Movie Review
ถึงเวลาของท่านมหาเทพมังกร Smaug แล้ว !!
Movie Name : The Hobbit : The Desolation of Smaug ( 2013 ) , Adventure / Drama / Fantasy
Director : Peter Jackson ( The Lord of The Rings Trilogy )
Stars : Martin Freeman ( Sherlock TV-Series ) , Benedict Cumberbatch ( Sherlock TV-Series , Star Trek : Into Darkness , War Horse ) , Ian McKellen ( X-Men Trilogy , X-Men : Days of Future Past ) , Richard Armitage ( The Hobbit , Captain America : The First Avenger ) , Orlando Bloom ( The Lord of The Rings , Troy ) , Evangeline Lilly ( Real Steel ) , Luke Evans ( The Immortals , Fast 6 )
Rating : PG-13
**ผู้เขียนไม่เคยอ่านหนังสือ The Hobbit หรือ อ่านหนังสือ The Lord of The Rings ภาคใดๆ**
REVIEW
ถ้าหากให้พูดหรือนึกถึงภาพยนตร์ Adventure / Fantasy ซักเรื่องหนึ่งแล้วล่ะก็ รับประกันได้เลยว่า มันจะต้องมีชื่อ The Lord of The Rings โผล่ออกมาเป็นอันดับต้นๆอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเพราะความอลังการ กดดัน เนื้อเรื่องอันเข้มข้นตื่นเต้นของมันแล้ว หลายๆคนคงไม่สามารถที่จะลืมฉากสงครามใหญ่ยักษ์ในภาคสุดท้าย Return of The Kings อย่างแน่นอน โดยหลังจาก The Lord of The Rings ทั้งสามภาคได้ประสบความสำเร็จอย่างมากและได้จบไปเรียบร้อยแล้ว Peter Jackson ก็ได้นำหนังสือที่มีชื่อว่า The Hobbits มาสร้างเป็นภาพยนตร์ ซึ่ง The Hobbits นั้นเป็นผลงานของ J.R.R. Tolkien ซึ่งเป็นผู้เขียนหนังสือคนเดียวกับ The Lord of The Rings โดย The Hobbits นั้นเป็นผลงานก่อนหน้า The Lord of The Rings โดยแชร์เรื่องราวและโลกเดียวกันในบางส่วน ซึ่งใน The Hobbits นั้นเรียกได้ว่ามีจุดหนึ่งที่แตกต่างจาก The Lord of The Rings ได้อย่างชัดเจนและแทบจะเป็นปัญหามากๆในการแปลงมาเป็นภาพยนตร์ นั้นก็คือ The Hobbits นั้นมีเพียงแค่เล่มเดียว ที่มีความยาวเพียง 310 หน้าเท่านั้น ในขณะที่ The Lord of The Rings นั้นมีถึง 3 เล่ม แถมการที่ Peter Jackson ผู้กำกับเอามาทำเป็น 3 ภาคเหมือนกับใน The Lord of The Rings อีก และยาวเกือบ 3 ชั่วโมงทุกภาคอีก มันทำให้ยิ่งยากเข้าไปอีก
สำหรับในภาคแรก The Hobbits : Unexpected Journey นั้น ตัวภาพยนตร์นั้นประสบปัญหากับการเล่าเรื่องอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการยืดยาว อืดอาด ไร้ความน่าสนใจ ที่ทำให้หลายๆคนถึงกับจะหลับ ซึ่งก็น่าจะเดาไม่ยากว่าเป็นผลมาจากการที่ เอาหนังสือ 300 หน้ามาหั่นเป็น 3 ภาค จึงเป็นผลทำให้ไม่สามารถที่จะเล่าอะไรได้มากมายนัก ทำให้ภาคแรกนั้น เรียกได้ว่าเปิดตัวมาไม่สวยเท่าไรนัก ในภาคต่อมา The Desolation of Smaug นั้น หลายๆคนจึงค่อนข้างที่จะตั้งความหวังเอาไว้พอสมควรกับภาคนี้ว่าทุกอย่างจะดีขึ้น และที่สำคัญ ฉากที่ทุกๆคนก็ตั้งความหวังเอาไว้นั้นก็คือฉากมังกรที่ได้ชื่อว่ารวยที่สุดในโลกภาพยนตร์ "Smaug"
ต้องขอบอกเลยว่าในภาคนี้นั้นหลายๆอย่างได้รับการปรับปรุงและดีขึ้นจากภาคที่แล้วพอสมควรเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเรื่องที่่เข้มข้น น่าสนใจ ในทันที ทันใด (และการเดินกิน Carrot แวบๆนึงของผู้กำกับ Peter Jackson ในฉาก) ฉาก Action ที่มากขึ้นกว่าในภาคที่แล้ว และยังถ่ายทำสร้างออกมาได้ดีเยี่ยมมากๆอีกด้วย เช่น ฉากถังไม้ที่ไหลแล่นไปตามแม่น้ำ ซึ่งเป็นฉาก Action ต่อเนื่องที่ถ่ายได้อย่างยอดเยี่ยม ไหลลื่น ไม่รุ้สึกติดขัด ทั้งๆที่เป็นฉากที่เคลื่อนไหวค่อนข้างจะรวดเร็วตลอดเวลา และเป็นฉากที่สนุกมากๆอีกฉากหนึ่งเลยทีเดียว CG และ Production Design ที่ยังคงสวยงาม อลังการงานสร้าง สมกับเป็น Peter Jackson เช่นเคย นอกจากนั้นในภาคนี้นั้นได้ดาราและตัวละครบางตัวเข้ามาเสริมทัพอย่างเช่น Legolas และ Tauriel ที่สร้างสีสัน ความเข้มข้น ความน่าสนใจ ให้กับตัวภาพยนตร์พอสมควรเลยทีเดียว
