วันเสาร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2557

Lucy ( 2014 ) Movie Review by FallsDownz

Movie Review



"Lucy คือผลงานกำกับที่บ้าคลั่งที่สุดของลุค เบซอง มันระห่ำ , บ้า และหลุดโลก แต่ในขณะเดียวกัน การกำกับที่บ้าคลั่งชนิดที่ทำอะไรทำสุดเช่นนี้ ก็สร้างความบันเทิง จุดเด่น และความน่าจดจำให้กับตัวภาพยนตร์ไม่น้อยเลยทีเดียว"


    ลุค เบซองเป็นอีกหนึ่งผู้กำกับที่คอหนังหลายคนน่าจะรู้จักกันดี จากผลงานการกำกับชื่อดังอย่าง Leon The Professional หรือเป็นผู้เขียนบทภาพยนตร์ให้กับ Taken ทั้งสองภาค รวมถึงภาพยนตร์เรื่องนี้เองด้วย แต่ผลงานการกำกับของเขาในช่วงหลังๆ ค่อนข้างจะเอาแน่เอานอนไม่ได้และบางครั้งผลที่ออกมาก็น่าผิดหวัง ตัวอย่างเช่น The Family ซึ่งนำแสดงโดยป๋าโรเบิรต์ เดอนีโร เมื่อปีที่แล้ว ซึ่งมีพล๊อตเรื่องที่น่าสนใจ แต่ล้มเหลวในการถ่ายทอดมันออกมาอย่างสิ้นเชิง

สิ่งที่น่าจะเป็นจุดดึงดูดมากๆอีกจุดหนึ่งของภาพยนตร์เรื่องนี้เลยก็คือนักแสดงนำหญิงที่กำลังฮ็อตฮิตกันมากในขณะนี้อย่าง สการ์เล็ต โจแฮนสัน จากผลงานดังๆในช่วงปีที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็น The Avengers , Captain America 2 , Under The Skin และอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งใน Lucy เธอก็ได้พิสูจน์แล้วว่าเธอคนเดียวสามารถแบกภาพยนตร์ทั้งเรืองไว้ได้ แม้ว่าอาจจะยังอยู่ในระดับที่สามารถพัฒนาไปได้มากกว่านี้ก็ตาม

ถึงแม้ว่าภายนอกของภาพยนตร์เรื่องนี้จะดูเหมือนภาพยนตร์แอ๊คชั่นระห่ำทั่วๆไป ด้วยบทหนีและไล่ล่ากันไปมาทั่วๆไป แต่เมื่อเข้าไปชมจริงๆแล้ว กลับพบว่ามันแตกต่างไปจากที่คิดหลายขุมเลยทีเดียวเชียว โดยเฉพาะความ "เหนือจริง" ของมันที่ลุค เบซองแอบซ่อนเอาไว้ในบทภาพยนตร์อีกชั้นได้อย่างน่าสนใจ ซึ่งมันจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนถึงจุดที่เรียกได้ว่าไปไม่กลับแล้ว ซึ่งถึงแม้ว่าตัวภาพยนตร์จะเอาทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์มาอ้างมากมายก็ตาม แต่มันก็อธิบายได้ไม่ดีพอที่จะเราจะเชื่อมัน ยิ่งผนวกกับความบ้าที่มันแสดงออกมาให้เห็น จึงทำให้ผู้เขียนไม่สามารถที่จะจริงจังกับมันได้เลย ผลของการผสมรวมครั้งนี้จึงทำให้ Lucy กลายเป็นภาพยนตร์แอ๊คชั่น ไซไฟ ที่ขาข้ามเส้นมาเป็นแฟนตาซีไปครึ่งตัวแล้วนั้นเอง


ซึ่งจริงๆแล้วประเด็นทฤษฎีเรื่องการใช้สมองเป็น % ของมนุษย์นี้ก็เคยถูกพูดถึงมาก่อนแล้วไม่นานนี้เองในภาพยนตร์เรื่อง Limitless ของหนุ่มแบรดลีย์ คูเปอร์ กับ โรเบิรต์ เดอนีโรซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าลุค เบซองได้แรงบันดาลใจมาจากภาพยนตร์เรื่องนี้หรือไม่ 


แต่สิ่งที่แยก Limitless กับ Lucy ออกจากกันก็คือสไตล์การเล่าเรื่องของมัน ในขณะที่ Limitless เป็นการเล่าเรื่องแบบจริงจัง ช้า และพยายามสร้างความสมจริง(ส่วนหนึ่ง) Lucy กลับเป็นอีกด้านหนึ่งของ Limitless มันบ้าคลั่ง รวดเร็วและหลายสิ่งอย่างก็เหนือจริงเกินที่จะหาคำมาอธิบายใดๆได้ 


ซึ่งการที่ภาพยนตร์เรื่องนี้เต็มไปด้วยความบ้าคลั่งและเหนือจริงนั้น ก็ใช่ว่ามันจะนำมาซึ่งเพียงแต่หายนะซะทีเดียว ในอีกด้านหนึ่งมันก็เป็นอะไรที่บันเทิงไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว อย่างน้อยถ้าหากคุณจะบ้า ก็ใส่มันมาให้เต็มที่ ไม่ใช่จะบ้าและมานั่งกั๊กอาวุธเอาไว้ และนั้นมันก็ยังทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้มีจุดเด่นและน่าจดจำขึ้นมาอย่างทันตาเห็น ด้วยบทแก้แค้น หนีและไล่ล่าสุดแสนจะธรรมดา แต่ซ้อนความบ้าบอคอแตกเอาไว้ได้อย่างน่าสนใจ


ในท้ายที่สุดแล้ว Lucy ก็กลายเป็นอีกหนึ่งผลงานที่น่าชื่นชมไม่น้อยของลุค เบซอง ด้วยความบ้าบิ่นและไร้ตรรกะของมันทำให้มันกลายเป็นภาพยนตร์ที่บันเทิงไม่ใช่น้อย ในอีกด้านหนึ่งการซ่อนความบ้าเอาไว้ในบทสุดแสนจะธรรมดาอีกชั้นหนึ่งก็ถือเป็นความฉลาดในการเล่าเรื่องของเขาเช่นเดียวกัน เพียงแต่ว่าความบ้าของตัวมันเองก็เป็นเสมือนดาบสองคม ที่ทำให้ผู้ชมไม่อาจจะหยิบจับอะไรจากมันมาเป็นชิ้นเป็นอันได้เลยเช่นเดียวกัน

Final Score : [ B + ] 



