Movie Review
X-Men: Days of Future Past ( 2014 ) Movie Review by FallsDownz
ปฏิบัติการแก้ไขอดีต เพื่อเหล่ากลายพันธุ์ !!!
สำหรับตัวผู้เขียนเองแล้ว ถ้าให้พูดถึงภาพยนตร์ที่ชื่นชอบมากที่สุดในช่วงเวลาที่ผ่านมา 2-3 ปีนี้ หนึ่งในนั้นจะต้องมีชื่อของ X-Men : First Class ออกมาจากปากหรือหัวของผู้เขียนอย่างแน่นอนโดยไม่ต้องสงสัย ด้วยการที่มันถูกใจผู้เขียนเสียไปหมดจะทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นบทภาพยนตร์ที่เข้มข้น หนักแน่น จริงจัง , ตัวละครที่ยอดเยี่ยม มีเอกลักษณ์ , นักแสดงที่ยอดเยี่ยม และรวมไปถึงฉากบางฉากที่ยังจดจำได้ดีมาจนถึงทุกวันนี้ อย่างเช่นฉากที่แมคนีโต้หยุดขีปนาวุธเป็นสิบๆลูกที่พุ่งเข้ามาหาตัวเอง จากนั้นก็หมุนมันกลับไปหาเจ้าของมันเอง มันช่างเป็นฉากที่ อลังการ และช่วงชิงลมหายใจในขณะนั้นของผู้เขียนไปเลยทีเดียว นับตั้งแต่วันนั้นมา ผู้เขียนก็ตั้งตารอคอยที่จะได้ชมภาคต่ออย่าง Days of Future Past มาโดยตลอด
โดยในคราวนี้ การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญมากที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้นผู้กำกับภาพยนตร์ ที่เปลี่ยนจาก แมทธิว วอห์น มาเป็น ไบรอัน ซิงเกอร์ ซึ่งเขามีผลงานชื่อดังมาก่อนอย่างเช่น X-Men ภาคแรก และ X-Men ภาคที่สอง ซึ่งแฟนๆหลายคนยกย่องให้เป็นหนึ่งในภาพยนตร์ Super Hero ที่ยอดเยี่ยมที่สุดเลยทีเดียวเชียว
แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงมากๆในตัว ไบรอัน ซิงเกอร์ สำหรับตัวผู้เขียนเลยก็คือ ผลงานล่าสุดของเขาอย่าง Jack the Giant Slayer ที่ค่อนข้างจะแห้งเหลือเกิน ทำให้อดเป็นห่วงไม่ได้ว่า เขายังมีความสามารถพอที่จะมากุมบังเหียนภาพยนตร์ที่มีคนรอคอยและตั้งความคาดหวังเอาไว้สูงมากเช่นนี้ได้หรือไม่ โดยเฉพาะหลังจากหายนะอย่าง X-Men : The Last Stand ซึ่งนำไปสู่การรีเซทใน X-Men : First Class ที่ประสบความสำเร็จอย่างถล่มทลายไม่ว่าจะในด้านของรายได้ หรือ นักวิจารณ์ เรียกได้ว่างานนี้ งานหนักสำหรับตัวไบรอันอย่างแน่นอนไม่ต้องสงสัยเลยทีเดียว
X-Men : Days of Future Past พูดถึงเรื่องราวหลังจากภาค X-Men : Last Stand หลายปี ซึ่งโลกนั้นถูกครอบครองโดยหุ่นยนตร์ที่มีชื่อว่า "เซนทิเนล" ซึ่งในตอนแรกถูกสร้างมาเพื่อกำจัดและไล่ล่ามนุษย์กลายพันธุ์ แต่ในภายหลังมันกลับไม่ได้ทำเพียงแค่นั้น แต่ยังทำร้ายบุคคลที่มียีนส์กลายพันธุ์ทั้งหมด รวมถึงมนุษย์ที่พยายามจะต่อต้านด้วย และด้วยพลังที่มหาศาลของมัน จึงทำให้โลกตกอยู่ภายใต้กำมือของมัน เหล่ากลุ่ม X-Men จึงรวมตัวกันเป็นครั้งสุดท้าย เพื่อที่จะส่ง วูฟเวอรีน กลับไปในอดีต เพื่อแก้ไขเหตุการณ์ต่างๆและหยุด เซนทิเนล ไม่ให้เกิดขึ้น ก่อนที่ทั้งโลกจะไม่มีอะไรเหลืออีกต่อไป !!
