วันศุกร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

X-Men : Days of Future Past ( 2014 ) Movie Review

Movie Review

X-Men: Days of Future Past ( 2014 ) Movie Review by FallsDownz

ปฏิบัติการแก้ไขอดีต เพื่อเหล่ากลายพันธุ์ !!!




                 สำหรับตัวผู้เขียนเองแล้ว ถ้าให้พูดถึงภาพยนตร์ที่ชื่นชอบมากที่สุดในช่วงเวลาที่ผ่านมา 2-3 ปีนี้ หนึ่งในนั้นจะต้องมีชื่อของ X-Men : First Class ออกมาจากปากหรือหัวของผู้เขียนอย่างแน่นอนโดยไม่ต้องสงสัย ด้วยการที่มันถูกใจผู้เขียนเสียไปหมดจะทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นบทภาพยนตร์ที่เข้มข้น หนักแน่น จริงจัง , ตัวละครที่ยอดเยี่ยม มีเอกลักษณ์ , นักแสดงที่ยอดเยี่ยม และรวมไปถึงฉากบางฉากที่ยังจดจำได้ดีมาจนถึงทุกวันนี้ อย่างเช่นฉากที่แมคนีโต้หยุดขีปนาวุธเป็นสิบๆลูกที่พุ่งเข้ามาหาตัวเอง จากนั้นก็หมุนมันกลับไปหาเจ้าของมันเอง มันช่างเป็นฉากที่ อลังการ และช่วงชิงลมหายใจในขณะนั้นของผู้เขียนไปเลยทีเดียว นับตั้งแต่วันนั้นมา ผู้เขียนก็ตั้งตารอคอยที่จะได้ชมภาคต่ออย่าง Days of Future Past มาโดยตลอด


 โดยในคราวนี้ การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญมากที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้นผู้กำกับภาพยนตร์ ที่เปลี่ยนจาก แมทธิว วอห์น มาเป็น ไบรอัน ซิงเกอร์ ซึ่งเขามีผลงานชื่อดังมาก่อนอย่างเช่น X-Men ภาคแรก และ X-Men ภาคที่สอง ซึ่งแฟนๆหลายคนยกย่องให้เป็นหนึ่งในภาพยนตร์ Super Hero ที่ยอดเยี่ยมที่สุดเลยทีเดียวเชียว

แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงมากๆในตัว ไบรอัน ซิงเกอร์ สำหรับตัวผู้เขียนเลยก็คือ ผลงานล่าสุดของเขาอย่าง Jack the Giant Slayer ที่ค่อนข้างจะแห้งเหลือเกิน ทำให้อดเป็นห่วงไม่ได้ว่า เขายังมีความสามารถพอที่จะมากุมบังเหียนภาพยนตร์ที่มีคนรอคอยและตั้งความคาดหวังเอาไว้สูงมากเช่นนี้ได้หรือไม่ โดยเฉพาะหลังจากหายนะอย่าง X-Men : The Last Stand ซึ่งนำไปสู่การรีเซทใน X-Men : First Class ที่ประสบความสำเร็จอย่างถล่มทลายไม่ว่าจะในด้านของรายได้ หรือ นักวิจารณ์ เรียกได้ว่างานนี้ งานหนักสำหรับตัวไบรอันอย่างแน่นอนไม่ต้องสงสัยเลยทีเดียว


X-Men : Days of Future Past พูดถึงเรื่องราวหลังจากภาค X-Men : Last Stand หลายปี ซึ่งโลกนั้นถูกครอบครองโดยหุ่นยนตร์ที่มีชื่อว่า "เซนทิเนล" ซึ่งในตอนแรกถูกสร้างมาเพื่อกำจัดและไล่ล่ามนุษย์กลายพันธุ์ แต่ในภายหลังมันกลับไม่ได้ทำเพียงแค่นั้น แต่ยังทำร้ายบุคคลที่มียีนส์กลายพันธุ์ทั้งหมด รวมถึงมนุษย์ที่พยายามจะต่อต้านด้วย และด้วยพลังที่มหาศาลของมัน จึงทำให้โลกตกอยู่ภายใต้กำมือของมัน เหล่ากลุ่ม X-Men จึงรวมตัวกันเป็นครั้งสุดท้าย เพื่อที่จะส่ง วูฟเวอรีน กลับไปในอดีต เพื่อแก้ไขเหตุการณ์ต่างๆและหยุด เซนทิเนล ไม่ให้เกิดขึ้น ก่อนที่ทั้งโลกจะไม่มีอะไรเหลืออีกต่อไป !!


สำหรับในกลุ่มภาพยนตร์ซุปเปอร์ฮีโร่นั้น ภาพยนตร์อย่าง X-Men เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์ที่ท้าทายมากๆเลยทีเดียว เพราะภาพยนตร์แนวนี้ส่วนใหญ่นั้น มักจะมีตัวละครที่สำคัญจริงๆเพียงไม่กี่ตัวเท่านั้น อย่างมากก็ 3-4 ตัว หรือมากกว่านั้นนิดหน่อย แต่ใน X-Men กลับมีตัวละครมากมายถึงเกือบ 10 ตัว หรือมากกว่า และแต่ละตัวก็ช่างสำคัญและมีเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนกันเสียหมด จึงเป็นเรื่องที่ยากมากๆ ที่จะปูเรื่องราวของตัวละครเหล่านี้ และแบ่งเวลาในภาพยนตร์ให้รู้สึกสำคัญเท่าๆกัน ไม่ใช่แบบว่าทั้งเรื่อง พี่วูฟเวอรีน เด่นอยู่คนเดียว จนคนอื่นไม่มีบทเลยเป็นต้น


แต่ในส่วนนี้ตัวภาพยนตร์ X-Men : Days of Future Past และผู้กำกับ ไบรอัน ซิงเกอร์ จัดการบริหารได้อย่างยอดเยี่ยมมากๆ แทบจะทุกตัวละครมีเวลาให้โชว์พลังต่างๆสมใจแฟนๆ และแต่ละตัวละครก็ให้ความรู้สึกว่ามีส่วนร่วมและมีผลกระทบกับบทภาพยนตร์ตลอดเวลา ไม่ใช่ตัวละครนี้ ตัวละครนั้นโดดเด่นอยู่เพียงตัวเดียวหรือสองตัว ซึ่งนี้ก็นำไปสู่การร่วมมือกันในฉากแอ็คชั่น การรวมพลังกันในด้านต่างๆ ยกตัวอย่าง เช่น ตัวละครหนึ่งที่มีพลังกำลังแข็งแรงวิ่งชารจ์อย่างรุนแรงไปข้างหน้า แล้วให้อีกตัวละครหนึ่งเปิดประตูมิติส่งตัวละครนั้นไปอย่างอีกจุดอย่างรวดเร็ว เพื่อให้ตัวละครนั้นเสริมพลังความรุนแรงในการโจมตี และสร้างโอกาศในการโจมตีแบบฉับพลันมากขึ้น เป็นต้น 


นอกจากนั้นแล้ว การที่ตัวภาพยนตร์ X-Men นั้นมีมาหลายภาคมากๆแล้ว มันทำให้ได้เปรียบมากกว่าภาพยนตร์หลายๆเรื่องตรงที่ เราจะรู้เรื่องราว เบื้องหลัง ทัศนะคติ และพลังต่างๆของพวกเขาเหล่านี้โดยส่วนใหญ่แล้ว โดยที่ไม่ต้องอธิบายอะไร ยิ่งท่านใดเป็นแฟนๆเหล่า X-Men มาตั้งแต่หนังสือการ์ตูนด้วยแล้ว ยิ่งแล้วใหญ่ ซึ่งนอกจากมันจะทำให้ฉากโชว์พลังต่างๆ ทำได้อย่างเต็มที่โดยที่ไม่ต้องกลัวว่ามันจะโอเวอร์โดยไม่มีเหตุผลรองรับจนเกินไปแล้ว มันยังทำให้ตัวละครเหล่านี้มีความลึกและโดดเด่นขึ้นมาเองโดยอัตโนมัติทันที ซึ่งนำไปสู่ปมขัดแย้งต่างๆในเรื่องที่ยอดเยี่ยมมากขึ้น และนี้ก็เรียกได้เลยว่า เป็นจุดเด่นมากที่สุดของภาพยนตร์เรื่องนี้เลยทีเดียว


แต่ในอีกมุมหนึ่ง ผู้เขียนก็ต้องขอพูดเลย ว่า X-Men : Days of Future Past เป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์ภาคต่อที่มีปัญหาในหลายๆด้านอยู่พอสมควรเลยทีเดียว


ประการแรกเลยก็คือ ด้วยความที่มันเป็นภาพยนตร์ภาคต่อ เพราะฉะนั้น มันจะต้อง(พยายาม)อลังการ และยิ่งใหญ่มากกว่าภาคก่อนหน้านี้ ด้วยบทที่กว้างไกลมากขึ้น จากเพียงแค่เรื่องราวการกำเนิดของกลุ่ม X-Men ไปเป็นการช่วยเหลือโลก ในภาคนี้  แต่ปัญหาก็คือ ตัวภาพยนตร์นั้นปูเรื่องราวในด้านของโลกในอนาคตที่ถูก เซนทิเนล รุกรานได้รวดเร็วมากจนเกินไป แล้วหลังจากนั้นก็โยนผู้ชมเข้าไปในโลกอดีตเพื่อนำไปสู่การแก้ไขโลกในอนาคตเลย มันเหมือนกับว่า ตัวภาพยนตร์ปูเรื่องได้ 5 นาที จากนั้นก็โยนเข้าสู่กลางเรื่องอย่างหน้าตาเฉยเลย ซึ่ง 5 นาทีเนี้ย มันไม่ได้มีความเพียงพอที่จะสร้างความน่าเชื่อถือ ว่าโลกจะไปถึงจุดนั้น นอกจากการที่ให้ตัวละครในภาพยนตร์พูดได้เลย ซึ่งมันส่งผลถึงอารมณ์ร่วมในเหตุการณ์ต่างๆมากพอสมควร ในหลายๆฉากที่เราควรจะเคร่งเครียด หรือจริงจัง เรากลับไม่ได้รู้สึกใส่ใจหรือแคร์มันซักเท่าไรอย่างที่ควรจะเป็นเลย


ประการที่สองก็คือ บทภาพยนตร์ของ Days of Future Past ที่ยังไม่ละเอียดและจริงจังมากเพียงพอ ที่จะสร้างความน่าเชื่อถือ และ ความกดดันอย่างแท้จริง โดยเฉพาะบทในด้านของการส่งตัวละครกลับไปในอย่างอดีต ซึ่งไอ้จุดพลังของการส่งคนกลับไปในอดีตเนี้ยแหละ มันไม่ได้มีเหตุผลสนับสนุนมากเพียงพอ ว่าทำได้อย่างไร จะประคองได้อย่างไร และมันเป็นไปได้อย่างไร แต่อยู่ดีๆมันก็ "เกิดขึ้น" เฉยๆ นอกจากนั้นมันยังนำมาสู่การตั้งคำถามมากมายกับบทในส่วนนี้ว่าเป็นไปได้อย่างไร เช่น วูฟเวอรีนที่ถูกส่งไปในอนาคต โดยที่ถ้าหากควบคุมอารมณ์ไม่ดีพอ อาจทำให้เขาหลุดไปสู่จุดอื่นได้ แต่ในภาพยนตร์เราเห็นจุดนี้เกิดขึ้นเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้นเอง กับตัวละครอย่าง วูฟเวอรีน ที่เราหลายๆคนก็รู้ดีว่าเขาเป็นคนอารมณ์ร้อนแค่ไหน แถมเหตุการณ์ต่อสู้ต่างๆ ในเรื่อง คุณจะบอกว่ามันไม่ได้สร้างความแปรปรวนภายในจิตใจของ วูฟเวอรีนเลยหรือ ? หรือ การที่คิตตี้ส่งวูฟเวอรีนไปในอย่างอดีตได้เป็นวันๆ โดยที่ไม่พักเลย มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน ?   ซึ่งคำอธิบายที่ตัวภาพยนตร์ให้มันก็ช่างเบาบางมากจนไม่สามารถที่จะเอาอะไรจริงจังกับบทภาพยนตร์ในส่วนนี้ได้เลย และสุดท้ายมันก็นำมาสู่การที่บทหลักและบทสรุปของภาพยนตร์ที่อ่อนแอเสียจน ไม่ส่งผลอะไรกับผู้เขียนอย่างที่มันควรจะเป็นเลย นี่ยังไม่รวมถึงประเด็นต่างๆในภาพยนตร์ที่ซ้ำซาก และเล่าเรื่องออกมาไม่ดีเท่าที่ควรอยู่พอสมควร 