เพื่อนๆพี่ๆสามารถเข้าไปกดไลค์แฟนเพจได้ที่นี้ครับผม https://www.facebook.com/fallsdownzcritic/

วันพฤหัสบดีที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2557

Michael ( 2011 ) Movie Review


Michael ( 2011 ) 

"ถึงแม้ว่าภาพยนตร์เรื่อง Michael จะมีบทที่ไม่ได้แตกต่างจากภาพยนตร์แนวเดียวกันเรื่องอื่นซักเท่าไรนัก แต่วิธีการกำกับและเล่าเรื่องที่ชาญฉลาดของมัน จึงทำให้มันโดดเด่นเหนือภาพยนตร์แนวลักพาตัวเรื่องอื่นๆอย่างง่ายดาย'

ป็นภาพยนตร์อีกหนึ่งเรื่องที่พูดถึงความเลวร้ายของมนุษย์ซึ่งภายนอกดูเป็นคนสุดแสนจะธรรมดา แต่กลับซ่อนความลับที่น่ากลัวเอาไว้ พล๊อตในภาพยนตร์เรื่องนี้จริงๆแล้วก็ไม่ค่อยจะน่าตื่นเต้นซักเท่าไรนัก เพราะเราเคยเจอภาพยนตร์แนวนี้มาก่อนแล้ว จะมีส่วนที่แปลกใหม่และน่าสนใจก็ตรงที่ ถึงแม้ว่าไมเคิลในมุมหนึ่งจะเป็นผู้ร้ายซึ่งกระทำชำเราเด็กผู้ชายคนหนึ่งก็ตาม ในอีกด้านหนึ่งความสัมพันธ์ในบางด้านของพวกเขาก็แทบจะไม่ต่างอะไรกับคู่พ่อ/ลูกธรรมดาคู่หนึ่ง ซึ่งค่อนข้างจะน่าผิดศวงและเสียดสีสังคมอยู่เหมือนกัน

แต่วิธีการเล่าเรื่องและกำกับต่างหากที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ของภาพยนตร์ที่ค่อนข้างจะช้าและว่างเปล่าไม่ต่างอะไรจากตัวละครหลัก โดยเฉพาะตอนต้นเรื่องที่เต็มไปด้วยมุมกล้องชนิดวางอยู่กับที่ นอกจากนั้นยังมีการเล่าเรื่องที่ค่อนข้างจะช้ากว่าปกติสำหรับภาพยนตร์แนวนี้ สำหรับภาพยนตร์แนวลักพาตัว คนทั่วๆไปก็คงจะคาดหวังว่ามันจะเป็นแนวตื่นเต้นหรือลุ้น ว่าเด็กคนนี้จะหนีออกไปได้อย่างไร แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้กลับแทบจะไม่มีฉากเหล่านี้เลย จะมีก็เพียงครั้งเดียวตอนจะจบเรื่องเท่านั้น มันจึงกลายเป็นภาพยนตร์แนวลักพาตัวอีกด้านและอีกอารมณ์หนึ่งอย่างน่าสนใจ

ตัวละครหลักอย่างไมเคิลเองก็ถือได้ว่าน่าสนใจไม่ใช่น้อย ในด้านหนึ่งเขาก็คือคนโรคจิตที่ลักพาตัวเด็กมาเพื่อตอบสนองอารมณ์ทางเพศของตนเอง แต่ในอีกด้านหนึ่งเขาก็คือคนธรรมดาทั่วๆไปที่ใช้ชีวิตตามปกติรวมถึงยังดูแลเด็กที่เขาลักพาตัวมาเสมือนลูกตนเองจริงๆ ซึ่งตัวหนังก็ตอกย้ำประเด็นนี้ในฉากตอนต้นเรื่องที่ทั้งคู่เดินผ่านคู่พ่อลูกอีกคู่หนึ่งได้อย่างน่าสนใจ อีกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจก็คือเรื่องความชื่นชอบทางเพศในตัวเด็กผู้ชายของไมเคิล ซึงตัวเขาเองก็รู้สึกผิดในจุดนี้อย่างมาก และยังพยายามแก้ไขมันในท้ายเรื่องอีกด้วย เมื่อนำจุดเหล่านี้มารวมกันจึงทำให้ตัวละครไมเคิลตัวนี้กลายเป็นตัวละครที่น่าสนใจขึ้นมาทันที


ในท้ายที่สุดแล้ว Michael ถึงแม้ว่าจะเป็นภาพยนตร์ที่มีบทภายนอกซ้ำซากจำเจไปบ้าง แต่การกำกับและเล่าเรื่องที่เหนือชั้นของ Markus Schleinzer ก็ทำให้มันน่าสนใจขึ้นมาอย่างง่ายดาย เพียงแต่มันอาจจะเป็นภาพยนตร์ที่ไม่เหมาะสำหรับผู้ชมทั่วไปเท่าไรนัก จากเนื้อหาที่ค่อนข้างจะน่าหดหู่พอสมควร

Final Score : [ B ]

3096 Days ( 2013 ) Movie Review

Movie Review

"3096 Days เป็นภาพยนตร์ที่มีการเล่าเรื่องและบทที่ซ้ำซากจำเจ ซึ่งดูเหมือนตัวมันเองก็รู้ตัวจึงพยายามเรียกร้องความสนใจคนดูด้วยฉากหวือหวาต่างๆอย่างน่ารำคาญ ในท้ายที่สุดมันจึงไม่ต่างอะไรกับภาพยนตร์แนวลักพาตัวเรื่องอื่นๆ ที่ไม่สามารถนำเสนอสิ่งใหม่ๆได้"

3096 Tage หรือ 3096 Days เป็นภาพยนตร์จากประเทศเยอรมันที่พูดถึงเรื่องราวของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งถูกลักพาตัวไปเป็นเวลานานถึง 3,096 วัน โดยภาพยนตร์เรื่องนี้มีต้นแบบมาจากหนังสือในชื่อเดียวกัน ซึ่งหนังสือเล่มนั้นก็ถูกเขียนด้วยตัวเหยื่อที่ประสบชะตากรรมนี้จริงๆ จึงพูดได้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้มีต้นแบบมาจากเรื่องจริงที่ค่อนข้างจะน่าสนใจไม่ใช่น้อย

ถึงแม้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะมีต้นแบบมาจากเรื่องจริง ซึ่งมีเบื้องหลังที่น่าสนใจมากๆก็ตาม แต่ตัวภาพยนตร์ที่สร้างออกมาเรื่องนี้นั้นกลับช่างน่าผิดหวังเสียเหลือเกิน

