วันอังคารที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2557

Calvary ( 2014 ) Movie Review

Movie Review



"ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่เพียงแค่ให้ความบันเทิงเท่านั้น แต่มันยังเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังและวิญญาณในการจุดประกายความคิดเรื่องศาสนา พระเจ้า ความเชื่อ รวมถึงความหมายของชีวิตที่สะท้อนถึงความโหดร้ายของโลกปัจจุบันได้อย่างน่าทึ่ง จึงทำให้มันกลายเป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์ที่น่าจดจำมากที่สุดในปีนี้ไปโดยปริยาย"

  Calvary เป็นภาพยนตร์ที่เล่าเรื่องของพระรูปหนึ่งซึ่งถูกคนในหมู่บ้านของตนเองขู่ฆ่า ท่ามกลางอันตรายที่เริ่มใกล้เข้ามาเรื่อยๆ พระรูปนั้นจึงต้องพยายามหาให้ได้ว่าใครคือคนที่คิดทำเช่นนั้นกับเขา

       ต้องพูดเลยว่าภาพยนตร์เรื่องนี้มีสไตล์การเล่าเรื่องที่ค่อนข้างจะน่าสนใจทีเดียว โดยที่หลักๆแล้วมันก็คือภาพยนตร์ดราม่าที่เต็มไปด้วยการดำเนินเรื่องที่ค่อนข้างจะช้าพอสมควร แต่ตัวภาพยนตร์ก็ผสมผสานอารมณ์ของความเป็นภาพยนตร์อาชญากรรมเข้าไป ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้มีฉากตื่นเต้นไล่ล่ากัน แต่มันก็ใช้วิธีการผสมการเล่าเรื่องที่นำตัวละครเอกไปพบเจอกับตัวละครอื่นๆในเรื่อง ฟังเรื่องราวของพวกเขา ซึ่งทำให้ผู้ชมตั้งข้อสงสัยและคาดเดาคนร้ายไปโดยอัตโนมัติเหมือนภาพยนตร์อาชญากรรม 

เมื่อพูดถึงตัวละครแล้ว ตัวละครในภาพยนตร์เองก็ถูกเขียนมาได้อย่างยอดเยี่ยมเลยทีเดียว แต่ละตัวค่อนข้างที่จะน่าสนใจ และดูมีอารมณ์ ความคิดที่เป็นมนุษย์จริงๆ และเราจะได้ฟังเรื่องราวชีวิตและปัญหาที่คอยกัดกินพวกเขาผ่านมุมมองของตัวละครเอก นำไปสู่การตั้งสมมุติฐานว่าใครจะมีโอกาสเป็นคนร้ายได้มากที่สุดของผู้ชมอีกครั้ง ซึ่งเป็นการร่วมมือกันระหว่างตัวละครกับการเล่าเรื่องของภาพยนตร์ที่สร้างความน่าติดตามให้กับตัวภาพยนตร์ได้อย่างชาญฉลาดมากเลยทีเดียว 

สิ่งที่น่าชื่นชมและประทับใจผู้เขียนมากที่สุดจริงๆเลยก็คือบทพูดในภาพยนตร์ ที่ช่างเขียนมาได้อย่างยอดเยี่ยม โดยเฉพาะบทพูดการสนทนาระหว่างตัวละครเอกกับตัวละครอื่นๆในเรื่อง ที่แสดงถึงปัญหาของพวกเขา และจุดขัดแย้งระหว่างความเชื่อที่พวกเขามี กับสิ่งที่ตัวละครเอกเชื่อได้อย่างน่าสนใจ นอกจากนั้นแล้วมันยังสะท้อนถึงปัญหาของมนุษย์ในโลกปัจจุบันที่ยังคงมีอยู่ทุกวันนี้อีกด้วย บทพูดของภาพยนตร์นั้นเขียนได้ดีถึงขนาดที่ว่าเราแทบจะจับได้เลยว่าแต่ละตัวละครมีปัญหาอะไรบางอย่างที่บางครั้งพวกเขาก็ไม่ยอมพูดออกมา ซึ่งถือว่าน่าประทับใจมากๆ

สาเหตุที่ผู้เขียนประทับใจส่วนบทพูดมากที่สุด ก็เพราะว่ามันแทบจะเป็นหัวใจและส่วนที่สำคัญที่สุดในภาพยนตร์เรื่องนี้เลยทีเดียว หากปราศจากบทพูดที่จุดประเด็นขัดแย้งระหว่างตัวละคร แสดงถึงเบื้องหลัง ความคิดของตัวละครนั้นๆ และนำไปสู่การสะท้อนปมปัญหาในโลกแห่งความเป็นจริงที่ยอดเยี่ยมนี้แล้ว  ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คงจะกลายเป็นแค่ภาพยนตร์ทั่วๆไปที่เต็มไปด้วยตัวละครสุดแสนซ้ำซากจำเจ ไร้ความเป็นมนุษย์ รวมถึงจุดจบที่ไร้ความน่าค้นหาเหมือนภาพยนตร์หลายๆเรื่องไปโดยปริยาย

อีกสิ่งหนึ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือด้านภาพ ถึงแม้ว่าตัวภาพยนตร์จะเป็นภาพยนตร์ที่ค่อนข้างมีงบประมาณจำกัดพอสมควร แต่ต้องขอชมเลยว่าทีมงานเลือกสถานที่ถ่ายทำ รวมถึงมุมกล้องและวิธีการถ่ายทำในหลายๆฉากได้อย่างยอดเยี่ยมจริงๆ ด้วยบรรยากาศของประเทศไอร์แลนด์ที่สวยงาม ตระการตา และหยุดทุกลมหายใจเสมือนตัวภาพยนตร์เอง ซึ่งงานนี้ก็ต้องยกความดีความชอบให้กับแลร์รี่ สมิท ผู้กำกับภาพซึ่งเคยแสดงผลงานมาแล้วก่อนหน้านี้ใน Only God Forgives

แต่บุคคลที่เราจะไม่พูดถึงไม่ได้เลยในภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คือนักแสดงนำ เบรนดัน กลีสันที่แสดงผลงานการแสดงได้อย่างน่าทึ่งเป็นที่สุด ด้วยการแสดงที่สุขุม ลึก แบบที่เราคิดว่าพระควรจะเป็น แต่แอบซ่อนอารมณ์แบบมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งไปเอาไว้ข้างในไม่ว่าจะเป็น โกรธ เกลียด หรือ เสียใจ นี้เรียกได้ว่าเป็นการแสดงที่น่าทึ่งที่สุดของเขาสำหรับผู้เขียนเลยทีเดียว

ในท้ายที่สุด ด้วยการเล่าเรื่องที่ผสมผสานดราม่าเข้ากับอาชญากรรมได้อย่างชาญฉลาด  ตัวละครที่ยอดเยี่ยม บทพูดที่ถูกเขียนมาได้อย่างน่าทึ่ง การกำกับภาพที่น่าชื่นชม และการแสดงอันน่าทึ่งของเบรนดัน กลีสัน ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่เพียงแค่ให้ความบันเทิงเท่านั้น แต่มันยังเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังและวิญญาณในการจุดประกายความคิดเรื่องศาสนา พระเจ้า ความเชื่อ รวมถึงความหมายของชีวิตที่สะท้อนถึงความโหดร้ายของโลกปัจจุบันได้อย่างน่าทึ่ง จึงทำให้มันกลายเป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์ที่น่าจดจำมากที่สุดในปีนี้ไปโดยปริยาย


Final Score : [ A + ] & [ Must See Badge ]

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น