ประการสุดท้ายก็คือ ตัวภาพยนตร์ X-Men ในภาคนี้ ขาดฉากที่น่าจดจำ หรือฉากที่คุณยังคงจำได้ว่าเป็นอย่างไร ในอีกสิบปีข้างหน้า อย่างที่บอกไปแล้วในข้างต้นว่า X-Men : First Class มีฉากที่ผู้เขียนจดจำได้อย่างเช่น ฉากแมคนีโต้ หยุดขีปนาวุธ หรือฉากที่ชอว์ทำลายห้องโถง ซึ่งฉากเหล่านี้มันถูกออกแบบดีไซน์และกำกับออกมาได้เป็นอย่างดีจนทำให้มันน่าจดจำ แต่ใน Days of Future Past กลับไม่มีฉากเหล่านี้อยู่เลย แต่ละฉากให้ความรู้สึกสนุกแล้วก็ผ่านๆไปไม่ได้น่าจดจำอะไร หลังจากชมภาพยนตร์จบ ผู้เขียนยังแทบจะนึกฉากที่น่าจดจำหรือน่าพูดถึงได้ในภาพยนตร์ภาคนี้ไม่ได้เลยซักฉาก ถ้าฉากที่ใกล้เคียงกับคำนั้นก็คงจะเป็นฉากของ ควิกซิลเวอร์ ซึ่งฉากๆนั้น ตัวภาพยนตร์ก็ไม่ได้เอาจริงเอาจังอะไรกับมันมาก นอกจากเป็นฉากให้ความตลกเสียอีก มันจึงเป็นฉากที่ตกประเด็นไปได้อย่างง่ายดาย


ซึ่งสามข้อที่กล่าวมานี้แหละ เป็นจุดเสียหายที่ร้ายแรงที่สุดของ Days of Future Past แต่นอกจากนั้นโดยรวมก็ถือว่าทำได้อยู่ในระดับที่โอเคทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น CG ที่สวยงาม อลังการ , ฉากต่อสู้ที่ออกแบบมาได้ดีในระดับหนึ่ง และการแสดงที่ยอดเยี่ยมของนักแสดงต่างๆในภาพยนตร์ไม่ว่าจะเป็น เอียน แม็กเคลเลน  , แพทริค สจวร์ต , พี่ฮิวจ์ แจ็คแมน , เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนส์ , ไมเคิล ฟาสเบนเดอร์ , เจมส์ แม็กอะวอย หรือ แม้กระทั่ง เอเลน เพจ ที่กำลังขาขึ้นสุดๆจากผลงานทั้งภาพยนตร์และเกมมากมาย


ในท้ายที่สุดแล้ว X-Men : Days of Future Past สำหรับตัวผู้เขียนนั้น ถือได้ว่าค่อนข้างจะผิดหวังอยู่เล็กน้อย จากปัญหาต่างๆที่ได้กล่าวไปแล้วของภาพยนตร์ ถึงแม้ว่าก็ยังอยู่ในจุดที่เรียกได้ว่าคุ้มค่ากับการรอคอย แต่ ณ ตอนนี้ อันดับหนึ่งในภาพยนตร์ X-Men สำหรับตัวผู้เขียน ก็ยังคงเป็น X-Men : First Class อยู่เช่นเคยไม่มีการเปลี่ยนแปลง เราก็ต้องมาจับตาและรอคอยกันต่อไป สำหรับภาคต่ออีกภาคอย่าง X-Men : Apocalypse  ว่าจะออกมาซ้ำรอยปัญหากับ Days of Future Past หรือจะประสบความสำเร็จจนแซงหน้า First Class ไปได้ในที่สุด 

Final Score : [ B + ] 


สามารถ Comment บทวิจารณ์หรือติดต่อผู้เขียนโดยตรงได้ที่ fallsdownzth@gmail.com ครับผม ขอบคุณครับ :) .

วันอังคารที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

Deus Ex : Human Revolution ( 2011 ) Game Review

Game Review
Deus EX : Human Revolution ( 2011 ) Game Review
Platform : PS3 , Xbox 360 , PC

มนุษย์ , เทคโนโลยี , ธรรมชาติ เรื่องราวที่มาบรรจบกัน



          Deus Ex : Human Revolution เป็นอีกหนึ่งเกมที่โด่งดังมากๆเลยทีเดียว มีกระแสพูดถึงมากมายมาโดยตลอด แม้กระทั่งปัจจุบันที่ตัวเกมผ่านมาแล้วถึง 3 ปี ก็ยังมีกระแสข่าวลือภาคต่อ และข่าวต่างๆของตัวเกมซีรียส์ Deus Ex ออกมาตลอดเลยทีเดียว

สิ่งที่เป็นจุดโดดเด่นใน Deus Ex : Human Revolution เลยก็คือ ความอิสระของมัน ไม่ว่าจะเป็นเกมเพลย์  หรือ แม้กระทั่งการให้ตัวเลือกกับผู้เล่นที่จะตัดสินใจในเรื่องราวต่างๆในตัวเกมอีกด้วย

โดยในเกมเพลย์นั้น ตัวเกมจะใช้มุมมองบุคคลที่ 1 หรือเปรียบเสมือนเราเล่นเป็นตัวละครเอกจริงๆ เห็นทุกอย่างเหมือนกับที่เขาเห็นจริงๆ สลับกับมุมมองบุคคลที่ 3 บ้างในบางจุดเช่นเวลาหลบศัตรูเป็นต้น ซึ่งตัวเกมเพลย์ของมันนั้น แทบจะไม่มีการบังคับอะไรเลย คุณอยากจะเป็นสายลับซ่อนเร้นด้วยการ เข้าไปอย่างเงียบๆ แอบศัตรูทุกคน และผ่านไปโดยไม่ต้องฆ่าใครเลยงั้นหรือ ?? ย่อมได้ !!  หรือ ถ้าหากคุณเป็นคนฮาร์ดคอร์ จะวิ่งเข้าไปปาระเบิด สาดกระสุนเลยก็ยังได้อีกเช่นเดียวกัน รวมถึงการออกแบบฉากในตัวเกมนั้น ทำได้อย่างยอดเยี่ยมเหลือเกิน มันมักจะมีทางที่ซ่อนอยู่ให้เราคอยค้นหาตลอดๆ รวมถึง A.I. ที่ท้าทายและค่อนข้างฉลาด ถ้าหากคุณส่งเสียงนิดหน่อยพวกมันก็จะเริ่มระวังตัวแล้ว และถ้าหากคุณเผลอไปทำให้พวกมันรู้ตัวว่าคุณอยู่แถวนั้นล่ะก็ เตรียมตัวเตรียมใจได้เลย เพราะ พวกมันจะมาหาคุณอย่างแน่นอน (หรือดักปิดทางที่คุณต้องการจะไป)

เกมเพลย์อีกส่วนนั้นจะมีการที่ให้เราโต้ตอบกับตัวละครบางตัวในเกม เพื่อที่จะทำภารกิจ หรือ Quest ย่อย อีกด้วย ซึ่งภารกิจเหล่านี้ ถึงแม้จะเป็นภารกิจเล็กๆตามทาง แต่ก็เขียนบทออกมาได้ดี และน่าสนใจตลอดเวลา และในบางครั้งตัวเกมจะให้เราได้โต้ตอบกับตัวละครหลักอื่นๆในเกม โดยให้อิสระกับเราในการที่จะตอบคำถาม โน้มน้าวตัวละครเหล่านี้ ซึ่งนอกจากมันจะส่งผลถึงตอนจบของตัวเกมแล้ว มันยังทำให้เราได้รู้ความคิดของตัวละครเหล่านี้อีกด้วย ว่าในท้ายที่สุด เราควรจะตัดสินใจอย่างไร

นอกจากนั้นแล้วตัวเกมยังมีอาวุธต่างๆ ไอเทมต่างๆ รวมถึงสกิลต่างๆ มากมายที่ทำให้การเล่นนั้นน่าสนใจ และน่าสนุกยิ่งขึ้น เช่นอาวุธไรเฟิลยาสลบ , ปืนเลเซอร์ , Shotgun หรือ สกิลอย่าง หายตัว , มองเห็นทะลุกำแพง และอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งสร้างสีสรรค์ให้กับตัวเกมอย่างมาก โดยที่แต่ละสกิล/ปืนมีประโยชน์แตกต่างกันออกไป แต่ก็ไม่ได้โกงจนเกินเหตุที่จะทำให้เกมกลายเป็น Easy Mode ตัวเกมยังท้าท้ายอยู่เสมอๆ โดยเฉพาะศัตรูในท้ายเกมบางตัวที่ 1-1 แบบไม่วางแผนไว้ก่อน แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยทีเดียว (ตัวเอกร่วงก่อน)

สิ่งที่น่าสนใจและเป็นจุดเด่นมากๆอีกจุดหนึ่งของ Deus Ex : Human Revolution รวมถึงน่าจะเป็นจุดที่ทำไมหลายๆคนยังจดจำเกมๆนี้ได้เป็นอย่างดี ก็คือ เนื้อเรื่องของมัน ที่พูดถึงเรื่องราวของ เทคโนโลยี , มนุษย์ , สิ่งแวดล้อม และอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งในหลายๆประเด็นนั้น ค่อนข้างจะจิกกัดโลกปัจจุบันได้อย่างเจ็บแสบอยู่เหมือนกัน รวมไปถึงการตั้งคำถามในประเด็นหลายๆอย่าง เช่น มนุษย์ควรจะมีสิทธิเสรีภาพจริงหรือ ? , เทคโนโลยี เป็นสิ่งที่ดีจริงๆหรือ ? เป็นต้น ซึ่งด้วยความที่ตัวเกมนั้นเปิดอิสระให้อย่างมาก กับผู้เล่น คุณจึงมีสิทธิเลือกว่าคุณเชื่อในแบบใด และทุกๆคำตอบ ดูเหมือนจะไม่มีอะไรผิดหรือถูกเลยแม้แต่น้อย ขึ้นอยู่กับคุณเท่านั้นว่าคุณ "เชื่อในแบบใด" 

ต่ก็ต้องพูดเลยว่า ตัวผู้เขียนเอง ประสบปัญหากับการเล่นเกม Deus Ex : Human Revolution อยู่พอสมควรในหลายๆจุด

จุดแรกเลยก็คือ ด้วยการที่มันสลับไปมาระหว่างมุมมองบุคคลที่ 1 และ 3 มันทำให้การเล่นติดต่อกันนั้นๆ พาเอามึนหัวและคลื่นไส้อยู่พอสมควร โดยเฉพาะมุมมองบุคคลที่ 1 ของเกมนี้ ที่ไม่ค่อยจะประนีประนอมผู้เล่นซักเท่าไร สำหรับท่านใดที่สนใจก็ลองโหลดเดโม มาลองดูก่อนก็ได้ว่าเป็นอาการนี้ไหม

จุดที่สองก็คือ เกมเพลย์ของมัน ใช่ยอมรับเลยว่ามันเป็นเกมเพลย์ที่ให้อิสระกับผู้เล่นมากๆ แต่พอเล่นไปนานๆเข้า มันทำให้ผู้เขียนตั้งคำถามอยู่เหมือนกันว่ามัน "อิสระ" จริงๆหรือ ? โดยเฉพาะอย่างที่บอกไปแล้ว ว่าในท้ายเกมการ ตัวต่อตัว กับศัตรูบางตัวถึงแม้จะไม่ใช่บอส แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ยกเว้นจะใช้อาวุธหรือสกิลเข้าช่วย เพราะศัตรูเหล่านี้บางตัวมันค่อนข้างที่จะหนา และอัดหนักอยู่พอสมควร ยิ่งมาหลายๆคนนี้แทบจะเผ่นป่าราบกันเลยทีเดียว ซึ่งในส่วนของผู้เขียนเองยังพอสลับๆระหว่างซ่อนเร้น กับ บู้ๆได้ แต่มันทำให้สงสัยว่า แล้วผู้เล่นที่ชอบแต่บู้ลุยแหลกอย่างเดียวล่ะจะทำยังไง เพราะในบางครั้งก็รู้สึกว่าตัวเกมไม่ค่อยจะ อิสระอย่างที่มันบอกซักเท่าไร แต่ในจุดนี้ก็ถือเป็นเรื่องที่น่าเห็นใจ เพราะทำได้ยาก (ยกเว้นจะทำระบบแบบให้เลือกเลยตั้งแต่ตอนเริ่มเกมว่าจะเป็น ซ่อนเร้น หรือ บู้ ซึ่งคงเป็นไปได้ยากและคงดูไม่ดีแน่ๆ) การที่ผู้สร้างเกม จะต้องทำเกมเพลย์ออกมาให้สมดุลระหว่าง ซ่อนเร้น กับ บู้ล้างผลาญ มันเป็นเรื่องที่ยากพอสมควร เพราะถ้าหากศัตรูอ่อนแอเกินไป การซ่อนเร้นก็ไม่มีประโยชน์ แต่ถ้าศัตรูเก่งเกินไป การบู้ลางผลาญก็ไม่มีประโยชน์อีกเช่นกัน จึงเป็นเรื่องที่น่าเห็นใจอยู่พอสมควร แต่ก็เป็นจุดที่ผู้เขียนค่อนข้างจะตั้งคำถามอยู่ดีในท้ายที่สุด

