล้วก็จบ อะไรแบบนี้ คุณเลิกคิดได้เลย เพราะตั้งแต่ต้นยันจบเรื่อง จะมีฉากที่ตัวละครถูกดึงเข้าไปในโลกสนิมอยู่บ่อยๆ แถมยังมีฉากตื่นเต้น ไล่ล่าสุดมันส์อีกต่างหาก นอกจากนั้น ยังแฝงไปด้วยความสยดสยอง ที่แม้แต่คนที่เคยดูหนังผีที่ว่าน่ากลัวที่สุดแล้ว อาจจะคาดไม่ถึงก็เป็นได้ !!! นอกจากนั้นบรรยากาศเวลาคุณกำลังลุ้นระทึกอยู่นั้น คุณจะทั้ง ตื่นเต้น ทั้งสนุก ทั้งกลัว และกดดันไปพร้อมๆกัน เพราะคุณไม่อาจจะคาดเดาได้เลยว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป หรือแม้แต่อะไรที่คุณคิดว่ามันจะเป็นแบบนั้นแบบนี้ มันก็ไม่เป็นไปตามที่คุณคิดไว้ ส่วนเรื่องความโหด ซึ่งคอซาดิสน่าจะชอบ ต้องขอบอกก่อนนะครับว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่เหมาะสำหรับเด็กๆที่ต่ำกว่า 18 ปี เท่าไรนัก เพราะมีฉากโหดๆอยู่เยอะ ไม่ว่าจะเป็น แล่เนื้อคนเป็นๆกันสดๆให้ดูแบบไม่มีมุมกล้องแอบแต่อย่างใด ให้เห็นกันจะๆเลย ฉากที่โดนรุมเอามีดแทงกระจุยกระจาย อื่นๆอีกมากมาย ซึ่งต้องขอบอกว่า หลายๆท่านอาจจะมองว่ามันรุนแรงไป แต่ส่วนตัวผมคิดว่าสิ่งนี้แหละมันเป็นอีกเอกลักษณ์หนึ่งของ Silent Hill ที่จะขาดไม่ได้อย่างเด็ดขาดนั้นก็คือ "ความโหดร้าย ทารุณ"  ซึ่งอย่างที่กล่าวไว้ในข้างต้นว่าเจอเรท น 13+ ก็เลยกลัวว่าจะหายไป เพราะฉะนั้นแฟนๆหรือคอซาดิส ไม่ต้องห่วงเลยครับ ถึงแม้จะเรียกได้ว่านี้ยังน้อย ถ้าเทียบกับเกมจริงๆ แต่ก็เรียกว่าสยองสุดยอดแล้วครับ



ในด้านบทในภาคนี้ของ Silent Hill : Revelation 3D นั้นจริงๆแล้วมาจาก เกมภาค 3 นั้นเอง ซึ่งถ้ามองโดยรวมจากในภาพยนตร์แล้ว ก็ยังถือว่าอยู่ในระดับ โอเคพอรับได้ ไม่ได้แย่แต่ก็ไม่ได้ดีอะไร เพราะประเด็นหลักๆยังไงก็คงเป็นเรื่อง ไปช่วยคนอื่นอยู่ดี (แต่หนังผีอะครับคุณจะมาดูบทเทพ หรือ คุณจะมาดูฉากสยองๆอะครับ) แต่ถ้าเราตั้งใจดูขึ้นมาอีกนิดเราจะเห็นได้ว่าภายใต้ความน่ากลัว ปีศาจ และหมอกนี้นั้น เต็มไปด้วยเรื่องราวของปีศาจที่เรารู้จักกันดีอย่างแน่นอนและปีศาจตนนั้นก็มีชื่อว่า "มนุษย์" นี้แหละ เพราะฉะนั้นจะบอกว่า ภาพยนตร์นั้นไร้ซึ่งเหตุผล ก็ไม่ถูกซะทีเดียวนะครับ



พูดถึงด้านความเมพของ Silent Hill : Revelation 3D แล้ว จะไม่พูดถึงด้านที่เรียกว่ายังทำได้ไม่ดีพอเลยก็ไม่ถูก เพราะในภาคนี้ก็มีอยู่ไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว อย่างแรกสุดเลยคือ ตัวละครในเรื่องที่จริงๆแล้วมีอยู่และโผล่มาให้เห็นเยอะมาก แต่หลายๆตัวกลับโผล่มาทั้งเรื่องแค่ 10วินาที ย้ำ 10 วินาทีหรืออาจจะน้อยกว่านั้นด้วยซ้ำมั้ง ซึ่งมันค่อนข้างจะเป็นการเปลืองตัวละครเอามากๆ แต่ในเรื่องนี้หลายๆคนคงจะเข้าใจดีว่า ภาพยนตร์เพียงแค่ 94 นาที คงใส่อะไรไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว ( 94 นาทีถือว่าปกติสำหรับหนังผีทั่วไปครับ ) และถ้าหากจะให้เพิ่มเวลาเข้าไปอีก ก็คงจะลำบาก เพราะค่ายสตูดิโอที่ทำ Silent Hill นั้นก็ไม่ได้ใหญ่อะไรมากมายขนาดนั้น และทุนสร้างก็คงไม่ได้เยอะขนาด Resident Evil อย่างแน่นอน (สาเหตุหลักมาจาก Resident Evil เป็นหนังตลาด หวังกำไรได้แน่นอน แต่ Silent Hill ค่อนข้างจะเฉพาะกลุ่ม) นอกจากนั้นยังมีหลายๆจุดที่ค่อนข้างจะน่าผิดหวัง เช่นตัวละครร้าย บางตัวตายง่าย หรือยอมแพ้ไปง่ายๆ มากเกินไป จนทำให้รู้สึกว่าทั้งเรื่องที่ผ่านมาไม่ค่อยจะมีความหมาย สำหรับบอสตัวนี้ซักเท่าไรเลย และข้อเสียอีกข้อหนึ่งซึ่งเรียกได้ว่าค่อนข้างสาหัสอยู่เหมือนกัน คือ สำหรับคนที่ไม่เคยเล่นเกมมาก่อนซึ่งก็คงเป็นส่วนใหญ่ 80-90% อาจจะมีงงในหลายๆจุดอย่างแน่นอน มันยังกระทบถึงความรู้สึกที่มีร่วมต่อหนังด้วย เพราะหลายๆคนที่ไม่เคยเล่นเกมมาก่อน ก็คงสงสัยว่า ทำไมไอ้ตัวนี้ตัวนั้นมันต้องเป็นแบบนี้ ทำไมเนื้อเรื่องมันเป็นแบบนี้ อะไรทำนองนี้ อย่างแน่นอน เรียกได้ว่าจุดนี้ตัดสินลำบากครับ เพราะ ต้องเลือกระหว่าง ได้ใจแฟนเกม หรือ ได้ใจคนดูทั่วไป
โดยขอเพิ่มข้อเสียโดยในฐานะของแฟนเกมเข้าไปอีกนิดนึงด้วย เช่น ความโหดที่ส่วนตัวคิดว่ายังไม่โหดมากพอนัก ตุ๊กตา Mascot ของเกม ที่ใส่มาเยอะเกินไปจนรู้สึกว่ามันไร้ความหมาย ถ้าหากใส่ไว้ซัก 1-2 ฉากแอบๆไว้เนียนๆหน่อยแล้วให้แฟนๆไปหากันเอาเองน่าจะรู้สึกดีกว่า เพราะมากขนาดนี้มันเหมือนเป็นการยัดเยียดให้ดูอารมณ์ประมาณว่า "เนี้ย Mascot Silent Hill ดูซะ!!" กับความสว่างของฉากแต่ละฉากในเรื่องที่ส่วนตัวคิดว่ามันสว่างมากเกินไปจนดูไม่ค่อยจะลุ้นระทึกซักเท่าไร หากมืดกว่านี้แล้ว ใช้ไฟฉายให้เป็นดั่ง แสงสว่างที่เหลืออยู่อันน้อยนิดท่ามกลาง ดงปีศาจและความมืดมิด น่าจะดูสยดสยองและน่ากลัวกว่าเยอะ (แต่ถ้าทำแบบนี้ออกมาก็จะมีหลายๆคนไม่ชอบอีกแน่นอน)  ฉากจบที่ถ้าเป็นฉากจบ Silent Hill จริงๆ จะต้องเลวร้ายกว่านี้เยอะ (จบดีที่สุดในเกมคืออะไรที่คุณคิดว่าแย่แล้ว แต่ถ้าจบแบบเลวร้ายที่สุดในเกม คืออะไรแบบที่ โคตรแห่งความเลวร้ายที่จะเป็นได้)