สำหรับในกลุ่มภาพยนตร์ซุปเปอร์ฮีโร่นั้น ภาพยนตร์อย่าง X-Men เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์ที่ท้าทายมากๆเลยทีเดียว เพราะภาพยนตร์แนวนี้ส่วนใหญ่นั้น มักจะมีตัวละครที่สำคัญจริงๆเพียงไม่กี่ตัวเท่านั้น อย่างมากก็ 3-4 ตัว หรือมากกว่านั้นนิดหน่อย แต่ใน X-Men กลับมีตัวละครมากมายถึงเกือบ 10 ตัว หรือมากกว่า และแต่ละตัวก็ช่างสำคัญและมีเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนกันเสียหมด จึงเป็นเรื่องที่ยากมากๆ ที่จะปูเรื่องราวของตัวละครเหล่านี้ และแบ่งเวลาในภาพยนตร์ให้รู้สึกสำคัญเท่าๆกัน ไม่ใช่แบบว่าทั้งเรื่อง พี่วูฟเวอรีน เด่นอยู่คนเดียว จนคนอื่นไม่มีบทเลยเป็นต้น
แต่ในส่วนนี้ตัวภาพยนตร์ X-Men : Days of Future Past และผู้กำกับ ไบรอัน ซิงเกอร์ จัดการบริหารได้อย่างยอดเยี่ยมมากๆ แทบจะทุกตัวละครมีเวลาให้โชว์พลังต่างๆสมใจแฟนๆ และแต่ละตัวละครก็ให้ความรู้สึกว่ามีส่วนร่วมและมีผลกระทบกับบทภาพยนตร์ตลอดเวลา ไม่ใช่ตัวละครนี้ ตัวละครนั้นโดดเด่นอยู่เพียงตัวเดียวหรือสองตัว ซึ่งนี้ก็นำไปสู่การร่วมมือกันในฉากแอ็คชั่น การรวมพลังกันในด้านต่างๆ ยกตัวอย่าง เช่น ตัวละครหนึ่งที่มีพลังกำลังแข็งแรงวิ่งชารจ์อย่างรุนแรงไปข้างหน้า แล้วให้อีกตัวละครหนึ่งเปิดประตูมิติส่งตัวละครนั้นไปอย่างอีกจุดอย่างรวดเร็ว เพื่อให้ตัวละครนั้นเสริมพลังความรุนแรงในการโจมตี และสร้างโอกาศในการโจมตีแบบฉับพลันมากขึ้น เป็นต้น
นอกจากนั้นแล้ว การที่ตัวภาพยนตร์ X-Men นั้นมีมาหลายภาคมากๆแล้ว มันทำให้ได้เปรียบมากกว่าภาพยนตร์หลายๆเรื่องตรงที่ เราจะรู้เรื่องราว เบื้องหลัง ทัศนะคติ และพลังต่างๆของพวกเขาเหล่านี้โดยส่วนใหญ่แล้ว โดยที่ไม่ต้องอธิบายอะไร ยิ่งท่านใดเป็นแฟนๆเหล่า X-Men มาตั้งแต่หนังสือการ์ตูนด้วยแล้ว ยิ่งแล้วใหญ่ ซึ่งนอกจากมันจะทำให้ฉากโชว์พลังต่างๆ ทำได้อย่างเต็มที่โดยที่ไม่ต้องกลัวว่ามันจะโอเวอร์โดยไม่มีเหตุผลรองรับจนเกินไปแล้ว มันยังทำให้ตัวละครเหล่านี้มีความลึกและโดดเด่นขึ้นมาเองโดยอัตโนมัติทันที ซึ่งนำไปสู่ปมขัดแย้งต่างๆในเรื่องที่ยอดเยี่ยมมากขึ้น และนี้ก็เรียกได้เลยว่า เป็นจุดเด่นมากที่สุดของภาพยนตร์เรื่องนี้เลยทีเดียว
แต่ในอีกมุมหนึ่ง ผู้เขียนก็ต้องขอพูดเลย ว่า X-Men : Days of Future Past เป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์ภาคต่อที่มีปัญหาในหลายๆด้านอยู่พอสมควรเลยทีเดียว