จุดสุดท้ายเลยก็คือ ตอนจบของตัวเกม โดยตอนจบของตัวเกมชนิดที่ให้ผู้เล่นเลือกเองนั้น มันควรจะเป็นแบบที่มันเท่าเทียมกัน และถกเถียงได้ลำบาก หรือพูดง่ายๆว่าแต่ละข้อมันก็ดูเหมือนจะมีทั้งถูกและผิด พอๆกันหมด จึงนำไปสู่การตัดสินใจว่า คุณ เลือกที่จะเชื่ออะไรมากกว่า แต่ผู้เขียนกลับคิดว่า ตัวเลือกในตอนท้ายของตัวเกม ไม่ได้ให้ความรู้สึกเท่าเทียมกันขนาดนั้นเลย บางทางเลือกกลับให้ความรู้สึกว่ามันไปไกลจนเกินไป และดูไม่เป็นธรรมมากจนเกินไป เหมือนผู้สร้างหรือผู้เขียนบท เอาทัศนะคติของตัวเองใส่เข้าไปในทางเลือกเหล่านั้นด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำอย่างมาก เพราะจุดๆนั้น มันควรจะเป็นสิ่งที่ผู้เล่นเลือกและเติมแต่งด้วยตัวเอง ไม่ใช่ผู้สร้างหรือผู้เขียนบทเป็นคนวางกรอบเอาไว้ ซึ่งมันทำให้ตอนจบรู้สึกไม่น่าจดจำเท่าที่ควรอย่างน่าเสียดาย 


นท้ายที่สุดแล้ว Deus Ex : Human Revolution ก็เป็นอีกหนึ่งเกมที่่ยอดเยี่ยม และน่าจดจำสมคำร่ำลือ ไม่ว่าจะในด้านเกมเพลย์ หรือ เนื้อเรื่องที่ยอดเยี่ยม แต่ถ้าถามผู้เขียนนั้น ส่วนตัวไม่ได้ประทับใจอะไรมากเท่าไรนัก ถือเป็นอีกหนึ่งเกมที่ดี แต่ก็ไม่ได้ชนิดต้องเล่น มิเช่นนั้นนอนตายตาไม่หลับ ซึ่งอาจจะเป็นผลมาจากปัญหาบางส่วนของเกม  ถึงกระนั้นก็ตาม ถ้าหากท่านสนใจในตัวเกม Deus Ex : Human Revolution ก็สามารถที่จะหามาเล่นได้อย่างไม่ต้องกังวลอะไรเลย โดยเฉพาะถ้าหากรอได้ถึงตอน Steam ลดราคา 70-80% ยิ่งไม่ต้องคิดอะไรเลย 

Final Score : [ B + ] 


สามารถ Comment บทวิจารณ์หรือติดต่อผู้เขียนโดยตรงได้ที่ fallsdownzth@gmail.com ครับผม ขอบคุณครับ :) .

วันอาทิตย์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

Street Fighter : Assassin's Fist ( 2014 ) Series Review

Series Review
Street Fighter : Assassin's Fist ( 2014 ) TV-Series  บทวิจารณ์โดย FallsDownz

เปิดตัวซีรียส์ที่น่าทึ่งที่สุดของ Street Fighter



          ถ้าหากพูดถึงประวัติศาสตร์เกมแล้วล่ะก็ มันก็มักจะมีเกมที่ผุดขึ้นมาในหัวของเราหลายๆเกมเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น Super Mario , Final Fantasy , Tekken หรืออีกเกมที่โด่งดังและยังมีชีวิตมาถึงปัจจุบันอย่าง Street Fighter 

Street Fighter เรียกได้ว่า เป็นอีกหนึ่งเกมที่มีอายุยาวนานมากๆ โดยเปิดตัวครั้งแรกในปี 1987 ซึ่งเรียกได้ว่ามีอายุเกือบจะ 30 ปีแล้วเลยทีเดียวเชียว  ซึ่งเกม Street Fighter นี้ โด่งดังจนถึงขนาดที่มีภาพยนตร์สั้นแบบ Fan Made หรือแฟนๆเกมทำขึ้นเองมากมาย รวมไปถึงภาพยนตร์จอเงินด้วยเช่นกัน ซึ่งในส่วนของภาพยนตร์นั้น ต้องพูดเลยว่าล้มเหลวมาโดยตลอดไม่ว่าจะเป็นฉบับปี 1994 หรือ ฉบับล่าสุดอย่าง Street Fighter : The Legend of Chun-Li ที่ออกมาแย่จนแฟนๆพากันเบือนหน้าหนี

ต้องพูดเลยว่าทางผู้เขียนนั้น ไม่ค่อยได้ติดตามข่าวสารของ Street Fighter : Assassin's Fist เท่าไรนัก พอจะรู้มาบ้างว่ามีการคืบหน้าบ้าง แต่ก็ไม่ได้ถึงขนาดตั้งตารอคอยอะไร จนบังเอิญว่าช่อง Machinima ใน Youtube ได้นำซีรียส์นี้มาฉายใน Internet พอดีก็เลยได้มีโอกาสชม ซึ่งต้องขอสารภาพเลยว่า ส่วนตัวผู้เขียนค่อนข้างจะชอบไปทาง Tekken มากกว่าพูดเลย แต่หลังจากได้ชม TV-Series นี้ ทำให้รู้สึกว่า Tekken ควรจะทำอะไรบ้างได้แล้วล่ะ เพราะมีคู่แข่งที่น่ากลัวมากๆเหลือเกิน


สิ่งที่น่าประทับใจมากที่สุดใน Street Fighter : Assassin's Fist เลยก็คือ บทของมัน ที่ช่างเขียนได้อย่าง "Perfect" เสียจริงๆ ถึงแม้ว่าทางผู้เขียนจะไม่ได้เป็นแฟน และรู้เรื่องราวมากมาย พื้นหลังของ Street Fighter มากนัก แต่ TV-Series นี้ ทำให้ผู้เขียนรู้สึกอยากจะกลับไปหาข้อมูลของตัวละครเหล่านี้เสียจริงๆ 


โดยบทหลักๆของ Street Fighter : Assassin's Fist จะพูดถึงเรื่องราวของตัวเอกประจำเกมอย่าง Ryu กับ Ken ที่อยู่ในช่วงเริ่มฝึกวิชาการต่อสู้ของพวกเขา ซึ่งแต่ละคนก็มีปัญหาภายในจิตใจของตัวเองที่จะต้องฝันฝ่าออกไปให้ได้

ในส่วนของการกำกับแล้วต้องขอชมผู้กำกับ Joey Ansah จริงๆที่ทำหน้าที่ได้อย่างน่าทึ่ง ทั้งในด้านการกำกับ และในด้านการแสดงเป็น "Akuma" สิ่งที่ผู้เขียนชอบมากๆในสไตล์การกำกับของเขาเลยก็คือ การที่เขาให้เวลากับตัวละครในการที่จะค่อยๆเติบโตขึ้นเรื่อยๆ มันทำให้เรารู้สึกผูกพันธ์กับตัวละครเหล่านี้ เสมือนฝันฝ่าไปพร้อมกับพวกเขา และมันยังทำให้เราเชื่ออย่างสนิทใจในท้ายที่สุดอีกด้วย ว่าพวกเขาสามารถที่จะต่อสู้ได้อย่างดุเดือด และออกท่าไม้ตายอย่าง Shouryuken / Hado-Ken ได้ เพราะเราได้เห็นพวกเขาฝึกมามากมาย ฝันฝ่ามามากมาย จนกว่าจะมาถึงจุดนี้จริงๆ

นอกจากนั้นแล้วการกำกับฉาก Action ของเขายังสวยงาม น่าทึ่ง สนุก และตื่นเต้นสุดๆอีกด้วย ที่สำคัญ มันไม่เต็มไปด้วยการใช้เทคนิคสั่นกล้องสุดแสนน่ารำคาญแบบที่ Hollywood หรือผู้กำกับบางคนทำ ซึ่งในส่วนนี้ก็ต้องขอชม Acting Coach หรือ คนคุมคิวบู้ด้วย ที่กำกับคิวและท่าทางต่างๆได้อย่างน่าทึ่ง สมจริงเสมือนในเกมจริงๆ 


แต่สิ่งที่ผู้เขียนติดหนึบจริงๆกับซีรียส์นี้เลย ก็คงจะหนีไม่พ้นเนื้อเรื่องที่แสนเข้มข้นของมัน เรื่องราวของเส้นทางแห่งพลัง ความมืด การใฝ่หาพลัง รวมไปถึงความเคียดแค้น ทั้งยังมีรักสามเศร้าอีกด้วย ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้มันช่างเขียนและถูกถ่ายทอดออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมเสียเหลือเกิน จนเราอดที่จะรักตัวละครเหล่านี้ไม่ได้เสียจริงๆ และเราจะพูดว่าตัวเองนั่งลุ้นทุกครั้งว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรต่อไป

อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องขอชมจริงๆเลยก็คือในด้านของนักแสดง ที่ต้องพูดเลยว่า พวก TV-Series หรือ Mini Series และ Fan Made ทั้งหลายแหล่นั้น ส่วนใหญ่จะได้นักแสดงแบบไม่ค่อยจะดีนัก และไม่ค่อยจะเหมาะกับบทนักซักเท่าไร ซึ่งมันดึงเราออกจากตัวเนื้อหาอยู่พอสมควร แต่ Street Fighter : Assassin's Fist นั้น หาทีมนักแสดงคุณภาพและเหมาะสมได้อย่างยอดเยี่ยมเสียจริงๆ ไม่ว่าจะเป็น Ken , Ryu , Goken หรือ Sayaka แต่ 2 คนที่ต้องขอชมจากใจเลยก็คือ Gotetsu ซึ่งรับบทเป็นอาจารย์ของ Goken และ Goki ในเรื่อง ที่นำแสดงได้อย่างน่าทึ่ง น่าเชื่อถือ และน่าเกรงขามเสียจริงๆ ซึ่งไม่แน่ใจว่าในส่วนคิวบู้คุณ Togo Igawa ได้เล่นเองรึเปล่า (เดาว่าคงไม่) แต่เขาทำหน้าที่ในการแสดงได้อย่างยอดเยี่ยมจริงๆ ถึงแม้จะอายุมากแล้วก็ตาม

อีกคนหนึ่งที่ประทับใจผู้เขียนเป็นพิเศษก็คือ Gaku Space ซึ่งรับบทเป็น Goki เขาแสดงผลงานการแสดงได้อย่างน่าทึ่งจริงๆ ซึ่งเรียกได้ว่าทั้งเรื่อง เขาเป็นคนที่รับบทหนักที่สุดก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเป็นจะต้องแสดงอารมณ์ชิงชัง ล้มเหลว โกรธ และถูกครอบงำ ซึ่งเขาก็นำแสดงในส่วนนี้ได้อย่างน่าเชื่อถือมากๆ จนผู้เขียนอดไม่ได้ที่จะแอบเห็นใจ และสงสารตัวละครนี้อยู่พอสมควร 


แต่...แน่นอนว่ามันก็ต้องมีข้อเสียเช่นเดียวกัน 

จุดแรกที่ผู้เขียนรู้สึกติดขัดอยู่พอสมควรก็คือ การใช้การข้ามเวลาในบทมากจนเกินไป อย่างเช่น ตัวละครนี้ฝึกอยู่ แล้วก็ขึ้นข้อความ ผ่านไป กี่ปีก็ว่าไป แล้วก็ฝึกเสร็จแล้ว เป็นต้น ซึ่งในส่วนนี้ โอเคถ้าหากมันมีซักครั้งหนึ่ง ยังไม่เป็นไร พอจะเข้าใจได้ แต่นี้มีถึง 2-3 ครั้ง มันสร้างความห่างของช่วงเวลามากจนเกินไป จนทำให้รู้สึกว่าปมขัดแย้งที่ถูกสร้างเอาไว้ มันไม่ได้เพิ่มความเข้มข้นขึ้นเลยอย่างน่าเสียดาย และมันทำให้รู้สึกว่าถูกตัดขาดจากบทภาพยนตร์อยู่พอสมควร เนื่องจากการใช้เทคนิคเช่นนี้ที่มากจนเกินไป