เหมือนภาพยนตร์ลักพาตัวหลายๆเรื่อง 3096 Days ก็ยังคงมีโครงสร้างเรื่องราวของ"การถูกลักพาตัว" เดิมๆเช่นเคย ซึ่งปัญหาก็คือนอกจากมันจะซ้ำซากแล้ว องค์ประกอบต่างๆในภาพยนตร์ก็ซ้ำซากเหลือเกิน ยิ่งผนวกกับการกำกับที่ไม่มีชั้นเชิงใดๆเลยของ Sherry Hormann ยิ่งทำให้ 3096 Days กลายเป็นภาพยนตร์ที่สร้างความน่าเบื่อหน่ายอย่างรวดเร็วขึ้นไปอีก


แต่สิ่งที่น่ารำคาญยิ่งไปกว่านั้นก็คือตัวภาพยนตร์ที่เหมือนจะรู้ตัวว่าไม่มีอะไรใหม่ แต่ต้องพยายามดึงคนดูให้มาสนใจหรือไม่หลับไปเสียก่อนให้ได้ ตัวภาพยนตร์มันจึงเต็มไปด้วยฉากโป๊เปลือย และเซ็กส์ที่ไร้ความจำเป็น ไม่สร้างซึ่งอารมณ์หรือแสดงถึงทัศนคติของตัวละครใดๆ

ซึ่งส่วนหนึ่งที่เป็นเช่นนั้นก็มาจากด้านตัวละครในภาพยนตร์ที่ถูกปูมาแบบสำเร็จรูปชนิดที่ย่ำแย่เอาการ นอกจากเราจะไม่ได้ใส่ใจหรือแคร์ตัวละครเหล่านี้ใดๆเลยแล้ว ตัวละครเหล่านี้ยังถูกขัดเกลามาไม่ดีพอ แทบจะไม่มีซึ่งความลึกหรือความเป็นมนุษย์เหลืออยู่เลยแม้แต่น้อย ทั้งๆที่มีต้นแบบมาจากเรื่องจริง และเหยื่อตัวจริงได้เคยให้สัมภาษณ์ถึงคนร้ายที่ลักพาตัวเธอ แต่เธอกลับสงสารเขาด้วยสาเหตุบางประการด้วยซ้ำไป แต่ในภาพยนตร์ผู้เขียนไม่รู้สึกสิ่งเหล่านี้เลย ผู้เขียนรู้สึกว่าตัวละครเหล่านี้ก็คือตัวละครที่ถูกตัดแปะมาจากแม่แบบ 100% ตัวร้ายคือไอ้คนเลวชั่วช้าและมันต้องได้รับกรรมเท่านั้น ส่วนเหยื่อคือคนที่ต้องไร้เดียงสา มีปัญหามาก่อนโดนลักพาตัว และจะต้องถูกซ้อมหรือถูกกระทำรุนแรงทุกครั้งไป

สิ่งที่น่าสนใจก็คือเมื่อนำภาพยนตร์เรื่องนี้ไปเปรียบเทียบกับภาพยนตร์แนวคล้ายคลึงกันอีกเรื่องอย่าง Michael (2011) ในขณะที่ตัวโครงสร้างบทภาพยนตร์เองนั้นดูไม่ค่อยจะแตกต่างกันเท่าไร แต่ Michael กลับน่าจดจำกว่าด้วยการกำกับที่ยอดเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นมุมกล้องที่น่าสนใจกว่า หรือการเล่าเรื่องที่สอดแทรกอีกด้านหนึ่งของตัวละครอย่างชาญฉลาด ที่สำคัญคือมันไม่พยายามเรียกร้องความสนใจแบบเด็กวัยรุ่นใจแตกอย่างน่ารำคาญแบบเดียวกับที่ 3096 Days ทำ ทั้งๆที่ตัวภาพยนตร์ Michael เองทั้งเรื่องมีบทพูดที่ค่อนข้างจะน้อยมาก แต่มันกลับถ่ายทอดออกมาด้วยภาพได้อย่างชาญฉลาดกว่ามาก


ในท้ายที่สุด 3096 Days จึงกลายเป็นแค่อีกหนึ่งภาพยนตร์ลักพาตัวทั่วๆไปที่ซ้ำซาก จำเจ และน่าเบื่อ ถึงแม้ว่าจะมีแหล่งที่มาที่น่าจะไปได้ไกลกว่านี้ก็ตาม

Final Score : [ C - ]

Citizen Kane ( 1941 ) Movie Review

Citizen Kane ( 1941 ) 

"ถึงแม้เวลาจะผ่านมายาวนานถึง 70 กว่าปี แต่ Citizen Kane ก็ได้พิสูจน์แล้วว่า กาลเวลามิสามารถที่จะโค่นความน่าอัศจรรย์ของภาพยนตร์เรื่องนี้ไปได้เลยแม้แต่น้อย"

    แม้ว่าจะเป็นภาพยนตร์ที่สร้างมาแล้วเป็นเวลานานกว่า 70 ปี แต่ดูเหมือนคำชมเชยและคำกล่าวขวัญที่ยังคงอยู่ถึงปัจจุบันนี้จะเป็นจริงทุกประการ 
โดยเฉพาะเทคนิคทางด้านภาพยนตร์ของมันซึ่งเหนือชั้นเสียยิ่งกว่าภาพยนตร์ในยุคปัจจุบันด้วยซ้ำไป ไม่ว่าจะเป็นเทคนิคทางด้านภาพที่ล้ำลึก การวางมุมกล้อง การจัดแสง หรือการเคลื่อนกล้องที่น่าตื่นตาตื่นใจ ไม่น่าเชื่อเลยว่าในสมัยก่อนที่แทบจะไม่มีเทคโนโลยีมาช่วยใดๆเลยจะสามารถสร้างภาพและเทคนิคได้น่าทึ่งขนาดนี้

ในด้านของบทภาพยนตร์มันเองก็เป็นเรื่องที่พูดถึงจุดเริ่มต้นที่สวยงามไปจนถึงจุดจบที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวังของชายผู้หนึ่ง ซึ่งมันแฝงไปด้วยการวิจารณ์การเมืองที่โหดร้ายทารุณในสหรัฐอเมริกา จนถึงชีวิตของผู้ชายคนหนึ่งผู้ซึ่งถูกช่วงชิงความทรงจำในวัยเด็กไปและพยายามทำทุกสิ่งอย่างเพื่อที่จะทดแทนสิ่งนั้น 