Silent Hill : Revelation 3D ถึงแม้จะเป็นภาพยนตร์ที่มีข้อเสียใหญ่ๆอยู่ไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว แต่ถึงแม้จะนับเพียงให้มันเป็นแค่ภาพยนตร์ ตกใจ ผี ทั่วๆไปก็ยังถือเป็น ภาพยนตร์แนวผี ที่หายากมากๆอยู่ดี เพราะเอาเข้าจริงหนังผีสมัยนี้มักกินมุขเดิมๆ จนแทบจะหาความสยองไม่เจอแล้ว แต่ Silent Hill : Revelation 3D กลับสามารถมอบสิ่งนั้นให้คุณได้ (ต้องขอบอกไว้ก่อนเลยว่าผู้เขียนดูหนังผีมาเยอะมากจนเดามันได้แทบทุกฉาก ยิ่งหาเรื่องไหนที่กลัวจริงๆนี้ยาก แต่เรื่องนี่ขอยืนยันว่า ถึงแม้อาจจะไม่น่ากลัวมากนัก แต่ความสยดสยอง ความตื่นเต้นนี้ กินเต็มๆ) ยิ่งถ้าหากมองมันเป็นภาพยนตร์ที่มีต้นแบบมาจากเกมแล้วล่ะก็ แทบไม่ต้องสงสัยเลยว่า มันทำออกมาได้สุดยอด และยอดเยี่ยมแค่ไหน ยิ่งเราไปเทียบกับภาพยนตร์ที่ทำมาจากเกมเรื่องอื่นๆ เราก็ยิ่งรู้สึกว่าเรื่องนี้มันเจ๋งจริง มันเทพจริง เพราะฉะนั้น ในความคิดส่วนตัวของผู้เขียน(ย้ำว่าความคิดส่วนตัวนะครับ) ผมไม่อายที่จะบอกคนอื่นเลยว่าภาพยนตร์เรื่อง Silent Hill : Revelation 3D คือภาพยนตร์ที่สร้างและมีต้นแบบมาจากเกมที่ดีที่สุดในตอนนี้เลยทีเดียว เพราะฉะนั้นยิ่งคุณเป็นแฟนเกม Silent Hill แล้วล่ะก็ ไม่ว่ายังไงคุณห้ามพลาดเรื่องนี้เป็นอันขาด คิดไปคิดมาแล้ว หรือนี้จะเป็นอีกความหวังของ Hollywood สำหรับภาพยนตร์ที่มีต้นแบบมาจากเกม จากที่ผ่านมา เฟลแทบจะทุกเรื่อง (เรื่องที่ไม่เฟลก็ใช่ว่าจะดี) แต่เรื่องนี้กลับแหวกมาเลย เหมือนเป็นดั่งแสงสว่าง สำหรับภาพยนตร์ที่มีต้นแบบมาจากเกม ในอนาคต ? คำถามนี้คงต้องรอลุ้นกันต่อไปว่า พวกเขาเอาจริง หรือ แกล้งปล่อยให้เราดีใจ


" Welcome Back To Silent Hill "




Final Score :  B  ( แต่คะแนนความชอบให้เต็มเลย )






(ENGLISH)




The Good :
- All the scary stuff , horror stuff , blood and gore all of those things in Silent Hill games is in here !
- Make you exciting all the time
- You can't guess what's going to happen next in the movie because it's going to surprise you all the time
-  Scary as hell 
- Lots of stuff that make fans of Silent Hill games satisfied
- Lots of awesome scene
- NOW YOU CAN SAY THAT THIS MOVIE IS SILENT HILL THE REAL ONE ( not like resident evil.....)



The Bad :
- Wasted of Character usage ( Some Character just show up 10 freaking second and then they're gone for entire movie , I mean what ?)
- If you're not fans of the game some scene or some stuff in the movie will make you confused



Suggestion : Even if you're not the fans of the game but you love Horror Movies you must see this movie and if you're fans of the game too you can't do anything but to see this movie even all the bad stuff you'll face but when you compare with the good stuff that's when you found out that you just saw the greatest movie from game of all time.





Final Score : B








Thankyou to :  Silent Hill : Revelation 3D ( 2012 )  Konami , IMDB for information

วันเสาร์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2555

Paranormal Activity 4 ( 2012 ) Movie Review

Movie Review





Movie Name : Paranormal Activity 4 ( 2012 ) , Horror / Thriller
Director : Henry Joost , Ariel Schulman
Stars :  Katie Featherston ( Paranormal Activity 1 , 2 , 3 )









(MOVIE REVIEW)
(THAI)







Paranormal Activity เป็นภาพยนตร์แนวถือกล้องถ่ายเองอีกเรื่องหนึ่งที่ทำรายได้แบบเรียกได้ว่าถล่มทลาย และใช้ต้นทุนที่น้อยยยมาก จึงเป็นเหตุที่ มีภาคต่อมา เรื่อยๆ เรื่อยๆ เรื่อยๆ



เรื่องราวของ Paranormal Activity 4 สำหรับคนที่เคยดูภาคก่อนๆมาแล้วก็คงแทบไม่ต้องเดาเลยเพราะเรื่องราวมันก็เดิมๆทุกภาค ก็คือ ครอบครัวๆหนึ่ง เจอผี ก็เลยตั้งกล้องไว้ แค่นั้นแหละ



ในด้านแสงสว่างของ Paranormal Activity Series นั้นเอาจริงๆเริ่มที่จะสิ้นหวังมาตั้งแต่ภาค 3แล้ว เพราะ ไม่รู้ทางผู้สร้างหมดมุข หรือขี้เกียจจะคิด อย่างไรไม่ทราบ เนื้อเรื่องมันถึงได้ไร้ความน่าสนใจ และ เละเทะ เยี่ยงนี้ ยิ่งฉากตกใจที่ภาคแรกๆเรียกได้ว่าช็อคหลายคน แต่ภาคหลังๆมาชัก ซ้ำซาก เดิมๆ น่าเบื่อ ซึ่งต้องขอบอกว่า ในภาค 4 นี้นั้น ต้องเรียกว่า "สิ้นหวัง" อย่างแท้จริง


สำหรับท่านที่เคยดู Paranormal Activity Series มาแล้วยิ่งคุณดูมาตั้งแต่ภาคแรกแล้วนั้น ขอแนะนำให้ท่านผ่านเรื่องนี้ไปชมหนังผีอย่าง Silent Hill 2 , Sinister หรือ จะหนังแนวอื่นก็ว่าไป ดีกว่า แต่ถ้าท่านเป็นแบบผมคือ ไหนๆก็ดูมาตั้งแต่ภาคแรกแล้วจะไม่ดูต่อก็กระไรอยู่ ก็ต้องทนดูต้องไปครับ....