ประการแรกเลยก็คือ ด้วยความที่มันเป็นภาพยนตร์ภาคต่อ เพราะฉะนั้น มันจะต้อง(พยายาม)อลังการ และยิ่งใหญ่มากกว่าภาคก่อนหน้านี้ ด้วยบทที่กว้างไกลมากขึ้น จากเพียงแค่เรื่องราวการกำเนิดของกลุ่ม X-Men ไปเป็นการช่วยเหลือโลก ในภาคนี้ แต่ปัญหาก็คือ ตัวภาพยนตร์นั้นปูเรื่องราวในด้านของโลกในอนาคตที่ถูก เซนทิเนล รุกรานได้รวดเร็วมากจนเกินไป แล้วหลังจากนั้นก็โยนผู้ชมเข้าไปในโลกอดีตเพื่อนำไปสู่การแก้ไขโลกในอนาคตเลย มันเหมือนกับว่า ตัวภาพยนตร์ปูเรื่องได้ 5 นาที จากนั้นก็โยนเข้าสู่กลางเรื่องอย่างหน้าตาเฉยเลย ซึ่ง 5 นาทีเนี้ย มันไม่ได้มีความเพียงพอที่จะสร้างความน่าเชื่อถือ ว่าโลกจะไปถึงจุดนั้น นอกจากการที่ให้ตัวละครในภาพยนตร์พูดได้เลย ซึ่งมันส่งผลถึงอารมณ์ร่วมในเหตุการณ์ต่างๆมากพอสมควร ในหลายๆฉากที่เราควรจะเคร่งเครียด หรือจริงจัง เรากลับไม่ได้รู้สึกใส่ใจหรือแคร์มันซักเท่าไรอย่างที่ควรจะเป็นเลย
ประการที่สองก็คือ บทภาพยนตร์ของ Days of Future Past ที่ยังไม่ละเอียดและจริงจังมากเพียงพอ ที่จะสร้างความน่าเชื่อถือ และ ความกดดันอย่างแท้จริง โดยเฉพาะบทในด้านของการส่งตัวละครกลับไปในอย่างอดีต ซึ่งไอ้จุดพลังของการส่งคนกลับไปในอดีตเนี้ยแหละ มันไม่ได้มีเหตุผลสนับสนุนมากเพียงพอ ว่าทำได้อย่างไร จะประคองได้อย่างไร และมันเป็นไปได้อย่างไร แต่อยู่ดีๆมันก็ "เกิดขึ้น" เฉยๆ นอกจากนั้นมันยังนำมาสู่การตั้งคำถามมากมายกับบทในส่วนนี้ว่าเป็นไปได้อย่างไร เช่น วูฟเวอรีนที่ถูกส่งไปในอนาคต โดยที่ถ้าหากควบคุมอารมณ์ไม่ดีพอ อาจทำให้เขาหลุดไปสู่จุดอื่นได้ แต่ในภาพยนตร์เราเห็นจุดนี้เกิดขึ้นเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้นเอง กับตัวละครอย่าง วูฟเวอรีน ที่เราหลายๆคนก็รู้ดีว่าเขาเป็นคนอารมณ์ร้อนแค่ไหน แถมเหตุการณ์ต่อสู้ต่างๆ ในเรื่อง คุณจะบอกว่ามันไม่ได้สร้างความแปรปรวนภายในจิตใจของ วูฟเวอรีนเลยหรือ ? หรือ การที่คิตตี้ส่งวูฟเวอรีนไปในอย่างอดีตได้เป็นวันๆ โดยที่ไม่พักเลย มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน ? ซึ่งคำอธิบายที่ตัวภาพยนตร์ให้มันก็ช่างเบาบางมากจนไม่สามารถที่จะเอาอะไรจริงจังกับบทภาพยนตร์ในส่วนนี้ได้เลย และสุดท้ายมันก็นำมาสู่การที่บทหลักและบทสรุปของภาพยนตร์ที่อ่อนแอเสียจน ไม่ส่งผลอะไรกับผู้เขียนอย่างที่มันควรจะเป็นเลย นี่ยังไม่รวมถึงประเด็นต่างๆในภาพยนตร์ที่ซ้ำซาก และเล่าเรื่องออกมาไม่ดีเท่าที่ควรอยู่พอสมควร
