Movie Review
"ทึ่งไปการกำกับของ Paul W.S. Anderson ใน Pompeii
ที่ช่างวินาศเสียยิ่งกว่าภูเขาไฟในภาพยนตร์เสียอีก"
Movie Name : Pompeii ( 2014 ) , Action / Adventure / Drama
Director : Paul W.S. Anderson ( Resident Evil , The Three Musketeers )
Stars : Kit Harington ( Silent Hill : Revelation 3D , Game of Thrones TV-Series ) , Carrie-Anne Moss ( The Matrix ) , Emily Browning ( Sucker Punch ) , Adewale Akinnuoye-Agbaje ( The Mummy Returns ) , Jared Harris ( Resident Evil 2 , Sherlock Holmes : A Game of Shadows ) , Kiefer Sutherland ( 24 TV-Series )
Rating : PG -13
Pompeii เล่าถึงเรื่องราวของไมโลทาสผู้ซึ่งจะต้องหาหนทางช่วยคนรักของเขาให้พ้นจากสมาชิกวุฒิสภาที่ชั่วร้ายให้ได้ ท่ามกลางภูเขาไฟที่กำลังปะทุ เวลาของเขานั้นกำลังจะหมดลง...
REVIEW
ปอมเปอี ถ้าหากพูดชื่อนี้ขึ้นมาแล้วล่ะก็ ผู้อ่านหลายๆท่านก็น่าจะทราบกันดี ว่านี้ก็คือชื่อเมืองในประเทศอิตาลีซึ่งประสบภัยพิบัติที่เรียกได้ว่าน่าหวาดผวาและน่ากลัวมากที่สุดครั้งหนึ่งบนโลก ซึ่งจริงๆแล้วเป็นเรื่องราวที่ต่อให้เราไม่ได้ชมภาพยนตร์เราก็ทราบกันดี เสมือนภาพยนตร์อย่างเช่น ไททานิค ที่ต่อให้เราไม่เคยชมมาก่อนเลย แต่ถ้าเราหาข้อมูลหรือเคยได้ยินมาบ้างก็น่าจะทราบดีว่า ในท้ายที่สุด ยังไงเรือไททานิคมันก็ต้องจม ซึ่งการนำสิ่งที่ผู้ชมนั้นรู้และทราบมาก่อนอยู่แล้วมาทำเป็นภาพยนตร์ ภาระจึงตกไปอยู่กับผู้กำกับว่าจะทำอย่างไรให้มันน่าสนใจ สนุก และตื่นเต้น นี้ยังไม่รวมไปถึงการตีความและเพิ่มความรู้ใหม่ๆในเหตุการณ์จริงให้กับผู้ชมอีกด้วย
ซึ่งอารมณ์สนุกและตื่นเต้นเหล่านั้น ต้องพูดเลยว่าแทบจะไม่เกิดขึ้นเลยใน Pompeii เพราะมันมักจะเต็มไปด้วยความจืดชืด น่าเบื่อหน่าย และไม่น่าสนใจเสียมากกว่า
สิ่งที่ผู้เขียนคิดว่าเป็นปัญหาหนักมากที่สุดในภาพยนตร์เรื่องนี้ ก็คือการกำกับของ Paul W.S. Anderson ไม่ว่าจะเป็นการเล่าเรื่องที่แข็งทื่อ การกำกับนักแสดงที่แย่ ไม่สามารถที่จะดึงพลังของนักแสดงออกมาได้อย่างเต็มที่ และที่แน่นอนเลยก็คือไม่สามารถที่จะคุมผู้ชมอย่างอยู่หมัดเลย ซึ่งจริงๆแล้วก็ไม่ค่อยจะแปลกใจเท่าไรนัก จากผลงานชิ้นก่อนๆของเขาอย่าง The Three Musketeers หรือ Resident Evil ภาคหลังๆ
แต่สิ่งที่ทำให้ผู้เขียนรำคาญและน่าเบื่อหน่าย ก็คือการกำกับฉาก Action ที่ตัดหรือCut แทบจะทุกครึ่งวินาที นอกจากมันจะสร้างความน่ารำคาญจากการที่ดูอะไรไม่ค่อยจะรู้เรื่องแล้ว มันยังแสดงถึงความไร้ประสิทธิภาพของผู้กำกับแบบสุดขีดอีกด้วย เพราะมันไม่ได้มีการใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการถ่ายทำใดๆเลย เพียงแค่ถ่ายลวกๆแล้วอาศัยการตัดเร็วๆเอา ซึ่งทำให้เกิดคำถามว่า "ทำได้แค่นี้หรือ ?"
แม้แต่บทภาพยนตร์ใน Pompeii ก็แทบจะไม่ได้ดูดีไปกว่าการกำกับของ Paul W.S. Anderson เท่าไรนัก ทั้งๆที่ตัวภาพยนตร์ตั้งชื่อว่า Pompeii แต่จริงๆแล้วมันกลับให้ความรู้สึกเหมือน Gladiator ฉบับมีภูเขาไฟมากกว่า เพราะประมาณ 70-80% ของภาพยนตร์นั้นเพ่งเล็งและจดจ่ออยู่กับแต่เรื่องราวของนักรบ Gladiator และทาสมากกว่าภูเขาไฟเสียอีก ซึ่งทำให้ผู้เขียนนึกถึงภาพยนตร์เรื่องหนึ่งในปีที่แล้ว นั้นก็คือ Mortal Instrument : City of Bones ที่ทั้งเรื่องจริงๆแล้วอยู่ในเมืองกระดูกราวๆ 5 นาทีหรือต่ำกว่าเท่านั้น สร้างความฉงน น่าสงสัยและงงงวยให้กับผู้เขียนเป็นอย่างมาก ว่าจะตั้งชื่อเรื่องเช่นนี้ไปเพื่ออะไรกันถ้าหากมันจะมีความสำคัญอยู่เพียงเท่านั้น เพื่อทำให้ภาพยนตร์ดูน่าสนใจ ? เพื่อให้ดูเท่ ?