สาเหตุที่ทำไมผมถึงไม่อยากให้ท่านไปดูน่ะหรอ ? ก็เพราะว่า Paranormal Activity 4 (ต่อไปผมจะขอเรียกสั้นๆว่า PA4) นั้น ล้มเหลว ชนิดที่ต้องใช้คำว่า "อย่างรุนแรงมาก" ในด้านความตกใจ ความหลอน เพราะมันแทบจะไม่มีเลย คุณจะเดาฉากตกใจได้ทุกฉาก ย้ำว่าทุกฉาก ผมไม่ได้โม้ไม่ได้โกหก แต่อย่างใด เพราะมุขของ PA4 นั้น เรียกได้ว่าโคตรแห่งความขี้เกียจคิด เพราะลอก มุขทุกๆภาคมาหมด ตั้งแต่ภาคแรกยันภาคสาม ไม่ว่าจะมุข ไอ้นู้นไอ้นี้ตก มุขประตูขยับ มุขลอยไปลอยมา บลาๆๆๆอะไรก็ว่าไป ซึ่งมันทำให้จุดเด่นของ PA Series นั้นหายไปในบัดดล คิดดูครับ ภาพยนตร์ตกใจ หลอน ที่คุณดูแล้วไม่รู้สึกตกใจมันซักกะนิด กลับกัน คุณกลับเดาและชี้เป็นจุดๆมองเป็นจุดๆได้เสียหมดทุกฉาก ต้องใช้คำว่า คุณจะรู้สึก สมเพศมุขนั้นซะมากกว่าอีก



PA นี้ก็ภาค 4 แล้ว มันควรจะมีอะไรใหม่ๆ ให้คนดูตะลึง ให้เรารู้สึกว่าอยากรู้ว่าภาคต่อไปมันจะเป็นยังไงได้แล้ว  แต่นี้กลับใช้มุขเดิมๆ หากินง่ายๆ กันอย่างหน้าด้านๆ ซึ่งพวกเราก็รู้กันอยู่ดี(แต่ส่วนตัวไม่คิดว่าจะหนักขนาดนี้)  ยังไม่นับฉากจบที่จบได้แสนจะทุเรศ และน่าอนาจมาก เหมือนผกก.จะพูดว่า "กุว่ากุนึกอะไรไม่ออกแล้วว่ะ ตัดจบเลยละกัลลล์ " ซึ่งฉากจบที่ควรจะแสนช็อคคนดู กลับแทบไม่ได้ต่างอะไรจากภาคที่แล้ว และยังสุดจะธรรมดา เดาง่ายอีกเช่นเคย ยังไม่นับฉากที่ถูกตัดออกไปอย่างน่าเกลียดทั้งๆที่มีอยู่ในตัวอย่าง และมันดูน่ากลัวเอามากๆด้วย ไม่เข้าใจว่าพยายามขาย DVD เพื่อให้คนอยากดู Delete Scene หรืออย่างไร



นี้เป็นเหตุผลที่ทำไม Series Paranormal ถึงได้ต้องใช้คำว่า "วิกฤต และล้มเหลวอย่างรุนแรงมาก"  เพราะหากภาพยนตร์ที่แม้แต่จุดหลัก จุดขายของมัน ยังทำออกมาแบบลวกๆ เอาง่ายเข้าว่า และล้มเหลวแบบนี้ คุณลืมเรื่องอื่นๆในหนังไปได้เลย เหมือน นักฆ่าที่ไม่ฆ่าแต่กลับนั่งกระดิกขารับเงินจากผู้จ้างฆ่าแบบชิวๆอย่างนั้นเลย ซึ่งน่าเสียดายอยู่มาก เพราะถ้าเรามานั่งคิดๆดูแล้ว Series Paranormal Activity ในตอนนี้ถ้าจะเกิดอะไรที่มันเวอร์ๆมาก ก็คงไม่น่าแปลกใจอยู่แล้ว มากไปกว่านั้นมันจะยิ่งดูเทพ ดูสนุก ทำให้เรารู้สึกอยากจะดูต่ออีก แต่ไม่เลย ผมขี้เกียจครับ แต่ผมอยากได้เงินง่ะ ทำไงดี ก็ใช้มุขเดิมๆไง !! ยังไงก็มีคนดูอยู่แล้ว เย้ !!



แต่ถ้าคุณไม่เคยดู Paranormal Activity Series มาก่อน อาจ ต้องใช้คำว่าอาจ คุณอาจจะ สนุกไปกับมันก็ได้นะ แถมคุณได้เหมือน ซื้อ 1 แถม 3 เพราะมุขที่คุณชมนั้น จะเป็นการผนวกทุกภาคมารวมกันหมด คุ้มซะยิ่งกว่าคุ้ม ! คุณอาจจะมีงงๆบ้างในหลายจุด แต่นั้นก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรมากมายนัก



Paranormal Activity 4 เป็นภาพยนตร์สยองขวัญภาคต่อที่เรียกได้ว่า "ขยะ" อย่างแท้จริง นอกจาก จะหน้าด้านมักง่าย กินมุขเดิมๆ แป๊ค ยังทำลายสิ่งที่เรียกได้ว่าเป็นความน่ากลัวของซีรียส์ PA ไปเสียหมดจนแทบจะไม่เหลือชิ้นดี หรือนีอาจจะถึงจุดวิกฤษหรือจุดอิ่มตัวของ PA กันแน่ อาจจะเป็นจุดจบแล้วก็เป็นได้ แต่ไม่รู้ทำไมผมก็ยังรู้สึกว่า ยังไงก็คงต้องมีภาคต่อแน่นอน....





Final Score : D





 (ENGLISH)



The Good :
- If you're new for the Paranormal Activity Series this will be fun to watch
- Hey at least you know what happen next in PA Series !




The Bad :
- LAZY , BORING , PREDICTABLE SCREENPLAY
- LAZY , BORING , PREDICTABLE SHOCKED SCENE THAT YOU CAN EVEN KNOW WHAT'S GOING TO HAPPEN NEXT
- LAZY , BORING , PREDICTABLE ENDING 
- LAZY , BORING , PREDICTABLE GAGS THAT JUST COMBINE ALL THE GAGS FROM PA 1-3 AND JUST THROWN IT TO YOUR FACE
- HOW'S YOU GONNA CALL THIS MOVIE TYPE ? HORROR ? NO IT'S NOT HORROR BECAUSE YOU NOT EVEN SCARE OR SHOCKED IN EVEN ONE FREAKING MINUTE WHILE YOU WATCHING IT THE ONLY SHOCK YOU WILL GET IS HOW MUCH YOU FELL SORRY FOR YOUR SELF TO WATCH THIS MOVIE



Suggestion: THIS MOVIE IS GARBAGE RUINED ALL THE MAGIC AND HORROR STUFF THAT PARANORMAL ACTIVITY HAVE AND USE THEIR LAZY ASS TO USE ALL THE SAME GAGS AND SHOCKED SCENE FROM THEIR PREVIOUS MOVIE USE IT OVER AND OVER AND OVER AND OVER AND OVER AND OVER AND OVER AND OVER AND OVER AGAIN DON'T I REPEAT DON'T SEE THIS MOVIE  THIS IS JUST COMPLETELY GARBAGE THE ONLY WORD I CAN SAY TO THIS FRANCHISE IS " HOPELESS "





Totally Score : D





Thankyou to : Paranormal Activity 4 ( 2012 ) , IMDB For information

วันพุธที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2555

Resident Evil : Damnation ( 2012 ) Movie CG Review

Movie Review





Movie Name : Resident Evil : Damnation ( 2012 ) , Animation / Horror / Action / Thriller
Director : Makoto Kamiya ( Resident Evil : Degeneration ) 
Stars ( Voice ) : Matthew Mercer ( Resident Evil 6 Game Voice  ) , Courtenay Taylor ( Resident Evil 6 Game Voice )
Rating : R ( Lots of Violence , Horror Themes , Some Sexual Theme )







(REVIEW)
(THAI)



                                                                         Resident Evil : Damnation เป็นภาพยนตร์ CG Animation ของซีรียส์ Resident Evil ที่รู้สึก ซีรียส์นี้มันจะมีไปทุกสรรพสิ่งแล้ว ไม่ว่าจะเป็น ภาพยนตร์คนแสดงที่เพิ่งเข้าโรงไปไม่นานนี้เอง ( Resident Evil : Retribution ) หรือแม้กระทั่งเกมเองก็เพิ่งจะออกไปหมาดๆ ( Resident Evil 6 ) และตอนนี้ก็ออกมาอีกคือภาพยนตร์ CG ( Resident Evil : Damnation ) แถมสามเรื่องนี้ยังออกมาใกล้กันมาก ชนิดที่รู้ได้เลยว่าทาง Capcom (บริษัทเกมต้นกำเนิด Resident Evil) ได้วางแผนไว้แล้วอย่างแน่นอน


Resident Evil : Damnation นั้นได้ตัวผู้กำกับคือ Makoto Kamiya ซึ่งก็เป็นคนเดิมจากภาพยนตร์ CG ภาคที่แล้วคือ Resident Evil : Degeneration นั้นเอง ซึ่งก็ไม่ได้น่าแปลกใจเท่าไร เพราะ ภาค Degeneration นั้นก็สนุกไม่ใช่น้อย