นี้ยังไม่รวมถึงการเล่าเรื่องของผู้กำกับออร์สัน เวลส์ที่เหนือขั้นไปอีกชั้น การเล่าเรื่องในภาพยนตร์เรื่องนี้นั้นเต็มไปด้วยการเล่าเรื่องหลักที่เป็นสไตล์ภาพยนตร์สืบสวนและซ้อนด้วยเรื่องราวดราม่าแต่ละช่วงชีวิตของผู้ชายคนหนึ่ง ซึ่งการซ้อนนี้ทำออกมาได้อย่างเด็ดขาด น่าติดตามและมีชั้นเชิงสุดๆ การที่จะจับเอาเรื่องราวสองเรื่องมาตัดสลับเล่ากันได้อย่างกลมกลืนเช่นนี้ ถือได้ว่ายากเย็นมากๆ

ในท้ายที่สุดแล้ว Citizen Kane ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์สุดคลาสสิคที่คอหนังทุกคนต้องดู นอกจากมันจะเต็มไปด้วยเทคนิคทางภาพยนตร์ที่ล้ำลึก บทภาพยนตร์ที่น่าทึ่งแล้ว การเล่าเรื่องของผู้กำกับออร์สัน เวลส์ก็เหนือชั้นชนิดที่หาใครเปรียบเทียบได้ยาก ต้องพูดเลยว่าเมื่อชมภาพยนตร์เรื่องนี้จบแล้ว มันจะทำให้คุณรู้สึกว่าภาพยนตร์ Hollywood สมัยนี้กลายเป็นเด็กเล่นปั่นจักรยานแถวบ้านสำหรับออร์สัน เวลส์ ไปเลยทีเดียว

Final Score : [ A + ] & [ Must See Badge ]

วันพุธที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2557

22 Jump Street ( 2014 ) Movie Review

Movie Review



"22 Jump Street คือตัวอย่างที่ดีของภาพยนตร์ที่รู้ว่าตนเองสามารถทำอะไรได้บ้าง โดยไม่พยายามจะเป็นสิ่งที่มันไม่สามารถเป็นได้ มันรู้ดีว่าตัวมันเองบ้าคลั่งและไร้เหตุผล แต่มันก็ใช้สิ่งเดียวกันนี้ สร้างความบันเทิงอย่างมีชั้นเชิงได้อย่างน่าทึ่ง"


          22 Jump Street คือภาพยนตร์ภาคต่อจาก 21 Jump Street  เมื่อสองปีก่อน ซึ่งมีต้นแบบมาจาก TV-Series ชื่อ 21 Jump Street ในปี 1987 โดยการกลับมาครั้งนี้ ยังคงได้สองคู่หูคู่ฮาเดิมอย่าง โจน่าห์ ฮิลล์ กับ แชนนิ่ง เททัม มารับบทเดิม ซึ่งว่าด้วยเรื่องราวของสองตำรวจที่ต้องปลอมตัวเป็นนักศึกษาเพื่อตามจับคนร้าย แต่ในคราวนี้แทนที่จะไปไฮสคูล พวกเขาจะได้ไปป่วนที่มหาวิทยาลัยแทน !!


   ในโลกของภาพยนตร์แล้ว ถ้าหากสังเกตุดีๆพวกเราจะพบว่ามีภาพยนตร์มากมายโดยเฉพาะพวกภาคต่อทั้งหลาย ที่ล้มเหลวในการเล่าเรื่องและสร้างความน่าสนใจให้ผู้ชม จากการที่มันพยายามหยิบจับอะไรหลายสิ่งหลายอย่างมากจนเกินไป เช่น ภาพยนตร์ภาคต่อทั้งหลายที่พยายามจะทำให้ยิ่งใหญ่กว่าภาคแรกด้วยการขยายจักรวาล และรื้อแผนเดิมทิ้ง แต่มันกลับกลายเป็นว่ามันก้าวข้ามความเป็นเอกลักษณ์ที่เคยมีมาในภาคก่อนหน้าอย่างน่าเสียดาย เช่น Red 2 ซึ่งพยายามสร้างเรื่องให้ใหญ่โตและวุ่นวายมากขึ้น แต่มันทำให้เอกลักษณ์ของความเป็นเรื่องราวตัวละคร "Retired Extremely Dangerous" ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของภาคแรกหายไปอย่างน่าเสียดาย


แต่ดูเหมือนว่าทั้งสองผู้กำกับ 22 Jump Street ฟิล ลอร์ด กับ คริสโตเฟอร์ มิลเลอร์ ซึ่งเป็นสองท่านเดิมที่กำกับในภาคแรก จะทราบถึงจุดนี้เป็นอย่างดี ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ของพวกเขา กลายเป็นภาคต่อที่เกือบจะสมบูรณ์แบบ พวกเขาไม่พยายามที่จะใส่อะไรที่มากจนเกินไปลงใน 22 Jump Street พวกเขาดูเหมือนจะทราบถึงขีดจำกัดของตัวเองดีและไม่พยายามท้าทายขีดจำกัดนั้นมากนัก ซึ่งหลักฐานในจุดนี้ดูได้จาก บทภาพยนตร์ที่ยังคงโครงสร้างและองค์ประกอบเดิมคล้ายคลึงกับภาคแรกเอามากๆ แต่เอามาปรับปรุงให้มันลึกยิ่งขึ้น แทนที่จะสร้างแบบอันใหม่ขึ้นมาเลยแบบภาพยนตร์ภาคต่อหลายๆเรื่อง ซึ่งเป็นการเสี่ยงมากๆ ในอีกด้านหนึ่งจะว่ามันเป็นการเล่นแบบ "ปลอดภัยไว้ก่อน" ก็ว่าได้ แต่อย่างน้อยมันก็ยังดีกว่าการพยายามต่อและยืดมากจนเกินไป ซึ่งผลของมันก็คือการไม่ได้อะไรเลยซักอย่าง

นอกจากนั้น จุดเด่นของ 21 Jump Street ก็ยังไม่หายไปในภาคต่อครั้งนี้ จุดเด่นนั้นก็คือ บทที่ว่าด้วยเรื่องของความขัดแย้งระหว่างสองตัวละครเอก ซึ่งยังคงเป็นประเด็นหลักในภาคนี้ แต่แตกต่างในด้านของมุมมองและความลึก ซึ่งมีชั้นเชิงมากขึ้นและดูน่าสนใจยิ่งขึ้น ส่วนหนึ่งก็ต้องยกเครดิตให้กับทั้งสองนักแสดงนำ โจน่าห์ ฮิลล์ กับ แชนนิ่ง เททัมที่ยังคงเล่นเข้าขากันได้อย่างดีเช่นเคย จะน่าเสียดายก็ตรงบทภาพยนตร์ที่จะมีหลายๆส่วนที่ซ้ำจากภาคแรกมาบ้าง ซึ่งน่าจะเป็นผลมาจากบทภาพยนตร์ที่ยังขัดเกลามาไม่ดีพอ