และฉากที่ทุกคนรอคอยและไม่พูดถึงไม่ได้เลยนั้นก็คือฉากท่านมหาเทพมังกร Smaug ที่เรียกได้ว่าน่าจะยาวเกิน 30 นาทีเลยทีเดียวเชียว ซึ่งก็คงจะถูกใจแฟนๆทุกคนเป็นแน่แท้ นอกจากนั้นยังเป็นฉากที่ส่วนตัวคิดว่า เป็นหนึ่งในฉากมังกรที่อลังการที่สุดในภาพยนตร์เท่าที่เคยได้ดูมาเลยทีเดียว ซึ่งสิ่งที่น่าสนใจมากๆอีกอย่างในฉากนี้นั้นก็คือ มังกร Smaug นั้น เบื้องหลังคนแสดงโดยใช้เทคนิค Motion Capture และพากษ์เสียงให้ก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก Benedict Cumberbatch จาก Star Trek : Into Darkness ของเรานี้เอง ซึ่งเขากับ Martin Freeman ที่แสดงเป็นตัวเอก"บิลโบ"ของเรื่องนั้น ได้เคยเจอและร่วมงานกันมาแล้วใน TV-Series ชื่อดังของเกาะอังกฤษ Sherlock ที่ ณ ปัจจุบันก็กำลังถ่ายทำ Season ใหม่อยู่เลย ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นการโคจรมาพบกันอย่างน่าทึ่งเลยทีเดียว
ถึงแม้จะมีหลายๆอย่างที่ในภาคนี้นั้นทำได้ดีมากขึ้นกว่าภาคเก่า แต่ตัวภาพยนตร์ก็ยังเช่นเคยประสบปัญหากับการเล่าเรื่องอยู่บ้าง เพราะยังมีบางช่วงที่ยังคงอืดอาด ไม่ค่อยน่าสนใจอยู่บ้าง ถึงแม้จะไม่เท่ากับภาคแรกก็ตาม อีกสิ่งที่สำคัญเลยก็คือ ตัว"ภาพ" ในภาพยนตร์นั้น มันเกินตัว"บทภาพยนตร์" ที่จะรับไหว ซึ่งหมายความว่า ภาพในภาพยนตร์นั้น มันช่างสวยงาม อลังการงานสร้าง ในหลายๆฉาก แต่ตัวบทนั้นกลับไม่เข้มแข็งพอที่จะสามารถไปถึงในระดับนั้นได้เลย เช่น ฉากมังกร Smaug ที่ให้ความรู้สึกว่า "ภาพสวย อลังการ" โดยไร้ซึ่งความกดดัน และอารมณ์ร่วมในฉากใดๆเลย ซึ่งเป็นผลมาจากการที่บทไปไม่ถึงระดับของภาพ ที่ไปสูงลิบลิ่วแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดายอยู่บ้าง เพราะถ้าหากระดับมันเท่ากันแล้วล่ะก็ มันจะทำให้ภาค The Desolation of Smaug น่าจดจำกว่านี้อยู่มาก ถึงกระนั้นนี้ก็อาจจะเป็นเพียงหนึ่งในการเตรียมตัวสู่สงครามและจุดจบที่แท้จริงในภาคสุดท้าย " There and Back Again " ซึ่งเป็นอีกชื่อหนึ่งของชื่อหนังสือ Hobbit ก็เป็นได้
The Hobbit : The Desolation of Smaug เป็นภาพยนตร์ภาคที่สองของภาพยนตร์ชุด The Hobbit ของผู้กำกับ Peter Jackson ที่พัฒนาจากภาคแรกอยู่พอสมควรเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นการเล่าเรื่องหรือบทที่เข้มข้นและน่าสนใจมากขึ้น ฉาก Action ต่อเนื่องหลายฉากที่ถ่ายออกมาได้อย่างลื่นไหลยอดเยี่ยม น่าทึ่ง แม้จะเป็นฉากที่น่าจะถ่ายได้ลำบากก็ตาม ฉากมังกร "Smaug" ที่ทำออกมาได้อลังการสมกับที่หลายๆคนรอคอยจนเรียกได้ว่าเข้าไปหลับทั้งเรื่องตื่นขึ้นมาดูฉาก Smaug ฉากเดียวก็น่าจะคุ้มเอาได้ ถึงแม้ตัวภาพยนตร์จะยังไม่ไปถึงจุดที่พูดได้เต็มปากเต็มคำว่า "น่าจดจำ" ซักเท่าไรนัก แต่ก็ต้องขอชมผู้กำกับ Peter Jackson จริงๆกับการตีความหนังสือเล่มๆเดียวที่มีเพียง 310 หน้า แล้วยังทำออกมาได้ขนาดนี้ และหวังว่าในภาคสุดท้าย There and Back Again ทุกๆอย่างจะจบลงอย่างน่าจดจำ
Final Score [ B+ ] & [ Must See Badge ]