Resident Evil : Damnation เป็นเรื่องราวต่อจากภาค Degeneration  เลออน หรือ ท่านใดจะเรียก เลออน ก็ว่าไป ได้ตามไปที่จุดสงครามๆหนึ่งบนโลก ซึ่งคาดว่าจะมีเรื่องราวของ B.O.W.s (Bio Organic Weapons)  มาเกี่ยวข้องซึ่งเขาก็ไม่ได้คาดผิดแต่อย่างใด เมื่อ B.O.W.s ก็ได้ถูกนำมาใช้ในทำสงครามจริงๆ เขาจึงต้องหยุดยั้งทุกๆอย่างเสีย เพื่อไม่ให้ทุกอย่างเลวร้ายไปกว่านี้



Resident Evil : Damnation นั้นถือได้ว่าทำออกมาค่อนข้างจะดีในหลายๆด้านที่ Resident Evil ควรจะเป็นเลยทีเดียว (บางคนถึงกับว่าดีกว่าหนังหลายพันเท่า) เพราะ เราจะเห็นได้ชัดจากภาคนี้เลยว่า การที่ เลออน หรือ ลีออน สู้กับพวก B.O.W.s นั้นไม่ได้ง่ายเลย แต่เต็มไปด้วยความยากลำบาก กว่าจะฆ่าแต่ละตัวได้ เพราะเราต้องอย่าลืมว่าถึงแม้ตัวเอกของเราจะผ่านอะไรมามากมาย แต่เขาก็ยังคงเป็นเพียงแค่มนุษย์ ซึ่งมันค่อนข้างจะสอดคล้องกับในเกม ที่กว่าจะฆ่าได้แสนยากเย็นเหลือเกิน ไม่ใช่แบบฉบับหนังคนแสดงที่ อลิซ แค่เดินผ่าน มันก็ตายแล้ว จึงทำให้ดูสมจริงมากขึ้น ดูเครียดมากขึ้น กว่าเดิม ซึ่งนี้เป็นจุดหลักๆที่ทำให้ภาคนี้ เรียกได้ว่าน่าสนใจมากๆ


นอกจากนั้นฉาก Action ในภาค Damnation นั้นเรียกได้ว่า จัดการมาแบบเต็มสตรีมจริงๆ ระเบิดตูมตาม ยิงกันหูตับดับไหม้ วิ่งกันทั้งเรื่อง เลยทีเดียว ฉากไหนที่คุณดูๆแล้วว่า ว่ามันสุดยอดแล้ว มันก็จะมีฉากที่สุดยอดกว่าตามมาเสมอๆ แถมฉาก Action แต่ละฉาก ก็ไม่ได้ดูเวอร์จนเหมือนตัวเอกเป็นพระเจ้าแบบในฉบับคนแสดง เลยแม้แต่น้อย ยิ่งทำให้เรารู้สึกมันส์ได้อย่างไม่ยากเย็น ไม่ว่าคุณจะเป็นแฟนจากเกม หรือแฟนจากภาพยนตร์คนแสดง 


บทของภาค Damnation นั้นก็น่าสนใจอยู่ไม่น้อยด้วยรายละเอียดบางจุดที่แปลกแหวกดี ซึ่งตัวผมไม่อยากจะสปอยเก็บไว้ให้ไปดูเองดีกว่า


ที่น่าเสียดายมากๆๆๆๆอีกอย่างหนึ่งของ Resident Evil : Damnation คือในบ้านเราไม่มีการนำมาฉายในโรงภาพยนตร์ เพราะภาคนี้เขาจงใจทำมาสำหรับ 3D เลยทีเดียว ซึ่งจากที่ดูๆแล้ว ฉาก 3D ในภาคนี้ค่อนข้างจะ สวย เทพ งามๆๆ และน่ากลัว ทั้งนั้น เหมาะกับการดู 3D อย่างยิ่ง      (ไม่ใช่สโลว์เรื่อยเปื่อยมุขเดิมๆแบบ ฉบับคนแสดงนะ = = ) แต่ในเมื่อบ้านเราดิ่งตรงลง DVD อย่างเดียวก็ต้องทำใจแหละครับ....


แต่....ถึงกระนั้น Resident Evil : Damnation ก็ยังมีจุดบกพร่องที่เห็นได้ชัดเจนอยู่หลายจุดเช่นกัน อย่างแรกและเป็นปัญหาที่เรียกได้ว่ารุนแรงที่สุดสำหรับท่านที่ดู พากษ์ภาษาอังกฤษ หรือไม่ได้ดู ต้นฉบับที่พูดภาษาญี่ปุ่น เพราะ การลิบซิ๊งค์ นั้นทำได้ชนิดที่เรียกว่าห่วยแตกมาก คือเห็นได้ชัดเลย ว่าปากกับคำพูดนั้นไม่ตรงกันเอาเสียเลย ซึ่งมันก็น่ารำคาญอยู่มาก แถมยังเป็นทั้งเรื่องอีกต่างหาก OMG ...... เรื่องเสียงพากษ์อารมณ์มันโอเคนะครับ แต่มันไม่ตรงกับปากในภาพนี้สิ หนัก..... นอกจากนั้นตัวบทนั้น ถึงแม้จะน่าสนใจอยู่หลายจุด แต่ถ้าเรามองบทรวมๆใหญ่ๆแล้ว มันก็ยังคงไม่ได้แตกต่างไปจากฉบับ คนแสดงซักเท่าไรเลย ก็แค่ไปยิง B.O.W.s เช่นเคย เท่านั้นไม่พอ ฉากช่วงแรกๆของเรื่องนั้น ค่อนข้างจะอืดอยู่บ้าง ทำให้นั่งๆอยู่ช่วง 20 นาทีแรก แทบอยากจะปิดไปดูอย่างอื่น ....



Resident Evil : Damnation เป็นภาพยนตร์ CG Animation ที่เรียกได้ว่าเป็นภาคที่เริ่มจะใส่ใจอะไรหลายๆอย่างมากขึ้น ดูสมจริงมากขึ้น ดูไม่เอาง่ายๆระเบิดตูมตามแล้วจบอย่างเดียวเข้าว่า ซึ่งเป็นจุดที่ค่อนข้างทำให้แฟนๆพอใจได้ไม่ยากเลยทีเดียว ถึงแม้ข้อเสียจะมีอยู่มากมายแหละหนักพอตัว แต่หากแฟนๆ Resident Evil พอที่จะมองข้ามไปได้บ้าง คุณก็จะสนุกได้ไม่ยากเลย กับ Resident Evil : Damnation



Final Score : B






(ENGLISH)



The Good : 
- Now B.O.W.s ( Bio organic Weapons ) is more hard too kill like in the game ( not god  power like Resident Evil Movies )
- Full of Action and Satisfied all the time
- Lot's of Scary Scene that's make us can say this is Resident Evil ( again , not like Resident Evil Movies )
- Fun to watch


The Bad :
- Very Very Bad lip-sync  ( For English Voice )
- First 20 Minutes is just so boring....




Suggestion : Resident Evil : Damnation is the new hope of Resident Evil Franchise it's has scary stuff , B.O.W.s is now very hard to kill like the games and full of satisfied action scene that     makes you don't won't to miss it.