อีกส่วนหนึ่งก็คือการพัฒนาของ Goki ไปสู่ Akuma (ถึงจุดนี้คงไม่สปอยล์แล้วมั้ง ?)ที่ให้ความรู้สึกแปลกประหลาดอยู่พอตัว จาก Goki ที่เป็นนักแสดงญี่ปุ่น อยู่ดีๆพอเป็น Akuma ก็กลายเป็นฝรั่งอย่างหน้าตาเฉย ถึงแม้ว่าจะบอกว่าตัวเขาเหมาะกับการเป็น Akuma มากกว่าก็ตาม แต่ความแตกต่างมันก็มากจนเกินไป จนทำให้รู้สึกแปลกประหลาด และถูกดึงออกจากตัวละครอยู่พอสมควร


ในท้ายที่สุดแล้ว Street Fighter : Assassin's Fist ก็เหลือเอาไว้แต่ความประทับใจ ใช่มันไม่ได้ Perfect มันยังคงมีข้อเสียบางข้อในด้านของการกำกับ และนักแสดงอยู่บ้าง แต่ในด้านที่ตัวมันควรจะทำให้"ถูกต้อง"อย่าง บทภาพยนตร์ และการกำกับส่วนใหญ่นั้น พวกเขาช่างทำได้อย่างยอดเยี่ยมจนพอที่จะก้าวข้ามผ่านข้อเสียเหล่านั้นไปได้อย่างง่ายได้ ซึ่งในตอนนี้ได้ข่าวมาว่า ถ้าหากซีรียส์นี้ประสบความสำเร็จเขาจะเดินหน้าสร้างภาคต่อ โดยในคราวต่อไปจะเป็นเรื่องราวของอีกหนึ่งตัวละครหลักอย่าง Chun-Li !! เรียกได้ว่าน่าติดตามเสียจริงๆ
สำหรับใครที่เป็นแฟนเกม Street Fighter ก็อย่าลืมไปช่วยกันติดตามผลงานของพวกเขาด้วยนะครับบบ


Final Score : [ A- ] & [ Must See Badge ]


สามารถ Comment บทวิจารณ์หรือติดต่อผู้เขียนโดยตรงได้ที่ fallsdownzth@gmail.com ครับผม ขอบคุณครับ :) .

วันจันทร์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

Godzilla ( 2014 ) Movie Review

Godzilla ( 2014 ) Movie Review



ตัวอย่างของความล้มเหลว ในการพยายามจะเป็นมนุษย์ของสัตว์ประหลาด




                              Godzilla หรือ โกจิร่าในภาษาญี่ปุ่น เป็นชื่อที่น้อยคนนัก ที่จะไม่รู้จักสำหรับเจ้าสัตว์ประหลาดตัวยักษ์มหึมาตัวนี้ โดยที่ต้นฉบับนั้นมาจากประเทศญี่ปุ่นซึ่งโด่งดังและประสบความสำเร็จอย่างมากมายจนสร้างต่อมาหลายต่อหลายภาคเลยทีเดียว และเมื่อ Hollywood เห็นโอกาสทำเงินทำทองก็เลยนำมาทำเป็นภาพยนตร์ของตัวเองบ้างในปี 1998 ซึ่งผลที่ออกมา ก็ทำให้แฟนๆ โกจิร่า ถึงกับกุมขมับหัวกันเลยทีเดียว โดยเฉพาะในด้านของนักวิจารณ์ที่ให้คะแนนต่ำเตี้ยดินเพียง 32/100 จาก Metacritic  แม้แต่ในด้านของผู้ชมทั่วไปเองก็ดูท่าจะไม่ค่อยปลื้มซักเท่าไรนักกับคะแนน 5.3 / 10 ใน IMDB 


การกลับมาครั้งใหม่ของ Godzilla นั้น ในช่วงแรกๆมีข่าวลือ ออกมานักต่อนัก และใช้เวลายาวนานมากจนแฟนๆหลายคนเป็นห่วงว่ามันจะหายยาวไปเลย จนในที่สุดก็คลอดออกมาจนได้ในปี 2014 นี้เอง ซึ่งแฟนๆทั่วโลกก็ต่างตั้งความหวัง ว่ามันจะไม่ซ้ำรอยฉบับปี 1998 อีก ซึ่งในฉบับปี 2014 นี้ ในด้านของนักวิจารณ์และผู้ชม โดยรวมเฉลี่ยก็ถือว่าค่อนข้างที่จะชอบฉบับใหม่นี้อยู่พอสมควรเลยทีเดียว แต่ก็จะมีเสียงแตกๆไปบ้างตามปกติ ซึ่งต้องขอบอกก่อนเลยว่า ตัวผู้เขียนเองก็ไม่ใช่แฟนของ โกจิร่า หรือ Godzilla แต่อย่างใด เป็นเพียงแค่เด็กคนหนึ่งที่ได้ทันเข้าไปชม Godzilla ฉบับ 1998 ในโรงและจำได้ว่ามันสนุกดีกับพี่ Godzilla เท่ห์มากก็เท่านั้น 


สิ่งที่น่าสนใจและน่าดึงดูดมากที่สุดเลยใน Godzilla ฉบับใหม่นั้นดูเหมือนจะมีอยู่สองอย่างด้วยกัน อย่างน้อยก็สำหรับตัวผู้เขียนเอง อย่างแรกก็คือ ดีไซน์ตัวพี่ก๊อตจัก...เอ้ย พี่ Godzilla แบบใหม่ที่บางคนก็ชอบ บางคนก็เกลียด ส่วนตัวผู้เขียนรู้สึกว่าค่อนข้างถูกใจดีไซน์ใหม่เหลือเกิน มันช่างอ้วนน่ารัก น่ากอด และน่าเกรงขามอย่างบอกไม่ถูก ซึ่งเป็นกระแสในอินเทอร์เน็ตมาซักพักเลยทีเดียวกับมุขล้อเลียนต่างๆ เช่นพี่ Godzilla ไปกิน Fast Food มาเป็นต้น

อีกสิ่งหนึ่งก็คือ ทีมนักแสดงของภาพยนตร์ฉบับใหม่นี้ ที่น่าสนใจมากๆเลยทีเดียว ด้วยการที่มีดารามากฝีมือหลายคนมารวมตัวกันไม่ว่าจะเป็น เดวิด สเตรทธาร์น แห่ง The Bourne Ultimatum , แซลลี่ ฮอว์กินส์ แห่ง Blue Jasmine , เคน วาตานาเบ้ แห่ง Inception กับ The Last Samurai และคนสุดท้ายที่น่าสนใจมากที่สุดอย่าง ไบรอัน แครนสตัน ซึ่งเขาโด่งดังมาจากผลงาน TV-Series อย่าง The Breaking Bad ที่ผู้ชมในอเมริกาหลายคนชื่นชอบเขามากถึงกับการที่เล่นอะไรคนก็แห่ตามกันไปดูหมด ซึ่งส่วนหนึ่งก็มาจากทัศนคติและนิสัยส่วนตัวของเขาที่ค่อนข้างจะขี้เล่นเป็นกันเอง เป็นเหตุที่ทำไมในตัวอย่างของ Godzilla ฉบับนี้ ถึงมีแต่การโฆษณา ไบรอัน เต็มไปหมดนั้นเอง ถึงแม้ว่าตัวผู้เขียนจะเคยมีโอกาสได้ชมทีวีซีรียส์ The Breaking Bad เพียงตอนเดียวถึงสองตอนเท่านั้นเอง แต่ก็ต้องขอยอมรับเลยว่าค่อนข้างจะชอบในตัวไบรอันอยู่พอสมควร จากการที่เคยเห็นเขาในสื่อต่างๆและภาพยนตร์บางเรื่อง จึงค่อนข้างที่จะถูกใจนิสัยตัวจริงๆของเขาอยู่พอสมควร


ในด้าน "บทภาพยนตร์" ของ Godzilla ฉบับปี 2014 นี้ ต้องพูดเลยว่าอยู่ในขั้นที่วิกฤติอยู่พอสมควร จากการที่มันไม่ค่อยจะสมเหตุสมผลเอาเสียเลยในหลายๆสิ่งหลายๆอย่าง หลายครั้งที่ผู้เขียนพบว่าตัวเองกำลังตั้งคำถามว่าทำไมมันเป็นเช่นนั้น ทำไมมันต้องมาเกิดตอนนี้ ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ตัวบทภาพยนตร์ไม่สามารถที่จะทำให้เราเชื่อในสิ่งที่มันเล่าได้เลย รวมถึงตัวบทหลักโดยรวมก็ไม่ได้มีอะไรเลยนอกจาก โลกที่โดนสัตว์ประหลาดบุก มนุษย์จึงต้องหาทางป้องกันตัวเอง ที่มีภาพยนตร์หลายเรื่องทำมาแล้วนักต่อนัก และมีตัวอย่างที่ยอดเยี่ยมกว่าด้วย อย่างเช่น Pacific Rim ที่ทำเรื่องประเด็นนี้ได้ดีกว่าหลายเท่านัก
ถึงแม้ว่าในตอนท้ายเรื่องตัว Godzilla ฉบับใหม่จะมีการนำประเด็นใหม่ๆพยายามใส่มาบ้าง แต่มันก็ช่างไม่สมเหตุสมผลจนเอาจริงเอาจังอะไรกับบทส่วนนั้นๆไม่ได้เลย แถมตัวภาพยนตร์ยังถ่ายทอดจุดต่างๆเหล่านี้ได้ไม่ดี และโน้มน้าวให้เราเชื่อไม่ได้อีกก็ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่

ในส่วนที่สองก็คือ "ตัวละคร" ในภาพยนตร์ โดยเฉพาะตัวละครมนุษย์ที่ล้มเหลวสุดๆ ซึ่งส่วนใหญ่ๆก็มาจากการที่ตัวผู้กำกับ แกเร็ธ เอ็ดเวิร์ดส พยายามที่จะสร้างความเป็น "มนุษย์" ให้กับตัวภาพยนตร์ โดยการเน้นไปที่ตัวละครมนุษย์ต่างๆในภาพยนตร์ หรืออาจจะพูดได้ว่าเป็นการให้ผู้ชมมองสัตว์ประหลาดเหล่านี้ผ่านสายตาของมนุษย์ รวมถึงให้ตัวละครเหล่านี้เป็นตัวพาผู้ชมเดินทางไปกับภาพยนตร์ ปัญหาก็คือนอกจากตัวละครมนุษย์ทั้งหลายเหล่านี้มันจะสุดแสน Cliche ซ้ำซาก/จำเจ ตัดแปะมาจากแม่แบบแล้ว ตัวแกเร็ธเองก็ปูตัวละครเหล่านี้ได้ไม่ดีเท่าทีควร 

ผนวกกับการที่ตัวภาพยนตร์ก็ดันเดินเรื่องค่อนข้างจะเร็วมาก ยิ่งทำให้เราไม่มีเวลาในการที่จะผูกพันธ์ และเข้าใจตัวละครเหล่านี้เลย ผลก็คือ เราไม่ได้สนใจ ไม่ได้ใส่ใจ ไม่แม้กระทั่งจะแคร์เลยว่าตัวละครเหล่านี้จะอยู่หรือตาย แล้วหนังมันก็ดันย้ำจุดๆนี้อยู่เรื่อยๆ ทั้งๆที่มันไม่ได้ผล มันก็เสมือนการถูกบังคับให้ดูอะไรที่คุณไม่ได้เต็มใจจะดูนั้นแหละ ซึ่งมันทำให้ 1 ชั่วโมงแรก หรือ อย่างน้อยก็ครึ่งแรกของเรื่อง ที่ผู้เขียนรู้สึกเบื่อหน่าย จะหลับอยู่ตลอดเวลา ในท้ายที่สุดตัวละครเหล่านี้ก็ไม่ได้มีความเป็นมนุษย์เพียงพอที่จะสร้างความแตกต่างระหว่างสิ่งที่พวกเขามองกับตัวพวกเขาเองเลย