นอกจากนั้นการใส่เรื่องราวเกี่ยวกับนักรบ Gladiator หรือทาส ลงไปใน Pompeii ก็ไม่ได้ทำให้มันน่าสนใจ หรือช่วยให้สนุกขึ้นเลยแม้แต่น้อย เพราะมันช่างถ่ายทอดออกมาในมุมที่แคบ รายละเอียดน้อยมากและแทบจะไม่อยากเรียกว่า Gladiator ด้วยซ้ำ
ซึ่งจริงๆแล้วฉากและสิ่งที่น่าสนใจอย่างแท้จริงใน Pompeii นั้นก็คือฉากภูเขาไฟระเบิดและเรื่องราวของเมืองที่กำลังจะจมลงสู่ความมืดต่างหาก แต่ในส่วนนี้กลับเป็นส่วนที่ภาพยนตร์แทบจะไม่ค่อยพูดถึงและถูกกลบด้วยเรื่องราวของนักรบ Gladiator ที่ช่างแบนราบยิ่งกว่าพื้นปูนซีเมนต์ที่เพิ่งฉาบใหม่ๆเสียอีก
นี้ยังไม่รวมถึงตัวละครที่ช่างตัดและแปะมาจากแม่แบบ 100% ของภาพยนตร์ ที่ แบน ทื่อ แข็ง ง่าย และไม่น่าสนใจเลยแม้แต่น้อย แย่กว่านั้นอีกเพราะนอกจากมันจะตัดแปะมาจากแม่แบบง่ายๆแล้ว ผู้กำกับยังไม่สามารถที่จะทำให้เรารู้สึกเชื่อหรือเข้าใจอะไรในตัวละครเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย โดยเฉพาะ ความสัมพันธ์ระหว่างไมโลกับแคสเซีย ที่ผู้เขียนไม่ซื้อและไม่เชื่อเลยแม้แต่น้อย ว่าตัวละครสองตัวนี้จะรักกันได้ ซึ่งเป็นผลมาจากการปูเรื่องที่แย่ ง่ายๆลวกๆ และบทพูดที่ตัดแปะอย่างน่าอนาถจนไร้น้ำหนัก
สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุดก็คือ Production Design ซึ่งก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ชวนหัวเราะขบขันมากใน Pompeii นอกจากมันจะ เลวร้าย แย่ ไม่มีความตั้งใจแล้ว มันยังน่าอับอายเป็นที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าที่อีกเช่นเคย Copy/Paste จาก Wikipedia เหมือนทำส่งๆไป , การออกแบบฉากที่ช่างจืดชืด ไม่น่าสนใจ และ CG เอฟเฟคที่ชวนขำ
Pompeii เป็นภาพยนตร์อีกเรื่องที่ทำให้ผู้เขียนรู้สึกเสียดายอยู่ไม่ใช้น้อยเลยทีเดียว เรื่องราวอย่างเมือง Pompeii จริงๆแล้วมันน่าจะเป็นเรื่องราวที่ทำให้น่าสนใจ และน่าติดตามได้อยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว ซึ่งเราก็เห็นหลักฐานกันอยู่บ้างในภาพยนตร์เรื่องนี้ ในอีกมุมหนึ่งแล้วนักแสดงเหล่านี้ก็พร้อมที่จะทำให้มันดีได้เพราะพวกเขาก็พยายามที่จะให้อะไรบางอย่างกับผู้ชมเหลือเกิน โดยเฉพาะ Adewale Akinnuoye-Agbaje ซึ่งรับบทเป็น Atticus เขานั้นเรียกได้ว่าเป็นผู้นำความหวังที่น้อยนิด มาสู่ภาพยนตร์ที่อยู่ท่ามกลางหายนะและสิ้นหวังเรื่องนี้เลยจริงๆ เพียงแต่ว่าการเลือกผู้กำกับอย่าง Paul W.S. Anderson มาเป็นผู้คุมทุกอย่างในภาพยนตร์เรื่องนี้นั้นดูจะผิดพลาดอย่างมากถึงมากที่สุด ถ้าหากเปลี่ยนผู้กำกับเป็นท่านอื่นที่มีประสบการณ์มากกว่านี้ มันน่าจะเป็นภาพยนตร์ที่ยอดเยี่ยมและสนุกได้ไม่ยาก แต่ ณ ตอนนี้ สำหรับการกำกับของ Paul W.S. Anderson ใน Pompeii 2014 เรียกได้ว่า"หายนะ" อย่างที่สุด ซึ่งพอมานั่งคิดดูแล้วอย่างน้อยมันก็ไม่มีฉาก Slow Motion ทุกๆ 10 วินาที นั้นก็อาจจะเรียกได้ว่าเป็นพัฒนาการอย่างหนึ่งของเขาก็เป็นได้
Final Score : [ D ] & [ Garbage Badge ]