สิ่งหนึ่งที่ทำให้ 22 Jump Street เป็นภาพยนตร์ที่น่าจดจำอีกเรื่องหนึ่งในปีนี้เลยก็คือ ความที่มันแทบจะไม่จริงจังกับอะไรเลย และมันก็พยายามที่จะทำให้ผู้ชมไม่จริงจังไปกับมันด้วย จึงทำให้มันสามารถเต็มที่ได้กับแทบทุกสิ่งโดยไม่ต้องอิงกับเหตุและผลมากเท่าใดนัก เช่นมุขตลกต่างๆในภาพยนตร์ที่ค่อนข้างจะเหนือจริงพอสมควร แต่ก็ใช่ว่ามันจะก้าวไปถึงขั้นที่หาสาระไม่ได้เลยซะทีเดียว กลับกัน นอกจากมันจะเต็มไปด้วยมุขตลกล้อเลียนเพศ และเชื้อชาติแล้ว มันยังเต็มไปด้วยมุขตลกที่สร้างมาเพื่อจิกกัดและเสียดสีโครงสร้างภาพยนตร์ตลกภาคต่อของตัวเองได้อย่างน่าสนใจ 

สิ่งที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ยิ่งน่าสนใจเข้าไปอีกก็คือ รูปลักษณ์ภายนอกกับภายในของมัน ถึงแม้ว่าภายนอกตัวภาพยนตร์มันเอง  จะเต็มไปด้วยมุขตลกเหยียดเพศ ชนชั้น หรือ เชื้อชาติก็ตาม แต่ภายในของมันจริงๆแล้ว เนื้อหาสูงสุดที่มันต้องการจะสื่อก็หนีไม่พ้นไปจากสิ่งที่มันพยายามล้อเลียนมาทั้งเรื่อง โดยมันมักจะพูดถึง การยอมรับความแตกต่างระหว่างเชื้อชาติ ชนชั้น หรือเพศ และมันพยายามที่จะทำให้ผู้ชมปรับความเข้าใจกับผู้คนเหล่านี้ให้ได้ด้วยซ้ำไป

ในท้ายที่สุดแล้ว 22 Jump Street ก็กลายเป็นอีกหนึ่งข้อยกเว้น ในคำสาปที่ว่าภาพยนตร์ภาคต่อมักจะห่วยกว่าภาคแรกเสมอไปโดยปริยาย เพราะนอกจากที่มันจะยังคงจุดเด่นและเอกลักษณ์ของความเป็น Jump Street ได้อย่างครบถ้วนแล้ว มันยังนำเสนอและดัดแปลงสิ่งใหม่ๆได้อย่างสมดุลอีกด้วย

Final Score : [ B + ] & [ Must See Badge ]



เพื่อนๆพี่ๆสามารถเข้าไปกดไลค์แฟนเพจที่อาจจะมีการอัพเดทข่าวและกิจกรรมในอนาคตได้ที่นี้เลยครับผม :)

วันเสาร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2557

The Expendables 3 ( 2014 ) Movie Review by FallsDownz

The Expendables 3 ( 2014 ) 



"The Expendables 3 คือผลงานของการผสมผสานกันระหว่างภาพยนตร์แอ็คชั่นยุค 90s กับภาพยนตร์   แอ็คชั่นยุคใหม่ที่ออกมาครึ่งๆกลางๆและน่าผิดหวัง"



          นี้ก็เรียกได้ว่าเป็นครั้งที่สามกันแล้ว สำหรับภาพยนตร์รวมดาราแอ็คชั่น The Expendables ซึ่งในภาคนี้ยังคงเต็มไปด้วยดาราดังๆมากมาย ไม่ว่าจะเป็น แฮริสัน ฟอร์ด , เมล กิปสัน , ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน , เจสัน แสตทแฮม , อาร์โนลด์ ชวาร์เซเน็กเกอร์ และได้ดาราใหม่มาสมทบอย่าง เวสลีย์ สไนปส์ , อันโตเนียว บันเดรัส , ขวัญใจผู้เขียน เคลซีย์ แกรมเมอร์ และดาราคับคั่งอีกมากมาย จึงเรียกได้ว่านี้เป็นภาพยนตร์แอ็คชั่นรวมดาราดังมากที่สุดเรื่องหนึ่งอย่างแท้จริง ชนิดที่แค่เข้าไปชมดาราเหล่านี้มารวมตัวกัน ก็อาจจะคุ้มค่าตั๋วแล้วก็เป็นได้


    ต้องพูดเลยว่า ผู้เขียนไม่เคยที่จะประทับใจอะไรกับ The Expendables ทั้งสองภาคก่อนหน้านี้มาอยู่แล้ว อาจจะมีบางส่วนในภาคที่สองบ้างที่น่าสนใจกว่าภาคอื่นๆ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า โดยในส่วนใหญ่ของมัน มันคือหนึ่งในภาพยนตร์แอ็คชั่นชนิดที่เรียกได้ว่า "ตูมตามอย่างไร้สมอง" คุณแทบจะไม่สามารถที่จะหาเหตุผลหรือตรรกะใดๆมาอธิบายกับฉากแอ็คชั่นในภาพยนตร์เรื่องนี้ได้เลย มันเต็มไปด้วยฉากชนิดที่หลุดโลก เกินจริงและสร้างขึ้นมาเพื่อความบันเทิงโดยใช้ศิลปะอย่างน้อยจนแทบจะหาไม่เจอ นี้ยังไม่รวมถึงบทภาพยนตร์ที่แทบจะหาตัวตนและความหมายใดๆไม่ได้เลย นอกจากใส่เข้ามาเพื่อให้ตัวภาพยนตร์ดูไม่มั่วซั่วเกินหน้าเกินตาจนเกินไป และถ้าหากว่าคุณคิดว่าสิ่งเหล่านี้จะถูกแก้ไขหรือพัฒนาให้ดีขึ้นในภาคที่สามนี้แล้วล่ะก็ คุณก็คงจะต้องถูกหวยกินอย่างแน่นอน เพราะ The Expendables 3 ไม่เพียงแต่จะซ้ำรอยปัญหาเดิมๆที่เกิดขึ้นมาแล้วถึงสองภาค ปัญหาในภาคนี้ดูเหมือนจะร้ายแรงเสียยิ่งกว่าสองภาคแรกเสียอีก 