ส่วนต่อมาก็คือส่วนที่สาม อย่างเรื่องของ "นักแสดง" ที่ต้องพูดเลยว่าตัว แกเร็ธ เอ็ดเวิร์ดส ใช้นักแสดงเหล่านี้ได้อย่างไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย ทั้งๆที่หลายคนก็มีผลงานก่อนๆที่น่าประทับใจไม่ใช้น้อยอยู่พอสมควร แต่ทั้งเรื่องหลายๆคนกลับมีบทอยู่แค่มายืนทำหน้าทื่อๆหรือตกใจเฉยๆ แล้วก็พูดซักคำสองคำจบ หมดกันค่าตัว ซึ่งไม่แน่ใจว่า ตัวแกเร็ธเองไม่รู้จักการใช้นักแสดงที่ดีเหล่านี้ในการส่งเสริมตัวภาพยนตร์ หรือ ขี้เกียจที่จะทำกันแน่ แต่สิ่งที่ยิ่งทำให้ผู้เขียนรู้สึกน่าเสียดายพร้อมทั้งขุ่นเคืองเข้าไปอีก ก็คือนักแสดงอย่าง ไบรอัน แครนสตัน ที่ในสายตาของผู้เขียน เขาเป็นเพียงสิ่งเดียวในภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่โดดเด่น และน่าทึ่งมากที่สุด ทั้งๆที่ตัวละครของเขามันช่างแบน ราบเรียบเหลือเกิน เขาก็ยังจะฝืน พยายามสร้างมิติให้กับตัวละครของเขา และการแสดงของเขามันช่างยอดเยี่ยมจนทำให้ผู้เขียนเริ่มที่จะรู้สึกเห็นใจตัวละครของเขาอย่างมาก

แต่สิ่งที่เขาได้รับเป็นการตอบแทนก็คือ บทในภาพยนตร์ที่น้อยอย่างมาก ทั้งๆที่เป็นคนที่แสดงผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมมากที่สุด ซึ่งในส่วนนี้จะโทษนักแสดงคนอื่นๆหรือผู้กำกับก็คงไม่ถูกต้อง แต่เหมือนจะเป็นความโชคร้าย และน่าเสียดายเสียมากกว่า


ส่วนสุดท้าย ส่วนที่ 4 ก็คือเรื่องของ CG กับ ฉาก Action ทั้งหลายในภาพยนตร์ ที่โดยรวมต้องพูดเลยว่าอยู่ในระดับที่ดีทีเดียว CG ที่ค่อนข้างจะสวยงาม อลังการ โดยเฉพาะพี่ Godzilla ของเรา ที่มหึมา น่าเกรงขามอย่างแท้จริง สำหรับผู้เขียนแล้ว การที่ได้ยินเสียงคำรามของพี่ Godzilla ในภาพยนตร์ซักครั้งก็ให้ความรู้สึกคุ้มค่าตั๋วและซะใจอย่างบอกไม่ถูกแล้ว  สำหรับในฉาก Action ท้ายภาพยนตร์แล้ว ก็ถือว่าให้ความสนุก ตื่นเต้น ในระดับหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ถึงกับอ้าปากค้าง หรือ ไม่เคยเห็นมาก่อนซะทีเดียว แต่มีก็ยังดีกว่าไม่มี


สรุปแล้ว โดยรวมส่วนตัวผู้เขียนไม่ได้รู้สึกผิดหวังอะไรเท่าไร เพราะไม่ได้หวังมาตั้งแต่แรกแล้ว ในด้านของการวิเคราะห์ภาพยนตร์ หลักๆนั้นตัว Godzilla ฉบับใหม่ มีปัญหากับบทภาพยนตร์ ตัวละคร และการกำกับนักแสดงอย่างมาก โดยเฉพาะบทกับตัวละครที่แย่จนถึงขนาดต้องแอบคิดในใจว่า "เอาเป็นว่าช่างมันเถอะ คิดซะว่าไปดู Godzilla เดินไปเดินมาละกัน" เพราะมันช่างไร้รสชาติ และถ่ายทอดออกมาได้อย่างแย่เหลือเกิน ในด้านของนักแสดงเองก็ดันใช้ไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย ทั้งๆที่นักแสดงเหล่านี้ก็พิสูจน์กันมาหลายต่อหลายเรื่องแล้ว ว่าพวกเขาพร้อมที่จะให้ผลงานที่ยอดเยี่ยมกับผู้ชม ถึงแม้ว่าตัวภาพยนตร์จะมี CG ที่ค่อนข้างดี กับฉาก Action ที่บันเทิงพอสมควร เพียงแค่สองอย่างนี้มันเทียบอะไรกับปัญหาในข้างต้นไม่ได้เลยแม้แต่น้อย



                                           สำหรับในตอนนี้นั้นภาพยนตร์ Godzilla ปี 2014 นี้ทำรายได้เปิดตัวในประเทศอเมริกาถึง 93 ล้านเหรียญสหรัฐ จนมีข่าวออกมาว่า กำลังจะเตรียมสร้างภาคต่อเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งผู้เขียนก็ได้แต่หวังว่า พวกเขาจะใช้เวลาในการเขียนบทมากกว่านี้ และในด้านของผู้กำกับถ้ายังคงเป็น แกเร็ธ เอ็ดเวิร์ดส คนเดิมอยู่ หวังว่าเขาจะนำบทเรียนครั้งนี้ โดยเฉพาะในด้านการกำกับนักแสดง ไปปรับปรุงในภาคใหม่ มิเช่นนั้นผลที่ออกมาก็คงจะไม่แตกต่างไปจากภาคนี้เลย ซึ่งมันน่าเสียดายอยู่ไม่ใช่น้อย


Final Score : [ C ] 



สามารถ Comment บทวิจารณ์หรือติดต่อผู้เขียนโดยตรงได้ที่ fallsdownzth@gmail.com ครับผม ขอบคุณครับ :) .

วันเสาร์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

Arrow TV-Series [ Season 1 & 2 Review ]

TV-Series Review
Arrow TV-Series ( Season 1 & Season 2 ) Review



       " My name is Oliver Queen. For five years I was stranded on an island with only one goal - survive. Now I will fulfill my father's dying wish - to use the list of names he left me and bring down those who are poisoning my city. To do this, I must become someone else. I must become something else. " - Oliver Queen


      ในขณะที่ค่ายซุปเปอร์ฮีโร่อย่าง Marvel กำลังประสบความสำเร็จอย่างมากในวงการภาพยนตร์ จากการที่มีภาพยนตร์เข้าฉายหลายต่อหลายเรื่อง และปิดท้ายด้วยภาพยนตร์ยักษ์ใหญ่อย่าง The Avengers ( ปีนี้ก็เช่นเดียวกัน ) หรือ ภาพยนตร์ใหม่อย่าง Guardians of the Galaxy ที่ใกล้วันฉายเข้าไปทุกๆที่แล้ว ฝั่ง DC เองก็รู้สึกจะประสบปัญหาหลายด้านกับวงการภาพยนตร์เหลือเกิน 

ถ้านับนอกจาก Superman กับ Batman แล้ว ดูเหมือนทุกอย่างมันจะไม่ราบรื่นไปเสียหมด อย่างเช่น ภาพยนตร์หนึ่งในตัวละครสำคัญของ DC อย่าง Green Lantern ก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า ซ้ำภาพยนตร์รวมซุปเปอร์ฮีโร่อย่าง Justice League ยังถูกเลื่อนยาวไปถึงปี 2016 อีกต่างหาก นี้ยังไม่รวมถึงการที่หลายๆตัวละครในทีมยังไม่มีการแนะนำตัวอย่างเป็นทางการในโลกภาพยนตร์เลยหรือบางตัวละครก็มีข่าวลือว่าจะทำแต่ก็ต้องยกเลิกไปในท้ายที่สุดอย่าง Wonder Woman จึงเรียกได้ว่าค่อนข้างจะเป็นหายนะสำหรับ DC และ Warner Bros. ผู้ถือลิขสิทธิ์อย่างแท้จริง


แต่ในขณะนั้นเองก็ดูเหมือนจะมีแสงสว่างส่องความหวังให้กับทางค่าย DC อีกครั้งจากการที่มีการเปิดตัว TV-Series หนึ่งในตัวละครหลักของ DC อีกหนึ่งตัวกับ Green Arrow (ซึ่งใน TV-Series เปลี่ยนเป็น The Arrow) ซึ่งต้องขอพูดก่อนเลยว่าตัวผู้เขียนเองแทบจะไม่เคยหรือเรียกว่าไม่เคยเลยจะดีกว่า ในการอ่านการ์ตูนของ Green Arrow จริงๆ หรือแม้กระทั่งการ์ตูนของ DC อย่างมากก็จะมีนิดๆหน่อยๆเท่านั้น ถ้าหากมีข้อมูลส่วนใดผิดไปก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย

ซึ่งเมื่อ Arrow TV-Series ได้ออกฉายที่อเมริกาในช่อง CW ผลปรากฏว่าโด่งดังและมีผลตอบรับที่ยอดเยี่ยมอย่างมาก จึงไม่แปลกเลยที่จะมี Season ต่อมา ซึ่ง ณ ขณะนี้เพิ่งจะจบ Season 2 ไปได้ไม่กี่วันที่ผ่านมานี้นั้นเอง 

และแน่นอนเมื่อมันประสบความสำเร็จ ทาง DC จึงขยายความสำเร็จโดยการอาศัยความโด่งดัง Arrow TV-Series ไปนำสู่ TV-Series Spin-off อันใหม่กับอีกหนึ่งตัวละครสำคัญของ DC อย่าง "The Flash" (ซึ่งมีตัวอย่างให้เห็นใน Internet กันแล้ว)  จึงเรียกได้ว่าการก้าวไปในโลก TV-Series ครั้งนี้ เป็นการก้าวที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับโชว์ของ Marvel อย่าง Agents of Shield ที่ผู้เขียนชมได้ 3 ตอนเลิกเพราะมันช่างเต็มไปด้วยการพยายามจะขายภาพยนตร์ และมันช่างสุดแสนจะดาษ น่าเบื่อเหลือเกิน (ขออภัยแฟน Marvel) 


ในความคิดเห็นของผู้เขียน การที่ตัว Arrow TV-Series ประสบความสำเร็จนั้น หลักๆน่าจะมาจากการที่มันค่อนข้างที่จะแตกต่างจากตัวละครใน Comic ที่ผู้เขียนเดาเอาเองจากการที่เคยเล่นเกม Injustice : God Among Us ว่า Green Arrow เป็นตัวละครที่ตลก โปกฮา บันเทิงพอตัวทีเดียว แต่ใน TV-Series มันกลับไม่ใช่เช่นนั้นเลยแม้แต่น้อย ที่จริงแล้วมันเป็นหนึ่งใน TV-Series ที่มีช่องว่างให้เราหัวเราะได้น้อยเหลือเกิน เพราะมันช่างเต็มไปด้วยบทที่จริงจัง มืดมน , ตัวละครที่เสียหาย แตกหัก และจุดขัดแย้งในแต่ละ Season ที่นำมาเพียงแต่โศกนาฏกรรมที่จะนำไปสู่โศกนาฏกรรมอันใหม่ ซึ่ง Arrow TV-Series นั้นทำในจุดนี้ได้อย่างยอดเยี่ยมมากเลยทีเดียว


ในด้านของคุณภาพของ TV-Series แล้วต้องขอชื่นชมเลยว่าผู้กำกับ  , Producer , นักแสดง , คนเขียนบท และผู้สร้าง ทำได้อย่างยอดเยี่ยมเสียจริงๆในแทบจะทุกๆด้าน โดยเฉพาะการค่อยๆสร้างปมปัญหาต่างๆ ทัศนะคติต่างๆให้กับทุกๆตัวละคร จนในท้ายที่สุดปัญหาทุกอย่างมันจะมาปะทุขึ้นอย่างรุนแรง และมาปะทะกันในตอนจบของ Season นั้นๆซึ่งนำไปสู่เรื่องราวใหม่ๆได้อย่างน่าทึ่ง ซึ่งนอกจากมันจะทำให้บทโดยรวมไม่ดูสุดแสนจะ Cliche , ขี้เกียจ และสร้างมาแบบชุ่ยๆเอาทำจบเป็นทีละตอนไปแบบ TV-Series หลายๆเรื่อง มันยังทำให้แต่ละตัวละครมีความเป็น "มนุษย์" ขึ้นอย่างมากมาย โดยเฉพาะหลังจบ Season 1 ที่ตัว TV-Series ทำให้เราหลงรักตัวละครเอกในโชว์ และเกลียดตัวร้ายประจำโชว์ได้อย่างง่ายดาย โดยที่ไม่รู้ตัวเลย  

แต่ตัวละครที่น่าสนใจมากที่สุด และลึกมากที่สุดในทีวีโชว์เลย ก็คงจะหนีไม่พ้นพ่อหนุ่มพันล้าน Oliver Queen หรือ "The Arrow" ของเรา โดยเฉพาะการพัฒนาทางความคิดและความขัดแย้งภายในจิตใจของเขาในแต่ละ Season ที่ช่างเป็นการเสียดสีและแดกดันโลกปัจจุบันเหลือเกิน โดยเฉพาะความคิดที่ว่า "เพราะเขาเห็นด้านดีในคนอื่นมากจนเกินไป จนมันกลับมาทำร้ายตัวเขาเอง"