Totally Score : B






Thankyou to : Resident Evil : Damnation ( 2012 ) Capcom , IMDB for information

วันจันทร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2555

Looper ( 2012 ) Movie Review

Movie Review






Movie Name : Looper ( 2012 ) DMG Entertainment , Action / Sci-Fi / Thriller
Director : Rian Johnson (also writer)
Stars : Joseph Gordon-Levitt ( The Dark Knight Rises , Inception , 50/50 ) , Bruce Willis ( Die Hard , The Sixth Sense , RED ) , Emily Blunt  ( The Devil Wears Prada , The Adjustment Bureau)
Rating : R ( Sexual Theme , Violence Scene )






(REVIEW)
(THAI)



                                                                         Looper เป็นภาพยนตร์ Action / Sci-Fi / Thriller ที่เป็นที่น่าจับตามองเอามากๆ เพราะนอกจากกระแสวิจารณ์ในต่างประเทศ ที่ให้คะแนนเยอะแบบชนิดที่หาภาพยนตร์ที่ได้เยอะขนาดนี้ยากและบางเจ้าถึงกับยกให้เป็นภาพยนตร์ Sci-Fi แห่งปีเลยด้วยซ้ำ


Looper นั้นจะว่าไปแล้วถ้าเราลืมเรื่องบทไปซักพักเราก็จะพบว่า ดารานำ ดังๆนั้นได้มาอยู่เรื่องนี้แล้ว ไม่ว่าจะเป็น Joseph Gordon-Levitt ซึ่งช่วงนี้กำลังฮ็อตฮิต ติดชารจ์ท็อปเท็นมาก เนื่องจากได้ฝากผลงานระดับชิ้นโบว์แดงไว้หลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ทะลวงความคิด Inception หรือแม้กระทั่งภาพยนตร์ปิดฉากฮีโร่อัศวินรัตติกาล The Dark Knight Rises และเมื่อเขาต้องปะทะกับ เจ้าพ่อแห่งภาพยนตร์ Action อย่าง Bruce Willis ที่คงไม่ต้องพูดชื่อภาพยนตร์หลายๆคนคงจะนึกออกนับไม่ถ้วนเลยทีเดียว ซึ่งลุง Bruce เองก็เพิ่งจะปล่อยตัวอย่างภาพยนตร์ภาคต่อของเขา Good day to Die Hard มาหมาดๆ ซึ่งทำให้ความมันส์ระหว่างรุ่นใหม่กับรุ่นเก๋า จึงบังเกิด !!


Looper นั้นเป็นฝีมือการกำกับของ Rian Johnson ซึ่งตัวเขาเองก็เป็นคนเขียนบทเองอีกด้วยซึ่งค่อนข้างน่าแปลกใจเพราะเป็นผู้กำกับที่ไม่ค่อยจะมีใครรู้จักนัก แต่เขาก็ได้พิสูจน์ฝีมือตัวเองแล้วในเรื่องนี้ ว่าเขานั้น เทพเมพแค่ไหน ซึ่งเอาจริงๆก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไร เพราะฝีมือการกำกับของเขาในภาพยนตร์เรื่องก่อนๆ ก็ได้คะแนนใน IMDB ค่อนข้างเยอะพอสมควร


Looper นั้นว่าด้วยเรื่องของอนาคตในอีก 30ปีข้างหน้าที่เวลาเราอยากจะฆ่าใครสักคนเนี้ยมันช่างยากเย็นแสนลำบากในการซ่อนอำพรางแต่มันจะไปยากอะไรหากเราสามารถที่จะส่งมันย้อนเวลากลับไปแล้วฆ่าเสีย ? Joe พระเอกของเราทำหน้าเป็น Looper ผู้ซึ่งทำหน้าที่ฆ่าคนที่ถูกส่งมาจากอนาคตโดยแลกเปลี่ยนด้วยการที่เขาจะได้ทองกลับมา แต่ Looper นั้นมีกฏอยู่ว่าห้ามปล่อยให้เป้าหมายหลบหนีได้โดยเด็ดขาด ซึ่งมันดูเหมือนจะง่ายแสนง่าย แต่จะเป็นอย่างไร ถ้าเป้าหมายที่คุณกำลังจะสาดกระสุนใส่นั้น เป็น "ตัวของคุณเอง" ในอนาคต ? คุณจะยอมยิงเพื่อรับเงินก้อนโตแล้วอยู่อย่างสุขสบายไปอีก 30 ปี แล้วรอวันตาย หรือ จะยอมปล่อยเขาไปโดยแลกกับการอาจจะถูกไล่ล่าและตายในวันนี้แทน ? 


แค่บทนั้นก็เรียกได้ว่าโคตรอภิมหาน่าสนใจเลยทีเดียว ซึ่งเราจะมาว่ากันในเรื่องนี้กัน บทของ Looper นั้นเรียกได้ว่าแทบจะ Perfect จริงๆ แถมเอาจริงๆมันค่อนข้างจะแอบคล้ายๆกับความคิดและการวิธีการถ่ายทอดแบบ Christopher Nolan (ผู้กำกับ Inception , The Dark Knight) อยู่ไม่น้อยซึ่งนั้นก็หมายความว่ามันสุดยอดเอามากๆนั้นเอง ด้วยคุณภาพบทที่ทำให้คุณรู้สึกถึงพลัง และภาระที่ตัวละครแบกอยู่ ซึ่งไม่สามารถจะอธิบายได้เลย นอกจากนั้นยังทำให้คุณไม่อยากแม้กระทั่งจะกระพริบตาว่าตอนจบจะเป็นอย่างไร ? แล้วจะเกิดอะไรขึ้น ? 


ภาพยนตร์ส่วนใหญ่ที่บทดีนั้น มักจะมีฉาก Action ที่ไม่ได้หวือหวาอะไรมากมายนัก แต่ไม่ใช่กับ Looper เพราะฉาก Action มันดูฉลาด ดูสนุก และยังใส่มาพอดีๆให้เท่าเทียมกับความต้องการของภาพยนตร์ ไม่ใช่ใส่มายัดๆๆๆจนมันดูอะไรไม่รู้เรื่องไปหมดแบบหลายๆเรื่องเลยแม้แต่น้อย ซึ่งในฉาก Action แต่ละฉากก็มีคำอธิบายของมันเอง หากคุณตั้งใจดูให้ดีๆ คุณจะไม่รู้สึกว่ามัน เวอร์ หรือ เกินจริงเลยแม้แต่น้อย


ถ้าจะให้พูดถึงข้อเสียของ Looper นั้นก็ใช่ว่าจะหาไม่ได้อยู่ เพราะบางช่วงของภาพยนตร์นั้นค่อนข้างจะเป็นมาม่าใส่น้ำไว้นานเกินไป(อืด) ซะไปหน่อย แต่ช่วงนี้ถ้าใครๆที่รู้เรื่องภาพยนตร์อยู่บ้างน่าจะเข้าใจว่าทำไมเขาถึงทำแบบนั้น จึงจะเรียกว่าข้อเสียก็ไม่ใช่ซะทีเดียว
และนอกจากนั้น จะว่าไปจะเรียกว่าข้อเสียก็เป็นได้ ก็คือการที่ภาพยนตร์นั้น "อิ่ม" เกินไป คือ Perfect มากเกินไป จนไม่มีอะไรจะให้มาพูดกันต่อๆไป ได้เลย ประทับใจหนะประทับใจ แต่มันเหมือนไม่ทิ้งอะไรไว้ให้เท่าไร เหมือนอารมณ์ประมาณ เล่นเกมเทพๆแต่ด่านเดียวจบ Perfect อะไรแบบนั้น ซึ่งหลายๆคนอยากให้มีอะไรมากกว่านั้น แต่ก็อีกแหละข้อนี้จะว่าเป็นข้อเสีย เสียทีเดียวก็ไม่ถูก 


Looper  เป็นภาพยนตร์ Action / Sci-Fi / Thriller แห่งปีหรือจะเรียกว่าแห่งทศวรรษก็เป็นได้ ด้วยบทที่สุดยอด Perfect จนหารูโหว่แทบไม่เจอ เรียกได้ว่าเพราะความ Perfect นั้นอาจจะทำให้หลายๆคนไม่ชอบก็เป็นได้เลยทีเดียว นอกจากนั้นก็ยังเป็นภาพยนตร์ บทเยี่ยม Action พอดีพองามและไม่ได้ทำแบบเผางานไปที เลย อีกด้วย จึงเป็นภาพยนตร์ที่ยังไงผมก็ยืนยันว่าห้ามพลาดเด็ดขาด !!




Final Score : A







(ENGLISH)



The Good :
- Joseph + Bruce = Awesome
- Perfect & Awesome Screenplay
- Very Very Interesting Story
- Action Scene that not too much but not too less
- Great Acting
- This Movie will makes you don't want too go anywhere even a toilet while you watching !
- Almost Can't Find Bad things in Looper


The Bad :
- Because of it's Perfect it's left nothing to talk about



Suggestion : Looper is a Perfect Movie that you shouldn't skip and must see it without hesitate.