ประการสุดท้ายก็คือ ตัวภาพยนตร์ X-Men ในภาคนี้ ขาดฉากที่น่าจดจำ หรือฉากที่คุณยังคงจำได้ว่าเป็นอย่างไร ในอีกสิบปีข้างหน้า อย่างที่บอกไปแล้วในข้างต้นว่า X-Men : First Class มีฉากที่ผู้เขียนจดจำได้อย่างเช่น ฉากแมคนีโต้ หยุดขีปนาวุธ หรือฉากที่ชอว์ทำลายห้องโถง ซึ่งฉากเหล่านี้มันถูกออกแบบดีไซน์และกำกับออกมาได้เป็นอย่างดีจนทำให้มันน่าจดจำ แต่ใน Days of Future Past กลับไม่มีฉากเหล่านี้อยู่เลย แต่ละฉากให้ความรู้สึกสนุกแล้วก็ผ่านๆไปไม่ได้น่าจดจำอะไร หลังจากชมภาพยนตร์จบ ผู้เขียนยังแทบจะนึกฉากที่น่าจดจำหรือน่าพูดถึงได้ในภาพยนตร์ภาคนี้ไม่ได้เลยซักฉาก ถ้าฉากที่ใกล้เคียงกับคำนั้นก็คงจะเป็นฉากของ ควิกซิลเวอร์ ซึ่งฉากๆนั้น ตัวภาพยนตร์ก็ไม่ได้เอาจริงเอาจังอะไรกับมันมาก นอกจากเป็นฉากให้ความตลกเสียอีก มันจึงเป็นฉากที่ตกประเด็นไปได้อย่างง่ายดาย
ซึ่งสามข้อที่กล่าวมานี้แหละ เป็นจุดเสียหายที่ร้ายแรงที่สุดของ Days of Future Past แต่นอกจากนั้นโดยรวมก็ถือว่าทำได้อยู่ในระดับที่โอเคทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น CG ที่สวยงาม อลังการ , ฉากต่อสู้ที่ออกแบบมาได้ดีในระดับหนึ่ง และการแสดงที่ยอดเยี่ยมของนักแสดงต่างๆในภาพยนตร์ไม่ว่าจะเป็น เอียน แม็กเคลเลน , แพทริค สจวร์ต , พี่ฮิวจ์ แจ็คแมน , เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนส์ , ไมเคิล ฟาสเบนเดอร์ , เจมส์ แม็กอะวอย หรือ แม้กระทั่ง เอเลน เพจ ที่กำลังขาขึ้นสุดๆจากผลงานทั้งภาพยนตร์และเกมมากมาย
ในท้ายที่สุดแล้ว X-Men : Days of Future Past สำหรับตัวผู้เขียนนั้น ถือได้ว่าค่อนข้างจะผิดหวังอยู่เล็กน้อย จากปัญหาต่างๆที่ได้กล่าวไปแล้วของภาพยนตร์ ถึงแม้ว่าก็ยังอยู่ในจุดที่เรียกได้ว่าคุ้มค่ากับการรอคอย แต่ ณ ตอนนี้ อันดับหนึ่งในภาพยนตร์ X-Men สำหรับตัวผู้เขียน ก็ยังคงเป็น X-Men : First Class อยู่เช่นเคยไม่มีการเปลี่ยนแปลง เราก็ต้องมาจับตาและรอคอยกันต่อไป สำหรับภาคต่ออีกภาคอย่าง X-Men : Apocalypse ว่าจะออกมาซ้ำรอยปัญหากับ Days of Future Past หรือจะประสบความสำเร็จจนแซงหน้า First Class ไปได้ในที่สุด
Final Score : [ B + ]
สามารถ Comment บทวิจารณ์หรือติดต่อผู้เขียนโดยตรงได้ที่ fallsdownzth@gmail.com ครับผม ขอบคุณครับ :) .
สามารถ Comment บทวิจารณ์หรือติดต่อผู้เขียนโดยตรงได้ที่ fallsdownzth@gmail.com ครับผม ขอบคุณครับ :) .