สำหรับฉาก Action ต่างๆใน Arrow แล้ว ก็ต้องขอเตือนไว้ก่อนว่านี้คือ TV-Series ไม่ใช่ภาพยนตร์ยักษ์ใหญ่ เพราะฉะนั้นการที่คุณหวัง CG โคตรอลังการงานสร้าง ระเบิดตูมตามทุกตอน คุณจะต้องผิดหวังอย่างแน่นอน จริงๆแล้วไม่ต้องเป็น TV-Series หรอก Theme หลักของ DC มันก็ไม่ใช่แบบนั้นอยู่แล้ว ชื่อก็บอกอยู่ Detective Comics 

ฉากต่างๆใน The Arrow และเทคนิค Special Effect ต่างๆจึงค่อนข้างที่จะอยู่ในระดับเฉยๆหรือพอรับได้อยู่บ้าง และมีการใช้เทคนิคโกงคนดูอยู่หลายครั้งอยู่เหมือนกันเช่นกันตัดเร็วๆ หรือการใช้มุมกล้องหลบ ซึ่งในส่วนนี้ก็พอที่จะเข้าใจได้ในด้านงบประมาณ ในส่วนของคิวบู้ ฉาก Action ก็ถือว่าทำได้ไม่เลวเลย แต่ละฉากดูสนุก ตื่นเต้นอยู่บ่อยครั้ง มุมกล้องและการถ่ายทำที่ถือว่าอยู่ในระดับโอเคกำลังดี ไม่ส่ายไปส่ายมาจนน่ารำคาญ 


ในด้านของการให้ความสำคัญหรือเนื้อเรื่องในแต่ละตอนก็จัดได้ว่าทีมงาน Arrow จัดสรรได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว ทุกๆตอนให้ความรู้สึกว่าคิดและเขียนบทมาอย่างดีตลอดเวลา ไม่ใช่ตอนหนึ่งน่าเบื่อ อีกตอนหนึ่งโคตรสนุก หรือประเภทแบบ TV-Series The Walking Dead ช่วง Season หลังๆที่ทั้งตอนมีความน่าสนใจแค่ตอนเปิดเรื่องว่าจากตอนจบตอนที่แล้วจะเป็นอย่างไร และตอนท้ายเรื่องที่ทำให้คุณรู้สึกจะต้องอยากดูตอนต่อไปอย่างไม่มีทางเลือกทั้งๆที่ในช่วงระหว่าง ต้นเรื่อง กับ ท้ายเรื่องมันช่างน่าเบื่่อเหลือเกินก็ตาม

ในแต่ละตอนนั้น ตัวทีวีโชว์มากจะสร้างจุดขัดแย้งขึ้นมาจุดหนึ่งตามปกติและให้ตัวละครเข้าไปเผชิญและแก้ไขจุดขัดแย้งนั้นๆ แต่ที่น่าสนใจก็คือ ในทุกๆตอนที่จบลง ความคิดอะไรบางอย่าง หรือบางสิ่งบางอย่างในทุกๆตัวละครในทีวีโชว์จะเปลี่ยนแปลงไป และ ในบางตอนที่เราจะได้เห็นอีกด้านหนึ่งของพวกเขาไม่่ว่าจะเป็นตัวดีหรือตัวร้ายก็ตามเป็นต้น ซึ่งในระหว่างตอนเองเราก็จะได้เห็นความขัดแย้งและการคลายปัญหาของตัวละครเหล่านี้ที่สนุกสนานอยู่ตลอดเวลา และน่าติดตามตลอดเวลาอีกด้วย

อีกสิ่งหนึ่งที่สร้างความแปลกใหม่ให้กับ Arrow TV-Series มากๆเลยก็คือการที่ทุกตอนในทีวีโชว์นั้น ไม่ได้เล่าแค่เรื่องปัจจุบัน แต่เล่าคู่ขนานไปกับอดีตด้วยการ Flashback ของตัวละครอีกด้วย ซึ่งมันทำให้ตัวทีวีโชว์ นอกจากจะน่าสนใจที่ว่า Season นี้ปัจจุบันจะจบลงอย่างไรแล้ว เราจะยังได้ทราบว่าอดีตของตัวละครนี้จบลงอย่างไร และมีที่มาที่ไปอย่างไร ถึงมามีจุดจบเช่นนี้อีกด้วย ซึ่งมันทำให้ตัวทีวีโชว์น่าสนใจขึ้นอย่างมากเลยทีเดียว

นอกจากนั้นแล้วภายใต้ฮู้ดสีเขียวหรือ TV-Series นี้เองก็ยังแฝงไปด้วยความหมายและข้อคิดมากมายอีกด้วย โดยหลักๆนั้นตัวทีวีโชว์มักจะกรีดร้องว่า "ครอบครัวเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด" เสมอๆ  นอกจากนั้นแล้ว ในทุกๆ Season นั้นมันก็จะแฝงข้อคิดประจำแต่ละ Season เอาไว้อีกด้วย อย่างเช่น Season แรกที่พูดถึง "การฆ่าไม่ได้นำมาซึ่งความสงบสุขใดๆเลย แต่มันนำมาซึ่งหายนะที่ไม่สิ้นสุดต่างหาก" หรือ Season สองที่เพิ่งจบไปหมาดๆ ที่พูดถึง "การปล่อยวางจากความเคียดแค้น" เป็นต้น จึงเรียกได้ว่านอกจากดูสนุกแล้ว ยังแฝงไปด้วยคุณภาพเนื้อๆอีกด้วย


ในด้านของนักแสดงเองโดยรวมทุกคนก็ถือว่าทำได้ดีพอสมควร ไม่มีการ Over Acting จนเกินเหตุ หรือนักแสดงคนใดที่โผล่มาแล้วทำให้รู้สึกน่าเบื่อเลย


แต่แน่นอนทุกอย่างในโลกไม่มีอะไรที่ Perfect ซึ่ง Arrow เองก็เช่นกัน โดยข้อเสียส่วนใหญ่ของทีวีโชว์นั้น มาจากการที่มันเป็น TV-Series เนี้ยแหละทำให้มีเวลาที่น้อยในการที่จะลงลึกไปในตัวละครมากๆ เพราะมีตัวละครที่ต้องการจะเล่ามากมายเหลือเกิน หรืองบประมาณที่มีขีดจำกัดกว่าภาพยนตร์อย่างมาก จึงทำให้ฉากบางฉากมีความสมจริงน้อยลง


 แต่สิ่งที่โดดเด่นออกมาในด้านข้อเสียแล้ว ดูเหมือนจะเป็นความง่ายดาย Convenience ของมัน ในหลายๆครั้งที่ตัวโชว์มีเวลาในการสร้างความน่าเชื่อถือหรือมูลในจุดต่างๆ ปมต่างๆไม่พอ มันมักจะใช้วิธีการยัดๆเข้าไปหรือพยายามตัดบทแบบง่ายๆจนเกินไป จนทำให้หลายๆอย่างนั้นไร้น้ำหนัก และทำให้จุดจบหรือจุดคลี่คลายในบางครั้งมันไม่น่าประทับใจเท่าที่ควร อย่างเช่นการที่ตัวเอกเข้าไปทำลายอะไรซักอย่างหนึ่งที่สำคัญต่อเนื้อเรื่องหลักใน Season นั้นๆมาก แต่มันกลับให้เวลาปูฉากๆนั้น สิ่งๆนั้นน้อยมาก จนเราไม่ได้รู้สึกว่ามันสำคัญใดๆเลย และมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมากจากเวลาที่มีเพียง 40 นาทีในแต่ละตอน จึงทำให้เราไม่ได้สนใจ หรือใยดีกับสิ่งๆนั้นเลย มันจึงไร้ความหมายไปในที่สุด 


หรือบางตัวละครอย่างเช่น Slade Wilson ที่แฟนๆ Comics น่าจะรู้จักดีในชื่อ "Deathstroke" ที่จริงๆแล้วเขาเป็นอีกหนึ่งตัวละครที่น่าสนใจ และมีการปูที่ยอดเยี่ยมมากเลยทีเดียว จนผู้เขียน"เกือบ"จะสงสารเขาแล้วแท้ๆ แต่ในฉากที่สำคัญที่สุดของจุดขัดแย้งของตัวละครนี้มันกลับช่างทำออกมาได้อย่างลวกๆสุดๆ จนผู้เขียนรู้สึกว่ามันไม่ได้สมเหตุสมผลเลย และปมขัดแย้งนั้นๆมันก็เหมือนจะไม่ได้พยายามที่จะ "โน้มน้าว" ให้เราเชื่อถือเลย มันเหมือนกับว่าอยู่ดีๆก็เกิดขึ้นโดยไม่ได้มีการปูที่ดีมากก่อนเลย ซึ่งมันลดความน่าสนใจของตัวละครนี้ลงอย่างมาก ซึ่งเป็นเรื่องที่"โคตร"น่าเสียดาย ก็หวังว่าใน Season ต่อๆไปตัวทีวีโชว์จะให้เวลาในการปูตัวละครเหล่านี้มากกว่านี้

สรุปโดยรวมใน Season 1 ถือว่าน่าประทับใจมากๆเลยทีเดียว ถึงแม้ว่าตอนจบประจำ Season จะค่อนข้างขี้โกงในการหาเรื่องทำ Season ต่อไปบ้างแต่ก็ถือว่าเพลิดเพลินดี ใน Season แรกนี้ ในด้านที่ทำได้อย่างยอดเยี่ยมมากที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้นประเด็นการเก็บความลับของ The Arrow ไม่ให้ใครรู้ ที่ปูออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมและบีบหัวใจผู้ชมทุกครั้ง

สำหรับใน Season 2 หลายๆอย่างค่อนข้างจะดีขึ้นจาก Season หนึ่งอยู่พอตัวไม่ว่าจะเป็นการเล่าเรื่องที่ฉลาดมากขึ้น ใช้ตัวละครได้ยอดเยี่ยมมากขึ้น ปมขัดแย้งที่น่าสนใจมากขึ้น ถึงแม้ว่าจะมาตกม้าตายอย่างแรงกับตัวละครร้ายไปบ้าง แต่ก็ถือว่าโดยรวมอยู่ในเกณฑ์น่าประทับใจเลยทีเดียว โดยเฉพาะตอนจบประจำ Season ที่ทำได้ดีเลยทีเดียว แต่ไม่รู้ทำไมตอนแรกสุดของแต่ละ Season ใน Arrow มักจะน่าเบื่อเสมอๆ ซึ่ง Season 2 ก็เป็นเช่นกัน 

ในท้ายที่สุด ทีวีซีรียส์ของอเมริกา Arrow ก็ยังคงเป็นอีกหนึ่งทีวีซีรียส์ที่น่าติดตามไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว จากการที่มันสนุก ตื่นเต้น และแทบที่จะสร้างมาตราฐานใหม่ให้กับ TV-Series ที่เน้นความบันเทิงเป็นหลักเลยทีเดียว ใช่มันไม่ได้ Perfect มันยังคงมีหลายๆปัญหาที่ TV-Series มักจะเผชิญอยู่เสมอเช่นกัน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่านี้เป็นอีกหนึ่ง TV-Series ที่ยอดเยี่ยมและติดงอมแงมเสียจริงๆ นอกจากนั้นแล้วการที่ผู้เขียนได้เห็นความพยายามของค่าย Warner Bros. กับ DC ในการที่จะแข่งขันกับ Marvel และได้เฝ้ามองการก้าวต่อไปของพวกเขาอยู่ไกลๆนั้น มันช่างสุดแสนจะบันเทิงเหลือเกิน  การต่อสู้ของค่ายหนังสือการ์ตูนที่ไม่ได้อยู่แต่ในหนังสืออีกต่อไปแล้วมันช่างยิ่งใหญ่เหลือเกิน


Final Score :  Season 1  [ B+ ] , Season 2 [ A - ] & Must See Badge 



สามารถ Comment บทวิจารณ์หรือติดต่อผู้เขียนโดยตรงได้ที่ fallsdownzth@gmail.com ครับผม ขอบคุณครับ :) .

วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

อยากให้เข้าใจระบบคะแนนของ Rotten Tomatoes กับ IMDB ใหม่

Off Story




สำหรับทุกท่านที่ใช้บริการเว็ป Rotten Tomatoes (มะเขือเน่า) ในการตัดสินใจว่าหนังเรื่องไหนควรดู/ไม่ควรดู หรือจะเขียนวิจารณ์อะไรก็แล้วแต่ กรุณาเข้าใจด้วยว่า คะแนน % หลัก หลอดแดงใหญ่ๆ ไม่ใช่คะแนนของภาพยนตร์ แต่เป็น % รวม นับจากว่านักวิจารณ์ทั้งหมด "ชอบ" หนังเรื่องนี้กี่ % ไม่ใช่คะแนนของหนังแต่อย่างใด คะแนนของหนังจริงๆอยู่ข้างล่างตัวเล็กๆ

ส่วนด้านขวาถ้าหนังยังไม่เข้ามันจะเป็น % ว่าผู้ชมอยากดูมากแค่ไหน กี่ % ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคะแนนอีก ถ้าหนังเข้าแล้วคะแนนจะอยู่ข้างล่างตัวเล็กๆแบบนักวิจารณ์กรุณาเข้าใจใหม่ด้วย เพราะเห็นหลายคน Hype กันมั่วซั่วไม่ได้อ่านก่อนว่ามันคืออะไร

ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ขออนุญาติรวมถึง IMDB ด้วย ทั้งคะแนนหลัก และคะแนน Meta Critic (โดยเฉพาะคะแนนหลัก) ถ้าหนังยังไม่เข้า / พึ่งเข้า กรุณาอย่าไปเชื่อมาก เชื่อซัก 30% ก็พอ เพราะภาพยนตร์หลายเรื่อง เริ่มต้นคะแนน 7 , 8 ซักพักตกไปจบที่ 5 กว่ายังมี (เช่น Taken 2) 

ที่เขียนไม่ใช่อะไร เพราะเห็นหลายท่านว้าว ตื่นเต้นกับคะแนนใหม่ๆของภาพยนตร์หลายเรื่อง โดยที่ไม่ได้อ่านหรือรู้การทำงานของมันก่อน เดี๋ยวจะเข้าใจผิด 


สามารถ Comment บทวิจารณ์หรือติดต่อผู้เขียนโดยตรงได้ที่ fallsdownzth@gmail.com ครับผม ขอบคุณครับ :) .

วันจันทร์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

Oculus ( 2014 ) Movie Review by FallsDownz

Movie Review
Oculus ( 2014 ) Movie Review บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz
ความเชื่อ ปะทะ วิทยาศาสตร์ ผี การครอบงำ ปีศาจ มีจริงหรือไม่ ? 



                      Oculus  เป็นภาพยนตร์ของผู้กำกับ ไมค์ ฟลาเนแกน ที่มีต้นแบบมาจากภาพยนตร์สั้นที่มีชื่อว่า Oculus : Chapter 3 The Man with the Plan ในปี 2006 ของตัวเขาเอง ซึ่งเรียกได้ว่าภาพยนตร์ฉบับเต็มๆของเขาครั้งนี้ มีกระแสพูดปากต่อปากมามากมายในต่างประเทศ รวมถึงกลุ่มนักวิจารณ์ที่ชื่นชอบเช่นกัน ซึ่งทำให้ผู้เขียนรู้สึกอยากที่จะเข้าไปชมอย่างมากเลยทีเดียว


Oculus เป็นภาพยนตร์ที่ว่าด้วยเรื่องราวของ เคย์ลีย์กับทิม สองคู่พี่น้องที่พยายามจะพิสูจน์ว่าพ่อของตัวเองไม่ได้ฆ่าแม่ของเธอ แต่เขาถูกผีสิ่งหรืออะไรบางอย่างบังคับให้ทำต่างหาก ซึ่งสิ่งๆนั้นแฝงอยู่ในกระจกที่มีประวัติการตายมามากมาย พวกเขาจะสามารถหาวิธีพิสูจน์ได้หรือไม่ ? แล้วพวกเขาจะทำลายกระจกที่แสนน่ากลัวนี้ได้หรือไม่ ?!


สิงที่เรียกได้ว่าโดดเด่นมากที่สุดของภาพยนตร์เรื่องนี้เลยก็คือการตัดต่อและวิธีการเล่าเรื่องของมันนั้นเอง แทนที่จะเล่าเรื่องเป็นเส้นตรง มันกลับเล่าเรื่องโดยการตัดสลับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในบ้านระหว่าง อดีตในวัยเด็กของพวกเขา กับ ปัจจุบันที่โตแล้ว 

ซึ่งสิ่งที่น่าทึ่งมากเลยก็คือมันไม่ได้ทำให้ผู้เขียนรู้สึกงงหรือสับสนเลยแม้แต่น้อย โดยจุดหลักที่จะแสดงว่าตอนไหนคืออดีต และตอนไหนคือปัจจุบันก็คือตัวละครเอกนั้นเอง ซึ่งมันทำให้ตัวภาพยนตร์น่าสนใจขึ้นอย่างมากเลยทีเดียว เพราะนอกจากมันจะทำให้เราสงสัยและอยากรู้ตอนจบว่าพวกเขาจะทำลายกระจกนี้ได้หรือไม่แล้ว 
มันยังทำให้เราสงสัยและอยากรู้ด้วยอีกว่า พ่อของพวกเขา ฆ่าแม่จริงหรือ ? 
แล้วถูกผีสิงจริงหรือ ? 

การตัดของตัวภาพยนตร์เองก็มีการใช้วิธีการเชื่อมอดีตกับปัจจุบันได้อย่างน่าทึ่งและลื่นไหล ไม่ติดขัดอีกด้วย เช่นการตัดโดยใช้ไฟเป็นตัวส่งผ่าน หรือการใช้บางสิ่งบางอย่างในฉากเป็นตัวส่งผ่านระหว่างอดีตกับปัจจุบัน ซึ่งในส่วนนี้ต้องขอชมผู้กำกับและตัดต่ออย่าง ไมค์ ฟลาเนแกน เสียจริงๆที่นอกจากจะเล่าเรื่องได้อย่างยอดเยี่ยมแล้ว ยังจะตัดต่อได้อย่างยอดเยี่ยมลงตัวด้วยกันเสียอีก


อีกจุดหนึ่งของภาพยนตร์ที่ผู้เขียนประทับใจมากๆเลยก็คือด้านสัญญะหรือสัญญลักษณ์ของมัน โดยเห็นได้ชัดตั้งแต่เริ่มต้นของเรื่องเลยว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้ประเด็นหลักของมันจริงๆแล้วไม่ใช่การหาข้อพิสูจน์หรือการล้างแค้นเลย แต่มันเป็นประเด็นของการปะทะระหว่าง ความเชื่อ กับ วิทยาศาสตร์ต่างหาก ในขณะที่ความเชื่อ ก็เชื่อว่าสิ่งๆนี้มีอะไรบางอย่างที่ให้คำอธิบายไม่ได้  ขณะที่วิทยาศาสตร์เองก็พยายามจะหาข้ออธิบายสิ่งๆที่ความเชื่อนั้นอธิบายไม่ได้นั้นเอง 
ซึ่งมันทำให้ตัวละครในภาพยนตร์และผู้ชมอย่างเราเองตั้งคำถามตลอดทั้งเรื่องว่า

พวกเขานั้นโดนผีหลอกจริงหรือ ? หรือว่าเป็นสิ่งที่จิตใจของพวกเขาสร้างขึ้นมาเองแล้วพวกเขายอมรับกับความจริงไม่ได้ จนจิตใจของพวกเขาต้องสร้างอะไรบางสิ่งเพื่อเป็นข้อแก้ตัว ?
ซึ่งการปะทะนี้มันช่างน่าสนใจ และน่าติดตามเหลือเกิน เพราะมันเต็มไปด้วยความพยายามในการจะอธิบาย ท้าทาย และลบล้างความคิดของอีกฝ่าย น่าเสียดายที่ในกลางถึงเกือบท้ายๆเรื่อง ตัวภาพยนตร์ดูจะให้ความสำคัญกับประเด็นนี้น้อยลงไปบ้าง


อีกคำถามหนึ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยในภาพยนตร์สยองขวัญก็คือ "มันน่ากลัวไหม ?" หรือในช่วงนี้ก็คงจะเป็น "มันคือผีตุ้งแช่หรือประเภททำให้ตกใจหรือเปล่า" สำหรับในข้อแรกนั้นต้องพูดเลยว่า Oculus เป็นภาพยนตร์ที่น่ากลัวพอสมควรเลยทีเดียว ไม่ใช่จากเหตุการณ์ประเภทผีตุ้งแช่ หรือตกใจ แต่เป็นแรงกดดันที่เต็มเปี่ยมทุกอณูวินาทีของภาพยนตร์เสียจริงๆ ซึ่งเป็นเหตุมาจากการสร้างสถานการณ์บีบบังคับต่างๆของภาพยนตร์ที่ฉลาด น่าติดตามอยู่ตลอดเวลา เสมือนกับการที่ตัวเรายืนอยู่ท่ามกลางความมืดและตัวภาพยนตร์ให้ไม้ขีดไฟเรามาหนึ่งอันและท้าให้เราจุดไฟซะ แต่เราไม่มีทางรู้เลยว่าจุดไฟแล้วจะต้องพบอะไร



ในส่วนของคำถามที่ว่ามันคือผีตุ้งแช่หรือประเภท Jump Scare รึเปล่า ต้องบอกเลยว่าพอมีอยู่บ้างในบางฉากแต่ก็น้อยพอสมควร ฉากส่วนใหญ่จะมาจากความกลัวในเหตุการณ์ตรงหน้าจริงๆ ไม่ใช่มาจากเพราะตกใจเฉยๆ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดีมากเลยทีเดียว แต่ถ้าหากไม่มีเลยก็คงจะดีกว่านี้ไม่น้อย เพราะมันทำให้รู้สึกว่าตัวภาพยนตร์กำลังโกงผู้ชมอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว

ในด้านของตัวละครแล้ว ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ทำได้ไม่เลวเลยทีเดียวโดยเฉพาะ 3 ตัวละครหลักอย่าง เคย์ลีย์ ทิม สองพี่น้องหลักของเรื่อง และมารีย์ แม่ของพวกเขา ซึ่งแต่ละตัวละครนั้นมีมุมต่างๆที่น่าสนใจ น่าติดตาม และพวกเขาพอที่จะมีมันสมองเอาไว้ใช้คิดอยู่บ้าง ไม่ใช่ประเภทน่าตั้งคำถามทุกการกระทำแบบภาพยนตร์สยองขวัญหลายๆเรื่อง ถึงแม้ว่าตัวละครพ่ออย่างอลันจะดาษๆไปบ้างก็ถือว่ายังอยู่ในจุดที่พอรับได้ แต่บุคคลที่ดูเหมือนจะแสดงผลงานได้อย่างโดดเด่นมากที่สุดก็คงจะเป็น 
เคธี่ แซ็คฮอฟฟ์ ที่เติมมิติให้กับตัวละครมารีย์ได้อย่างน่าทึ่งมากๆเลยทีเดียว


ในด้านของบทภาพยนตร์นั้นจริงๆแล้วต้องพูดเลยว่าน่าสนใจมากๆเลยทีเดียว กับการพิสูจน์ความจริงครั้งนี้ของสองตัวละครหลัก และความขัดแย้งทางความคิดของทั้งคู่ แต่น่าเสียดายที่หลายๆจุดนั้นยังเต็มไปด้วยจุดบกพร่องหรือจุดโต้แย้งได้ว่าทำไมตัวละครถึงทำเช่นนั้นอยู่บ้าง หรืออะไรหลายๆสิ่งที่ยัง Cliche ซ้ำซาก เดาง่ายอยู่บ้าง เช่นตำรวจในหนังผีที่มักจะมาสายตลอดเวลา หรือ ตัวละครที่จะหนีก็ทำได้ง่ายๆแต่กลับยังจะเข้าไปเผชิญปัญหาอีก เป็นต้น


สุดท้ายแล้ว สิ่งที่ตัวภาพยนตร์ Oculus ทำได้อย่างยอดเยี่ยมมากที่สุดก็คือการตั้งคำถามให้กับผู้ชมตอบ ว่าตกลงมันมีผีจริงหรือไม่ หรือจิตใจของพวกเขาสร้างขึ้นมาเองซึ่งเป็นจุดทีตัวละครในภาพยนตร์กำลังเผชิญอยู่ แต่เนื่องจากการเล่าเรื่องที่แสนจะยอดเยี่ยมและติดหนึบของมันทำให้เราเสมือนเข้าไปเป็นหนึ่งในตัวละครจนส่งผลมาถึงผู้ชมอย่างเราๆที่ก็ตั้งคำถามไปพร้อมๆกับตัวละครอย่างไม่ทันรู้ตัวว่าตกลงมันคืออะไรกันแน่ นี้ยังไม่รวมถึงความกดดันที่เต็มเปี่ยม กับ ตัวละครที่น่าทึ่งในภาพยนตร์อีกด้วย ถึงแม้ว่าบทสรุปของภาพยนตร์จะออกแนว ขี้โกงและหาทางออกได้ก่ำๆกึ่งๆอยู่บ้างอย่างน่าเสียดาย แต่นี้ก็เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์สยองขวัญที่น่าทึ่งเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว 
และเมื่อคุณได้มีโอกาสชมภาพยนตร์เรื่องนี้แล้วอย่าลืมตอบคำถามที่ว่า คุณเชื่ออย่างไหน ระหว่าง ความเชื่อว่าผีมีจริง และเป็นเหตุที่แท้จริงของเรื่องทั้งหมด หรือ ทุกอย่างเป็นเพียงแค่สิ่งที่จิตใจของพวกเขาสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นข้อแก้ตัวต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกันแน่ คำตอบที่แท้จริงน่ะหรือ ? ก็ขึ้นอยู่กับคุณแล้ว !!