Final Score : A










Thankyou to : Looper ( 2012 ) , IMDB for information

Taken 2 ( 2012 ) Movie Review

Movie Review





Movie Name : Taken 2 ( 2012 ) 20 Century Fox , Action/Thriller
Director : Olivier Megaton ( Colombiana , Transporter 3 )
Stars : Liam Neeson ( Wrath of Titans , Batman Begins ) , Famke Janssen ( X-Men ) , Maggie Grace ( Taken , Lockout ) 
Rating : PG-13 ( Some Violence )




(REVIEW)
(THAI)



                                                               Taken 2 เป็นภาพยนตร์ภาคต่อของภาพยนตร์แอ๊คชั่่นชื่อดังอย่าง Taken ภาคแรก ซึ่งในตอนแรกนั้น ทางค่ายเอง ก็ไม่ได้คาดหวังว่ามันจะได้กำไรอะไรขนาดนั้น แต่ด้วยความมันส์จนแทบจะกระโดดออกจากที่นั่ง และเสียงเล่าต่อกันมา ทำให้รายได้ภาคแรกของ Taken นั้นออกมาจำนวนมากกว่าที่ใครๆคิดเอาไว้ ซึ่งนั้นก็เป็นเหตุผลที่ไม่น่าแปลกใจเลย ที่จะมีภาคต่อ ออกมาให้พวกเราได้ชมกัน


Taken 2 นั้นดารานำแสดงนั้นก็คือ ป๋า Liam Neeson สุดเท่ สุดเทพ ที่รู้สึกช่วงนี้จะแสดงบ่อยมาก บ่อยจนคอหนังหลายๆคนที่ดูหนังเยอะๆแทบจะเบื่อหน้า ป๋าแกเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น Wrath of Titans , Battle Ship , The Grey , Unknow หรือแม้กระทั่งภาพยนตร์แห่งปีอย่าง The Dark Knight Rises ป๋าแกก็ไปร่วมด้วย ซึ่งแต่ละบทที่ ป๋า Liam รับนั้น แสดงให้เห็นได้เลยว่า อายุเป็นเพียงแค่ตัวเลขเท่านั้น เพราะดูจากเรื่องแต่ละเรื่อง ไม่ว่าเรื่องไหนๆ ป๋าแกก็บู้แหลกกระจายทุกเรื่อง (ยกเว้น Battle Ship กับ The Dark Knight Rises จะน้อยหน่อย) 


ส่วนทางด้านผู้กำกับของ Taken 2  นั้นก็คือ Oliver Megaton ซึ่งฝากผลงานไว้เร็วๆนี้อย่าง Colombiana หรือแม้กระทั่งหนังเฮียโล้นซ่า Transporter 3 ซึ่งทั้งสองเรื่องก็เป็นภาพยนตร์แอ๊คชั่นที่มันส์สุดๆ ทั้งสองเรื่อง จึงไม่น่าแปลกใจเลย ที่ทำไม Oliver ถึงได้ถูกดึงตัวมากำกับ Taken 2 


Taken นั้นว่าด้วยเรื่องราวของ Bryan ที่ลูกสาวของเขาได้ถูกลักพาตัวไปและเขาก็ไปตามสุดล่าฟ้าเขียวไล่ล่า ฆ่าพวกที่จับลูกสาวของเขาไปให้สิ้นซาก จนสามารถช่วยลูกสาวของเขากลับมาได้ โดยประโยคเด็ดที่ ติดตา ติดใจ ติดหู คนดูนั้นก็คือ "ฉันไม่สนใจหรอกนะว่าแกเป็นใคร แต่ถ้าแกไม่ปล่อยตัวลูกสาวฉันล่ะก็ ฉันตามหาแก และ ฉันจะฆ่าแกซะ !!"โดยในภาคนี้ Taken 2 นั้นจะเป็นเรื่องราวคล้ายๆกันคือ โดน จับตัวไปเช่นกัน แต่คราวนี้ ไม่ใช่ลูกสาวของเขาแล้วที่ถูกจับตัวไป แต่เป็น ตัวเขา เอง กับ ภรรยาของเขานั้นแหละ !! แต่มีรึ ที่เขาจะยอมถูกเชือดง่ายๆ ? งานนี้ต้องจัดหนักให้มันรู้ซะบ้างว่าใครเป็นใคร 
"คราวนี้พวกมัน ลักพาตัวเขาไป แต่พวกมันยังรู้จัก เขาน้อยไป"


Taken 2 โดยหลักๆเราคงต้องมาพูดถึงเรื่องฉาก Action กันก่อน หลายๆคนคงมีคำถามอย่างเช่น มันมันส์ แบบภาคที่แล้วไหม ?  มันสนุกรึเปล่า ? และผมต้องขอตอบอย่างเต็มปากเต็มคำเลยครับ ว่าถ้าหากคุณมองหาภาพยนตร์มันส์ๆ ที่ไม่ใช่แค่วิ่งผ่านศัตรูแล้วศัตรูตายเองแบบหลายๆเรื่อง แต่แฝงไปด้วย ความเจ๋ง ความเท่ ความมันส์ สุดขีด คุณเลิกหาได้แล้วครับ เพราะ Taken 2 คือคำตอบของคุณ !! ด้วยฉากไล่ล่าที่สุดมันส์  ฉากต่อสู้ที่ทำให้คุณแทบไม่อยากจะลุกไปไหน เรียกได้ว่าปวดห้องน้ำ ก็คงต้องปล่อยมันตรงนั้นแหละครับ !!


ในด้าน บทนั้น Taken 2 ถือว่าทำได้ดี"ในระดับหนึ่ง" ด้วยเทคนิคการเล่าเรื่อง ที่ค่อนข้างน่าสนใจ วิธีแปลกใหม่  ค่อนข้างที่จะทำให้คนดูคล้อยตามได้ไม่ยากเลยทีเดียว


พูดถึงด้านหวานๆมาเยอะแล้ว ถึงเวลาลองของขมแล้วครับ Taken 2 นั้นถึงแม้จะเป็นภาพยนตร์ที่มันส์ บทน่าสนใจ ถูกใจคนดู แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีจุดด้อยอยู่บ้าง ไม่ว่าจะเป็น ฉากเอฟเฟคการตัดฉากไปมาตอนต้นเรื่องและบางช่วงของเรื่อง ที่ทำออกมาได้น่าปวดหัวอย่างมาก จนทำให้หลายๆคนบ่นกัน ถึงแม้มันจะดูเท่ไปอีกแบบ แต่ถ้าเท่แล้วพาเวียนหัวก็ไม่ไหวนะครับ.... 
นอกจากนั้นด้านบทของ Taken 2 เอาเข้าจริงๆแล้วเมื่อเรามองเข้าไปลึกๆดีๆแล้ว ยังไงหลักๆมันก็แทบจะไม่ได้ต่างอะไรจากภาคแรกเลย นอกจากสลับที่ระหว่างลูกสาวกับตัวของ Bryan เอง ซึ่งเอาเข้าจริงๆ บทภาคแรกก็ไม่ได้แตกต่างจากหนังตามตลาดทั่วไป ที่ไปช่วยคนนู้นคนนี้ ที่มีอยู่เกลื่อนถนน แถมด้วย ฉาก Action ท้ายเรื่องที่ดูไม่ได้ Epic หรืออลังการหรือมันส์ อย่างที่คาดหวังไว้ มันกลับดูประมาณว่า "โอเค ก็ดี" และน่าผิดหวังเสียมากกว่า


Taken 2 เป็นภาพยนตร์ Action / Thriller ที่มันส์และสนุกเรื่องนึงของปีนี้ถึงแม้ในหลายๆด้านดูเหมือนจะไม่ค่อยจะพัฒนาเท่าไรและจะกลายเป็นเริ่มๆถอยหลังลงคลองแล้วก็ตาม Taken 2 ก็ยังคงเป็นภาพยนตร์ที่ คอหนัง Action ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง 



Final Score : B






(ENGLISH)



The Good :
- Awesome Action Scene
- Interesting Story
- Great Actor
- Make you exciting  all the time


The Bad :
- Almost Repetitive Story ( Just Changed a bit of Pieces )
- Broken and uncool of some special effects & scene that make you feel dizzy
- Disappointed in last 20 minutes of movie



Suggestion : Taken 2 is a good Action movie even it's has a lot of troubles but it's still cool to watch it without any decision.