        ด้วยบทภาพยนตร์ที่แทบจะใช้คำสั่ง คัดลอก / วาง จากบทภาคที่แล้วๆ มันแทบจะหาความแตกต่างกันไม่ได้เลย มันพูดถึงในประเด็นที่ซ้ำซาก เดิมๆ และเป็นจุดที่เคยถูกพูดถึงมาแล้วในภาคก่อน เนื้อเรื่องที่ไม่มีความน่าตื่นเต้นหรือเซอร์ไพรซ์ใดๆ กลับแทบจะให้ความรู้สึกเหมือนวิดีโอเกม ที่เล่นเป็นด่านๆไป ด่านที่หนึ่ง ด่านที่สอง และด่านสุดท้าย ทั้งสามด่านนั้นถูกเล่าเรื่องออกมาได้อย่างไร้ประสบการณ์ ไม่ค่อยประติดประต่อ และให้ความรู้สึกแยกออกจากกัน ซึ่งเป็นเหตุมาจากผู้กำกับ แพทริค ฮิวจ์ ที่ยังไม่มีประสบการณ์และฝีมือทางด้านการกำกับเพียงพอ 


สิ่งที่ดูเหมือนจะน่าสนใจมากที่สุดในภาพยนตร์เรื่องนี้เลยก็คือ ความพยายามในการผสมผสานภาพยนตร์แอ็คชั่นยุคใหม่ที่เต็มไปด้วย เทคโนโลยี มันสมองและแผนการ เข้ากับภาพยนตร์แอ็คชั่นยุค 90s ที่ดิบ เถื่อนและรุนแรงซะใจ แต่เนื่องจากความไร้ประสบการณ์ในการเล่าเรื่องและกำกับของผู้กำกับ แพทริค ฮิวจ์อีกครั้ง มันจึงทำให้การผสมผสานในครั้งนี้ ออกมาเหลวแหลก ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน ลวกๆและน่าผิดหวัง จนความพยายามนี้มันไม่มีความหมายอีกต่อไป ซึ่งดูเหมือนตัวผู้สร้างเองก็ทราบถึงจุดนี้ดี แต่แทนที่จะแก้ตัวในฉากถัดมา กลับกลายเป็นว่าโยนทุกอย่างทิ้งและจับทุกอย่างที่อยู่ใกล้ตัวโยนใส่กันอย่างมั่วซั่วซึ่งฉากแอ็คชั่นในท้ายเรื่อง ก็เป็นหลักฐานถึงในจุดนี้ได้เป็นอย่างดี


แต่สิ่งที่ยิ่งน่าผิดหวังเข้าไปอีก ก็คือฉากแอ็คชั่นต่างๆในภาพยนตร์เรื่องนี้ โดยในภาคที่แล้วๆ ยังมีหลายฉากที่ออกแบบมาได้อย่างน่าสนใจ และน่าตื่นเต้น แต่ในภาคต่อที่สามนี้ ฉากเหล่านี้กลับไร้ความสร้างสรรค์ จืดชืด และไร้การขัดเกลาใดๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าผิดหวังที่สุดในภาพยนตร์เรื่องนี้เลยก็ว่าได้


ถึงกระนั้นก็ตามด้วยพลังดาราของนักแสดงบางคน ก็ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้บันเทิงขึ้นมาได้อย่างน่าตกใจ โดยเฉพาะอันโตเนียว บันเดรัส ที่ต้องขอชื่นชมมา ณ ที่นี้ เพราะในขณะที่ดาราบางคนในเรื่อง ให้พลังเพียงแค่ 40-50%  เขากลับให้คนดูเต็มร้อยเปอร์เซนต์ ซึ่งสร้างความชื่นชอบให้กับตัวละครของเขาไม่น้อยเลยทีเดียว


    แต่นั้นก็ไม่ได้เพียงพออะไรที่จะช่วยให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ขึ้นมาจากหุบเหวแห่งความสิ้นหวังนี้ได้เลยแม้แต่น้อย เพราะในท้ายที่สุดแล้ว The Expendables 3 ก็กลายเป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์ภาคต่อ ที่ไม่สามารถจะนำเสนอสิ่งใหม่ให้กับผู้ชมได้เลย ถึงแม้มันจะพยายาม แต่ด้วยความไร้ประสบการณ์ของผู้กำกับ จึงทำให้มันไม่ต่างอะไรกับการเดินวนอยู่กับที่อย่างน่าเสียดาย ยิ่งไปกว่านั้นการขว้างปาอย่างมั่วซั่วในฉากแอ็คชั่นสุดท้ายนั้น มันช่างเป็นฉากที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดและบันเทิงไปพร้อมๆกันอย่างน่าอัศจรรย์


Final Score : [ C - ]






เพื่อนๆพี่ๆสามารถเข้าไปกดไลค์แฟนเพจที่อาจจะมีการอัพเดทข่าวและกิจกรรมในอนาคตได้ที่นี้เลยครับผม :)

วันพฤหัสบดีที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2557

21 Jump Street ( 2012 ) Movie Review

21 Jump Street ( 2012 ) Movie Review



"21 Jump Street ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ตลกที่ยอดเยี่ยมที่สุดเรื่องหนึ่ง มันฉลาด มันน่าสนใจ และตื่นเต้นอย่างหาที่เปรียบได้ยาก"


     21 Jump Street เป็นภาพยนตร์แนวตลก ที่มีต้นแบบมาจาก TV-Series ชื่อเดียวกันในปี 1987 โดยมีนักแสดงชื่อดัง จอหน์นี เดปป์เป็นดารานำในครั้งนั้น

แต่ในคราวนี้มันมาอยู่บนจอภาพยนตร์เป็นที่เรียบร้อยและได้ดาราหนุ่มขวัญใจสาวๆอย่าง แชนนิ่ง เททัม กับหนึ่งดาวตลก โจนาห์ ฮิลล์ ที่เพิ่งจะแสดงผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมอีกครั้งในภาพยนตร์ปีที่แล้วของมาร์ติน สกอร์เซซี The Wolf of Wall Street 


ถ้าหากพูดถึงในโลกของภาพยนตร์แล้ว หนึ่งในแนวหรือ Genre ภาพยนตร์ที่สร้างได้ยากที่สุดเลยก็คือ ภาพยนตร์ตลก การที่จะสร้างหนังซักเรืองแล้วทำให้ผู้ชมตลก ขำ และสนุกไปได้กับมันนั้นเป็นเรื่องที่ยากมากๆเลยทีเดียว ยิ่งไปกว่านั้น การรักษาซึ่งเนื้อหาของภาพยนตร์เอาไว้ในหนังตลกก็เป็นเรื่องที่ยากเช่นกัน เพราะถ้าหากมันตลกมากจนเกินไป มันก็จะทำให้ผู้ชมไม่สามารถที่จะเอาจริงเอาจังหรือเชื่อถือในตัวบทได้เลย 