Final Score : [ A - ] & [ Must See Badge ]



สามารถ Comment บทวิจารณ์หรือติดต่อผู้เขียนโดยตรงได้ที่ fallsdownzth@gmail.com ครับผม ขอบคุณครับ :) .

วันอาทิตย์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

The Amazing Spider-Man 2 ( 2014 ) Movie Review by FallsDownz

Movie Review
The Amazing Spider-Man 2 ( 2014 ) บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz
การกลับมาอีกครั้งของสไปดี้ที่จะต้องยิ่งใหญ่กว่าเดิม !! ระเบิดตูมตามกว่าเดิม !!



                จะว่าไปแล้ว หนึ่งในซุปเปอร์ฮีโร่ที่เข้ามาในโลกแห่งภาพยนตร์ได้อย่างยิ่งใหญ่และน่าจดจำคนหนึ่ง นอกจาก Batman หรือ Superman แล้ว ฮีโร่ไยแมงมุมอย่าง Spider-Man เองก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน โดยใน Spider-Man ฉบับเก่าภาคแรกถึงภาคสามนั้นเป็นฝีมือการกำกับของ แซม ไรมี่ ซึ่งเรียกได้ว่าสร้างผลงานออกมาได้อย่างน่าจดจำเสียจริงๆเชียว แต่ในท้ายที่สุด ตัวแซม ไรมี่เองก็หาจุดลงตัวกับค่าย Columbia Pictures ไม่ได้ในภาคต่อที่ 4 จึงเป็นเหตุทำให้ต้องมีการรีบู้ทใหม่เป็น The Amazing Spider-Man ซึ่งมีแนวทางการดำเนินเรื่องค่อนข้างจะใกล้เคียงกับหนังสือการ์ตูนจริงๆมากขึ้น

สำหรับตัวผู้เขียนเองแล้ว ต้องพูดเลยว่าไม่ค่อยจะประทับใจกับ The Amazing Spider-Man ในภาคแรกซักเท่าไรนัก ซึ่งส่วนใหญ่ๆก็มาจากการที่ได้เคยชม Spider-Man ฉบับของ แซม ไรมี่ ทั้งสามภาคมาก่อน จึงทำให้รู้สึกว่าหลายๆสิ่งหลายๆอย่างใน The Amazing Spider-Man มันช่างซ้ำซาก ไม่มีอะไรใหม่เหลือเกิน รวมไปถึงฝีมือการกำกับที่ด้อยกว่า แซม ไรมี่อยู่หลายเท่าตัว

อีกสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจ ในจักรวาลของ Marvel ตอนนี้ก็คือ ความแตกตัวหรือแยกตัวกันอย่างน่าเสียดายของตัวละครหรือกลุ่มต่างๆของ Marvel 
หลายๆคนคงอยากจะเห็น Spider-Man เข้าไปมีส่วนร่วมกับทีม The Avengers หรือ X-Men เองอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว อย่างเช่นผู้เขียนเองที่อยากจะชมเหตุการณ์ซุปเปอร์ฮีโร่ตีกันเองอย่าง Civil Wars บทจอภาพยนตร์ใหญ่ๆมากเลยทีเดียว แต่นั้นดูท่าจะเป็นไปได้ยากพอสมควรสำหรับตอนนี้ เพราะ ลิขสิทธิ์ของ X-Men ไปตกอยู่ในมือของค่าย 20 Century Fox ส่วน Spider-Man ก็ดันมาอยู่ในมือของ Columbia Pictures ซึ่งก็คือ Sony อีก ถ้าหาก 3 ค่ายนี้ไม่มาร่วมมือการจริงๆจังๆแล้วล่ะก็ดูท่าคงจะเป็นไปได้ยากเหลือเกิน นี้ยังไม่รวมถึงการที่ตัวละครบางตัวดันใช้นักแสดงไม่เหมือนกันของแต่ละค่าย เช่น Quick Silver ที่ X-Men กับ Marvel ดันใช้นักแสดงคนละคนกันอีกด้วย



เอาล่ะกลับมาเข้าเรื่องบทวิจารณ์ภาพยนตร์ภาคต่อ The Amazing Spider-Man 2 กันบ้าง ซึ่งแน่นอนว่าในเมื่อเป็นภาพยนตร์ภาคต่อ มันก็จะต้องตามมาด้วยความพยายามในการที่จะทำให้มันยิ่งใหญ่มากขึ้น และวุ่นวายมากขึ้น ซึ่งนั้นเป็นปัญหาที่ภาพยนตร์หลายๆเรื่องประสบอย่างมาก อย่างเช่น Rio 2 ที่พยายามที่จะทำให้มันยิ่งใหญ่มากขึ้น เช่นตัวละครที่มากขึ้น หรือด้านใหม่ๆของภาพยนตร์ แต่ในบางครั้งผลของมันก็คือความเยอะมากจนเกินไปของภาพยนตร์จนทำให้รายละเอียดในด้านต่างๆเช่นตัวละครมันหายไปหมด เสมือนกับภาพในคอมพิวเตอร์ที่มีรายละเอียดมากในระดับหนึ่ง แต่ถ้าคุณพยายามที่จะบังคับโดยการขยายให้ภาพมันใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ผลของมันก็คือภาพมันจะแตกเละเทะไปหมด และนั้นก็ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ The Amazing Spider-Man 2 เป็นอยู่ในขณะนี้


จากความพยายามที่จะยัดตัวละครใหม่ๆเข้ามาถึง 3 ตัวละคร ซึ่งจริงๆแล้วต้องพูดเลยว่า แต่ละตัวละครนั้นมีด้านต่างๆที่น่าสนใจมากๆเลยทีเดียว เช่นด้านที่ว่าทำไมพวกเขาถึงทำเช่นนี้ พื้นหลัง ปมขัดแย้ง หรือความคิดภายในจิตใจของพวกเขา รวมทั้งนักแสดงเหล่านี้ก็พร้อมที่จะเสริมมิติต่างๆให้กับตัวละครอีกด้วย แต่การที่ยัดเยียดตัวละครถึง 3 ตัวเข้ามาในภาพยนตร์เรื่องเดียวมันล้มเหลวอย่างมาก เพราะนอกจากมันทำให้ตัวละครทั้ง 3 ตัวลดความน่าสนใจลงอย่างมากด้วยแล้ว มิติต่างๆที่มันควรจะมี ความรู้สึกต่างๆที่เราควรจะมีต่อตัวละครเหล่านี้มันก็ลดลงอย่างมากอีกด้วย จนทำให้ผู้เขียนไม่รู้สึกสนใจหรือแคร์ตัวละครเหล่านี้แต่อย่างใดเลย เนื่องจากเวลาในการปลูกหรือเล่าตัวละครต่างๆเหล่านี้มันถูกตัดทอนไปให้ตัวละครอื่นๆในเรื่องจนเวลาของแต่ละตัวละครไม่เพียงพอเลย เราได้รู้เพียงจุดเล็กน้อยๆ จุดสำคัญๆของตัวละครเหล่านี้แบบผิวเผินเท่านั้นเอง ทั้งๆที่มันควรจะไปได้ไกลกว่านี้อีกมาก

แม้แต่ในด้านของความสัมพันธ์ของตัวละครอย่าง ปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ กับ เกวน สเตซี่ เองก็รู้สึกไม่เป็นธรรมชาติและบีบบังคับสุดๆ ซึ่งมาจากเหตุผล 2 ข้อ 
1. ก็คือเวลาที่มีเหลือน้อยของภาพยนตร์ซึ่งมาจากการที่ต้องแบ่งไปให้ตัวละครอื่่น และ 2. เพราะมันส่งผลถึงตอนจบของภาพยนตร์อย่างมาก 

ในส่วนของบทภาพยนตร์เองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเลย เพราะมันช่างสุดแสนจะซ้ำซาก จำเจ ดิ่งลงทางตรงอย่างเดียว ซึ่งจริงๆแล้วผู้เขียนก็ไม่ได้คาดหวังบทที่แสนจะเลิศเลอหรือเพอร์เฟ็คจากภาพยนตร์แนวนี้เลย แต่อย่างน้อยมันก็ควรจะมีอะไรที่น่าสนใจหรือแปลกใหม่บ้าง ไม่ใช่ตรงเปะเป็นกำปั้นทุบดินอย่างเดียวเช่นนี้ 
ซึ่งเมื่อนำตัวละครที่จับปนกันมั่วซั่วและยัดเยียด มารวมกับบทที่สุดแสนจะไม่มีอะไรเลยแล้ว ผลก็คือทำให้ภาพยนตร์เต็มไปด้วยความเอื่อยเฉื่อยน่าเบื่อ กับตัวละครที่สุดแสนจะ Cliche ซ้ำซากสุดๆอย่างน่าเสียดาย

วิธีการเล่าเรื่องและตัดต่อเองก็ให้ความรู้สึกมั่วซั่ว วุ่นวายไปหมดจากการที่ตัวละครมันเยอะเหลือเกิน และตัวผู้กำกับ มาค์ เวบบ์ เองก็ยังจะพยายามยัดเยียดเบียดๆให้มันเข้ามาอีกจนได้  ทั้งๆที่ตัวเขาเองก็คุมภาพยนตร์ไม่อยู่เอาเสียเลย

แต่ The Amazing Spider-Man 2 ก็ใช่ว่าจะมีแต่ข้อเสียเพียงอย่างเดียว มันยังคงมีบางสิ่งบางอย่างที่ได้ผลอยู่บ้างในภาพยนตร์ อย่างเช่นนักแสดงหลักอย่าง แอนดรูว์ การ์ฟิลด์ ที่ต้องพูดเลยว่าเหมาะสมกับบทสไปดี้ หรือ Spider-Man เสียจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นท่าทาง น้ำเสียง หรือการแสดงอารมณ์ต่างๆเขาก็ทำได้อย่างยอดเยี่ยมตลอดเวลา นั้นยังไม่รวมถึงเคมีของเขากับ เอมม่า สโตนที่รับบทเป็น เกวน เสตซี่ในภาพยนตร์ที่เข้ากันได้อย่างยอดเยี่ยมอีกด้วย

อีกอย่างหนึ่งที่ตัวภาพยนตร์ทำได้ไม่เลวเลยก็คือในด้านของฉาก Action ที่สนุก ตื้นเต้น และเร้าใจพอสมควรเลยทีเดียว ถึงแม้ว่าจะใช้เทคนิคที่ขี้โกงไปบ้างอย่างการ Slow-Motion เพราะมันดูเท่ห์ แต่อย่างน้อยมันก็ให้ความบันเทิงอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว ซึ่งอีกด้านหนึ่งก็ต้องขอชมผู้กำกับภาพ แดเนีบล มินเดลจริงๆที่ถ่ายภาพออกมาได้อย่างสวยงาม น่าทึ่งจริงๆ โดยเฉพาะในฉากสุดท้ายของภาพยนตร์


สำหรับผู้ชมบางท่านโดยเฉพาะท่านที่เป็นแฟน Spider-Man มาตั้งแต่หนังสือการ์ตูน อาจจะรู้สึกผิดหวังไปกับภาคต่อภาคนี้อยู่บ้าง ยิ่งภาพยนตร์อีกเรื่องหนึ่งของต้นสังกัด Marvel อย่าง Captain America : The Winter Soldier ทำผลงานได้อย่างดีด้วยแล้ว ยิ่งทำให้รู้สึกผิดหวังเข้าไปอีก แต่อย่างน้อยมันก็สร้างความบันเทิงอยู่ในระดับหนึ่ง และก็ไม่ได้แย่ไปกว่าที่หลายๆคนคาดคิดไว้ ถ้าหากเข้าไปชมแบบที่ไม่ได้คาดหวังอะไรเท่าไรก็น่าจะสนุกไปกับมันได้ อย่างไม่ต้องเป็นห่วงอะไรแน่นอน


Final Score : [ C ]