Totally Score : B






Thankyou to : Taken 2 ( 2012 ) , Twenty Century Fox , IMDB for information

วันศุกร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2555

Dredd 3D ( 2012 ) Movie Review

Movie Review





Movie Name : Dredd 3D ( 2012 ) Action / Sci-fi
Director : Pete Travis ( Vantage Point ) 
Stars : Karl Urban ( Doom , The Bourne Supremacy ) , Olivia Thirlby (  The Darkest Hour ) 
Rating : R ( Strong Violence , Drugs , Sexual Theme )





(REVIEW)
(THAI)


Dredd 3D ต้องขอบอกไว้ก่อนอย่างแรกเลยว่าตัวผมเองนั้นไม่ได้ชม Dredd ในเวอร์ชั่น 3D นะครับแต่ชมในโรงธรรมดา Dredd นั้นเป็นภาพยนตร์อีกเรื่องแล้วที่ผมเดาจากการดูตัวอย่าง ว่าห่วยแตกแน่นอน แต่พอมาดูจริง กลับสุดยอด กลับชอบ และต้องขอบอกอีกว่า Dredd 3D นั้นเป็นภาพยนตร์ที่ ไม่ควรให้เด็กอายุต่ำกว่า 18 ชมครับ เพราะ มีฉากดิบ เถื่อน โหด เยอะมาก มีการใช้ยา และยังมีฉากเกี่ยวกับเพศอีก
แต่ นี้แหละเป็นจุดที่ผมชอบเอามากๆใน Dredd เพราะในโลกแห่งความเป็นจริง เวลาฆ่ากัน เวลามีคนตายก็ต้องเป็นแบบนี้แหละ ไม่ใช่ฉากศพสวยเฟคๆแบบในหลายๆเรื่อง 




Dredd เป็นภาพยนตร์ที่ว่าด้วยเรื่องราวของ Dredd ตุลาการที่คอยพิพากษา เหล่าตัวร้ายในเรื่อง ซึ่งจะว่าไปก็คล้ายๆตำรวจนั้นแหละ แต่จะต่างตรงที่ Dredd นั้นมีสิทธิขาด ในการที่จะตัดสินใจ ได้เองทุกอย่าง ถ้าเขาเห็นว่าคุณสมควรตาย ล่ะก็ เตรียมตัวกินกระสุนได้เลย เพราะเขาไม่มีคำว่าปราณี โดยฉากในภาพยนตร์จะเป็นหลังจากสงครามอาวุธเคมี ซึ่งทำให้โลกนั้นเริ่มจะล่มสลาย และทำให้พื้นที่ๆปลอดสารพิษมีค่า แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ได้ทำให้จิตใจมนุษย์สำนึกซักเท่าไร เพราะก็ยังคงมีอาชญากรมากมาย การฆ่ากันแบบโหดร้ายทารุณ หรือการเสพยา Slow-Mo ซึ่งเป็นยาที่ทำให้ทุกอย่างดูช้าลง ในขณะ ที่ Dredd กำลังไปทำคดีในตึกเหล็กที่หนึ่ง แตดันซวยดันไปล้วงความลับผิดคน Ma-Ma ผู้ซึ่งเป็นคนคุมตึกนั้นจึงได้ล็อค Dredd เอาไว้กับ ตุลาการฝึกหัดคนนึง เอาไว้ข้างในซะ และสั่งให้ทุกคนในตึก ฆ่าพวก Dredd ซะ !! ความมันส์จึงบังเกิด



Dredd ถ้าพูดถึงในด้านบทนั้น จริงๆดูโดยรวมเหมือนจะไม่มีอะไรเลย นอกจาก ฝ่ายพระเอกถูกขังไว้ในตึกและต้องตามฆ่าฝ่ายตัวร้าย แต่ในภาพยนตร์ในแต่ละช่วง ก็แฝงไปด้วยความหมายมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการเสียดสี โลก เช่น สงคราม , เพศ , การกดขี่ข่มเหง , สังคมที่เน่าเละเทะ ได้อย่างดีเยี่ยม และบทก็ยังมีหลายๆจุดที่ทำให้รู้สึก สนุก และน่าติดตามอีกด้วย

ในด้านของฉาก Action นั้น คอดิบๆเถื่อนๆ น่าจะถูกในกันมากพอสมควร เพราะ ในเรื่อง Dredd นั้น เรียกได้ว่า ใจไม่แข็งพออาจจะปิดตาเอาง่ายๆ เพราะเรียกได้ว่า โหด สุดๆ เช่น ฉากที่โยนคนลงมาจากชั้นสูงๆลงมาชั้นล่างสุดก็เห็นตั้งแต่ ลอยกลางอาการ ยันหน้ากระแทกพื้นเลยทีเดียว โดยไม่มีการตัดมุมกล้องใดๆเลย เห็นหน้าแตก เลือดสาด กันชัดเจน และด้วย ตัว Dredd เองมีอาวุธที่น่าสนใจ และเปลี่ยนได้หลายรูปแบบ ทำให้เรารู้สึกสนุก และมันส์ตลอดเวลา ว่าต่อไปมันจะเกิดอะไรขึ้น แต่่ถ้าดูดีๆแล้ว เราจะเข้าใจได้ว่า Dredd นั้นไม่ใช่ประเภทวิ่งเดินผ่านแล้วศัตรูตายแบบในหนังแอ๊คชั่นหลายๆเรื่อง แทบทุกฉาก เขาจะมีวิธีการเสมอ เช่นใช้ระเบิดแสงก่อน ใช้กระสุนพิเศษ เป็นต้น 


อีกจุดหนึ่งใน Dredd ที่เรียกได้ว่าทำออกมาดีมากๆคือฉากการเสพยา Slow-Mo ที่ทำให้ทุกอย่างดูช้าลง หลายๆคนอาจจะกลัวว่า มันอาจจะมากไปแบบเรื่อง Resident Evil แต่จริงๆแล้ว มันค่อนข้างจะพอดีเอามากๆ แถมยังมีเหตุผลในตัวมันเองอีกต่างหาก เพราะฉาก Slow-Mo ในเรื่องนี้มาจากการที่พวกเขาเสพยา ทำให้ทุกอย่างดูช้าลง และภาพตอนนั้นๆก็ดูมีมิติ ดูสวยงามอย่างที่ฉาก Slow-Mo ควรจะเป็นจริงๆ ไม่ใช่แบบ Resident Evil ฉาก Slow-Mo ทุก 5วิ แถมยังไม่มีเหตุผลรองรับอีกต่างหาก 

ในด้านของนักแสดงเรียกได้ว่าหาคนเหมาะกว่านี้ไม่ได้อีกแล้วอย่าง Karl Urban ที่ถึงแม้ส่วนใหญ่จะเห็นเขาเล่นเป็นตัวประกอบ แต่บอกได้เลยว่า ไม่มีใครเหมาะกับบท ตุลาการสุดโหด Dredd นอกจากเขาอีกแล้ว และสิ่งที่ยากในการแสดงก็คือ Dredd นั้นไม่เคยเปิดเผยหน้าตาของเขา จะเห็นก็เพียงส่วนปากเท่านั้น ซึ่งตัว Karl เองก็แสดงออกมาได้ดี จนเชื่อเลยว่า นี้แหละ คือตุลาการ สุดโหด และเขานี้แหละ คือกฏหมาย " I'm the LAW !!!" 