แต่ดูเหมือน 21 Jump Street จะทำแทบทุกอย่างได้ยอดเยี่ยมเสียจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นมุขตลกสุดฮาตลอดทั้งเรื่อง ที่สร้างสรรค์ และไม่ดูถูกผู้ชมชนิดที่เอะอะก็เอาอะไรเขวี้ยงใส่กัน 

ที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้นก็คือการตัดต่อและเล่าเรื่องของภาพยนตร์ที่ช่างน่าทึ่งเสียเหลือเกิน ตัวผู้กำกับทั้งสอง ฟิล ลอร์ด กับ คริส มิลเลอร์ ทำหน้าที่นี้ได้อย่างยอดเยี่ยมจริงๆ ด้วยการใช้เทคนิคในการตัดต่อเพื่อสร้างมุขตลกได้อย่างสดใหม่และสร้างสรรค์ ทั้งยังเล่าเรื่องได้อย่างลื่นไหล ไม่รู้สึกติดขัดใดๆ และทำให้เราเชื่อถือในสิ่งที่ตัวภาพยนตร์กำลังเล่าได้อย่างชัดเจนอีกด้วย

แต่สิ่งที่ต้องขอชมจากใจจริงๆเลยก็คือ สองนักแสดง แชนนิ่ง เททัม กับ โจน่าห์ ฮิลล์ ที่เล่นกันได้อย่างเข้าขาสุดๆ ชนิดที่ว่ามันทำให้เราเชื่อถือในความสัมพันธ์ของสองตัวละครที่พวกเขาเล่นได้อย่างง่ายดาย โดยไม่สงสัยใดๆเลย ซ้ำผู้เขียนยังหลงรักพวกเขาอย่างง่ายดาย คอยเอาใจช่วยให้พวกเขาผ่านอุปสรรคต่างๆที่เกิดขึ้นในภาพยนตร์อย่างสุดขีด ซึ่งส่วนหนึ่งก็มาจากตัวละครทั้งสองตัวที่ถูกเขียนมาได้อย่างน่าทึ่ง หลายมิติ และย้อนแย้งได้อย่างน่าสนใจ


ถึงแม้ว่าเมื่อเราสำรวจตัวบทภาพยนตร์จริงๆแล้ว มันอาจจะไม่ได้มีอะไรใหม่เลยก็ตาม มันยังคงเต็มไปด้วยมุขตลกเหยียดเชื้อชาติหรือเพศ หรือกระทั่งตัวเส้นทางเดินของภาพยนตร์เองก็ไม่ได้มีอะไรที่จะสามารถเซอร์ไพรซ์หรือเหนือความหมายผู้เขียนได้เลย แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้เลย ว่าเวลาที่เสียไปกับภาพยนตร์เรื่องนี้ มันช่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพราะมันช่างบันเทิงเสียจนผู้เขียนแทบจะลืมข้อเสียเหล่านี้ไปทั้งหมด


ในท้ายที่สุดแล้ว 21 Jump Street ก็กลายเป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์ตลกที่ยอดเยี่ยมที่สุดเรื่องหนึ่งเท่าที่ผู้เขียนได้เคยดูมา มันฉลาด มันน่าสนใจ และน่าตื่นเต้น  ใช่มันอาจจะไม่ได้สมบูรณ์แบบ แต่ความบันเทิงและคุณภาพที่ตัวภาพยนตร์แสดงออกมานั้นช่างยากที่จะปฏิเสธเหลือเกิน

Final Score [ A ] & [ Must See Badge ]

วันเสาร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2557

FallsDownz Movies & Games Reviews: Guardians of the Galaxy ( 2014 ) Movie Review

FallsDownz Movies & Games Reviews: Guardians of the Galaxy ( 2014 ) Movie Review: Guardians of the Galaxy ( 2014 ) Movie Review "Guardians of the Galaxy คืออีกหนึ่งภาพยนตร์จากค่ายมาร์เวลที่เราคาดหวังว่ามั...

Guardians of the Galaxy ( 2014 ) Movie Review

Guardians of the Galaxy ( 2014 ) Movie Review




"Guardians of the Galaxy คืออีกหนึ่งภาพยนตร์จากค่ายมาร์เวลที่เราคาดหวังว่ามันจะเป็นทุกสรรพสิ่ง มันเต็มไปด้วยการถาโถมซีจี , ระเบิด และเสียงหัวเราะใส่ผู้ชม แต่ไม่อาจที่จะสร้างสรรค์สิ่งใหม่ได้เลย"


            ถ้าหากจะเรียกว่านี้เป็นยุคของค่ายซุปเปอร์ฮีโร่ชื่อดัง Marvel อย่างแท้จริง ก็คงจะไม่ใช่คำพูดที่ดูจะเกินเลยจากความเป็นจริงซักเท่าไรนัก จากภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จมากมายและผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดของค่ายซุปเปอร์ฮีโร่ค่ายนี้ ไม่ว่าจะเป็นการยืนยันมาเรียบร้อยแล้วกับภาคต่อ Guardians of the Galaxy 2 ที่ทางดิสนีย์ดูเหมือนจะมั่นใจมากขนาดที่ประกาศภาคต่อตั้งแต่ตัวหนังยังไม่เข้าฉายด้วยซ้ำ หรือจะเป็นโปรเจคใหญ่ยักษ์ที่แฟนๆหลายคนรอคอยอย่าง The Avengers 2 ในปีนี้ ซึ่งในท้ายที่สุดจะนำไปสู่การต่อสู้ที่น่าจะยิ่งใหญ่ที่สุดของเหล่าซุปเปอร์ฮีโร่ใน The Avengers 3 ที่ปูเรื่องยาวกันมาเป็นปีๆ 


เมื่อเราสำรวจดูค่าย Marvel แล้ว พอหันกลับไปมองดูค่ายซุปเปอร์ฮีโร่อีกค่ายหนึ่งอย่าง DC ก็จะพบว่าเหมือนจะประสบปัญหาเรื่อยๆกับภาพยนตร์ของพวกเขา เช่น Batman v Superman : Dawn of Justice ที่เลื่อนฉายยาวไปถึงปี 2016 ซึ่งก็หมายความว่าภาพยนตร์รวมตัวฮีโร่ของ DC อย่าง Justice League ก็ต้องเลื่อนฉายตามไปด้วย จะมีก็เพียงแค่ทีวีซีรียส์ของช่อง CW เท่านั้นที่พอจะสร้างความหวังที่เริ่มจะหายไปเรื่อยๆของค่าย DC ได้อยู่บ้างกับ Arrow กับ The Flash ที่ค่อนข้างจะประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง


ในส่วนของภาพยนตร์อย่าง Guardians of the Galaxy นั้น ก็เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งก้าวใหญ่และสำคัญของ Marvel อีกครั้ง กับตัวละครใหม่ๆ และจักรวาลที่เริ่มจะยิ่งใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ ของพวกเขา ซึ่งแน่นอนว่าการสร้างและแนะนำตัวละครใหม่ๆให้กับผู้ชมนั้น ต้องยากกว่าการนำตัวละครที่พวกเราชื่นชอบอยู่แล้วอย่าง Iron Man หรือ Thor มาใช้อย่างแน่นอน


ถึงแม้ว่านี้จะเป็นการแนะนำตัวสู่โลกใหม่ๆอีกด้านหนึ่งของค่าย Marvel แต่น่าแปลกใจที่ทุกอย่างมันช่างดูไม่แตกต่างไปจากภาพยนตร์ของค่ายเรื่องอื่นๆเลยแม้แต่น้อย 
ถ้าหากคุณคาดหวังที่จะได้ชมซีจีอลังการงานสร้าง หรือ ฉากแอ็คชั่นสุดตื่นเต้น และตบท้ายด้วยมุขตลกสุดฮาที่ได้ผลบ้าง ไม่ได้ผลบ้างคุณก็จะไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน เพราะนั้นคือสิ่งที่ดูเหมือนว่าได้กลายเป็นเอกลักษณ์ของภาพยนตร์จากค่ายนี้ไปทุกเรื่องเสียแล้ว

แต่สิ่งที่ดูเหมือนนับวันจะหนักหนาสาหัสขึ้นเรื่อยๆเปรียบเสมือนโรคร้ายที่รักษาไม่หายของภาพยนตร์ Marvel เลยก็คือบทภาพยนตร์ที่ซ้ำซากจำเจและไม่สามารถที่จะนำเสนออะไรใหม่ได้น่าสนใจมากพอขึ้นเรื่อยๆของมัน ต่อให้คุณไม่ได้ชมภาพยนตร์มาก่อนเลย คุณทราบดีว่ามันจะไปจบลงที่ใด หรือแม้กระทั่งตัวละครที่สุดแสนจะซ้ำซากตัดแปะมาจากแม่แบบ แทบจะขาวและดำอย่างชัดเจนของมันคุณก็เคยเห็นตัวละครแบบนี้มาก่อนแล้วในภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ซึ่งไม่แน่ใจว่าจุดๆนี้ทางค่าย Marvel พยายามแก้ไขกันอยู่หรือว่าไม่ได้สนใจที่จะแก้ไขมันเลยกันแน่


นอกจากนั้นแล้ว ไม่ทราบว่าด้วยความที่ว่าผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องนี้คือเจมส์ กัน หรืออย่างไรไม่ทราบ ในด้านของมุขตลกของ Guardians of the Galaxy จึงแทบจะมีการสอดแทรกให้เห็นอยู่บนจอภาพยนตร์ทุกๆ 5 วินาที ซึ่งจากเป็นจุดที่น่าจะสร้างความบันเทิงให้กับผู้ชม กลายเป็นจุดที่สร้างความน่ารำคาญเสียมากกว่า จากจำนวนฉากและมุขตลกที่มากมายเกินความจำเป็นของมัน โดยเฉพาะในเมื่อมุขตลกส่วนใหญ่ของมันนั้นไม่ได้สร้างความตลกขบขันและได้ผลซักเท่าไรนัก ซึ่งเมื่อคิดถึงจุดนั้นแล้ว ทำให้ผู้เขียนยิ่งคิดเข้าไปอีกว่านี้คือวิธีการหนึ่งของเจมส์ กันหรือไม่ ที่จะพยายามกลบเกลื่อนตัวบทของภาพยนตร์ที่แทบจะไม่มีอะไรเลยด้วยมุขตลกที่ค่อนข้างจะฝืดของเขา


ในส่วนของนักแสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้นั้น ในขณะที่บางคนนำแสดงผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมไม่ว่าจะเป็น คริส แพตต์ หรือ แบรดลีย์ คูเปอร์ที่พากษ์เสียงเป็นร็อคเก็ตได้อย่างยอดเยี่ยม นักแสดงบางคนก็แสดงผลงานในด้านแทบจะกลับกัน โดยเฉพาะเดฟ บาติสต้าที่เล่นได้แข็งเป็นหินไม่ใช่น้อย ซึ่งพาเอาตัวละครที่สุดแสนจะซ้ำซากของเขา น่าเบื่อยิ่งเข้าไปอีก ไม่แน่ใจว่าการตัดสินใจหันมาเล่นภาพยนตร์แทนมวยปล้ำเฉกเช่นเดียวกับ ดเวยน์ จอหน์สันหรือเดอะ ร็อคของเขา จะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องหรือไม่



ในท้ายที่สุดแล้ว Guardians of the Galaxy ก็คืออีกหนึ่งภาพยนตร์ของ Marvel ที่พยายามจะก้าวไปสู่อีกขั้นหนึ่งหากแต่ว่าตนเองกลับหารู้ไม่ว่าที่แท้จริงกำลังย่ำอยู่กับที่ ถึงแม้ว่ามันยังคงนำเสนอซีจีและฉากแอ็คชั่นที่น่าตื่นตาตื่นใจอยู่เช่นเคย แต่ผู้เขียนไม่อาจที่จะแน่ใจได้อีกต่อไปแล้ว ว่าในส่วนอื่นๆโดยเฉพาะบทภาพยนตร์ที่ซ้ำซากจำเจของค่ายซุปเปอร์ฮีโร่ค่ายนี้จะย่ำอยู่กับที่ไปอีกนานเท่าใด


Final Score : [ B ]

วันศุกร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2557

FallsDownz Movies & Games Reviews: Dark Souls II ( 2014 ) Game Review

FallsDownz Movies & Games Reviews: Dark Souls II ( 2014 ) Game Review: Game Review คุณพร้อม ที่จะเผชิญกับคำสาบและความตายหรือยัง ? Game Name : Dark Souls II ( 2014 ) Action / Role-Playing (RPG) Dev...