มาถึงช่วงแห่งการสับกันบ้าง ใช่ว่า Dredd นั้นจะมีแต่ข้อดี เพราะมีหลายๆจุดในเรื่องที่ค่อนข้างจะน่าเสียดายอยู่เหมือนกัน เช่น โลเคชั่นที่แทบจะทั้งเรื่องอยู่แต่ในตึกๆเดียว นอกจากนั้นเรื่องราวของ Ma-Ma ก็ยังปูมาได้น้อยเกินไป จนทำให้มี งงๆว่า ทำไมเธอถึงทำแบบนี้ กับบทที่ยังไม่ค่อยมีอะไรเป็นสเกลใหญ่ๆที่จะพอดึงคนดูได้จำนวนมากๆ ถ้าหากมีภาคต่อไปแล้วแก้ในจุดเหล่านี้ได้ Dredd จะเป็นภาพยนตร์อีกเรื่องหนึ่ง ที่เป็น ภาพยนตร์ ใหญ่แห่งปีได้เลย



Dredd เป็นภาพยนตร์ที่ เอาเรื่องคำคม เสียดสี ความรุนแรง เป็นอันดับแรก ความมันส์เป็น อันดับสอง ซึ่งมันค่อนข้างจะถูกใจผมอยู่ไม่ใช่น้อย นอกจากนั้นฉากแอ๊คชั่นก็ยังมันส์ ซะใจ อีกต่างหาก เป็นเรื่องที่อยากให้มีภาคต่อจริงๆ


Final Score : B+





(ENGLISH)


The Good : 
- Full of Violence and  Drugs  THIS IS DREDD !!!
- Interesting Screenplay
- Great Acting 
- Great Casting
- Good Action Scene
- Make Sense , Beautiful , Satisfied (Not too much like Resident Evil ) Slow-mo Scene (Finally !!) 


The Bad :
- lack of Ma-Ma backstory
- 65% of Movie are just in one location


Suggestion : This is movie you should go and see it or you may face with LAW !!!!


Totally Score : B+





Thankyou to : Dredd 3D (2012) , IMDB for information

Stolen ( 2012 ) Movie Review

Movie Review



Movie Name : Stolen ( 2012 ) Action / Thriller
Director : Simon West ( The Expendables 2 )
Stars : Nicolas Cage ( Bangkok Dangerous , National Treasure ) , Danny Huston ( X-Men : Wolverine , Wrath of the Titans ) , Josh Lucas ( Poseidon , Hulk )
Rating : R ( Violence )






(REVIEW)
(THAI)


Stolen เป็นภาพยนตร์อีกเรื่องในช่วงนี้ของนักแสดงชื่อดัง Nicolas Cage ที่เคยมาถ่ายทำภาพยนตร์ในเมืองไทยด้วย และคนไทยก็น่าจะรู้จักกันเป็นอย่างดี แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่า ไม่รู้เพราะเนื่องจากช่วงนี้มีข่าวพี่แกโดนทนายฟ้องหรือว่าอย่างไร ช่วงหลังๆมาถึงได้เล่นแต่หนังแบบไม่เลือกบท ทำให้คุณภาพของเขาตกต่ำอย่างมาก จะเห็นได้จากแทบจะทุกเรื่องของ Cage หลังๆมา ไม่เคยจะแตะ 6 คะแนนใน IMDB ด้วยซ้ำ เช่น Drive Angry , Ghost Rider 2 ซึ่งบางเรื่องตัวผู้เขียนเองก็ได้ชมมาด้วยตัวเองแล้ว อย่าง Ghost Rider 2 ซึ่งขอยอมรับว่ามันห่วยแตกจริง  = = จึงทำให้ก่อนที่จะเข้าไปชมภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ได้หวังอะไรมากมายเลย จริงๆ จากตัว Cage ตอนนี้ ที่ไปเรื่องไหน ก็เละทุกเรื่อง


Stolen นั้นว่าด้วยเรื่องราวเดิมๆ ที่ ลูกสาวของ Cage ถูกจับตัวไป และเขาก็ต้องไปช่วยลูกสาวของเขานั้นเอง ซึ่ง Stolen นั้นไม่อยากจะเชื่อจริงๆว่า เป็นฝีมือของผู้กำกับอย่าง Simon West จาก The Expendables 2 ที่้เรียกได้ว่าสนุกจริง มันส์จริง เท่จริง แต่ทำไมเรื่องนี้กลับ..... ไม่รู้ว่าตกลงพี่แก ฟลุค ตอน Expendables 2 รึเปล่า ส่วนทำไมที่ว่ามันถึงได้ฟลุคเราจะมาว่ากันครับ

Stolen เป็นภาพยนตร์ที่ในด้านบทนั้น Fail แบบไม่รู้จะ Fail ไปไหน บทหลักๆเองก็ซ้ำซากจำเจ ไม่น่าสนใจอยู่แล้ว ยังจะทำบทยิบๆย่อยๆในหนังมาให้ฟังแล้วก็ไม่ทำจริงอีก (จุดนี้อาจสปอย) เช่น 
ฉากที่ตัวร้ายบอก พระเอกของเราว่า เขาจะโทรไปหาพระเอก 8 ครั้งถ้าไม่รับแม้แต่ครั้งเดียว ลูกสาวพระเอกโดนเชือดแน่ แต่เอาเข้าจริง ทั้งเรื่อง โทรไปยังไม่ถึง 3 ครั้งด้วยซ้ำ ทำให้ทางผู้เขียน อย่างผม งงว่า แล้วจะเขียนบทมาทำอะไรมิทราบ ? หรือว่าเปลี่ยนใจกระทันหัน แต่ไม่อยากเสียเงินทำใหม่หมด อันนี้ผมก็ไม่แน่ใจ ซึ่งมันเป็นอะไรที่เห็นชัดเจนมาก เพียงจุดเล็กๆคุณยังไม่สามารถที่จะรักษาเอาไว้ได้ จุดใหญ่ๆก็คงจะเหลวแหลกไม่ต่างกัน นอกจากนั้นบทภาพยนตร์ของ Stolen ก็ยังจะเดาง่ายแสนง่าย
แม้แต่ คนที่ดูหนังไม่บ่อยก็น่าจะเดาได้ไม่ยากเลย แม้กระทั่งฉาก Surprise คนดู ก็ยังเดาง่ายจนรู้สึกได้ว่า ไม่ใส่มายังจะดีซะกว่า

ถ้าคุณคิดว่า Stolen อาจจะได้ผลกับฉากแอ๊คชั่นก็ได้ !! คุณ....คิดผิดแล้วครับ........ เพราะฉาก Action ของ Stolen มันช่าง ธรรมดา ซ้ำซาก น่าเบื่อ ยิ่งถ้าคุณเป็นคนที่ดู หนัง Action บ่อยๆล่ะก็ เตรียมหมอนกับผ้าห่มไว้ได้เลย หลับแน่นอน เพราะนอกจาก ตัวบทเองก็เน่าเละเทะ และยังไม่สมเหตุสมผลแล้ว ตัวฉากแอ๊คชั่นเอง ก็ไม่ได้มีอะไรหวือหวาเลย มีก็วิ่งๆ เตะๆต่อยๆนิดหน่อย ซึ่งมันก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก

Stolen นั้นเป็นภาพยนตร์อีกเรื่องหนึ่งของ Cage ในปีนี้ที่ เละไม่รู้จะเละยังไงแล้ว อีกเรื่อง
ผมขอแนะนำให้คุณเก็บเงิน ร้อยกว่าบาท เอาไว้ชมภาพยนตร์เรื่องอื่น อย่าง Taken 2 / Dredd 3D หรือแม้กระทั่ง ยักษ์ อนิเมชั่นไทย ยังจะดีซะกว่า หรือจะเอาไปกินขนมอะไรก็ว่ากันไป เพราะเอาเข้าจริง
 Stolen เป็นภาพยนตร์ที่ดูแม้แต่เพลินๆยังทำได้ลำบากด้วยซ้ำ หากบทยังทำออกมาทำลายกันเองเยี่ยงนี้
แล้ว ที่เหลือมันจะไปเหลืออะไร ? 


Final Score : D 




(ENGLISH)


The Good :
- Very little little of fun


The Bad :
- Lazy , Bad , Poor , Ugly , Awful Screen play that tear the movie apart
- Boring Action Scene
- Repetitive Screenplay
- Non - Makesense  Screenplay


Suggestion : This movie is just another garbage just  don't see it save your money for others movies like
Taken 2 , Dredd 3D


Totally Score : D




Thankyou to : Stolen ( 2012 ) , IMDB for information