วันพุธที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2557

Sin City : A Dame to Kill For

Movie Review



"จากการเปิดตัวที่น่าตื่นตาตื่นใจในปี 2005 สู่ภาคต่อปี 2014 ที่ให้ความรู้สึกถึงชิ้นงานที่ยังไม่เสร็จดี แต่ต้องจับมันมาขยำรวมกันให้เกิดเป็นชิ้นเป็นอันให้ได้ก่อนวันส่งงาน"

      Sin City : A Dame to Kill For เป็นผลงานภาคต่อของสองผู้กำกับ โรเบิร์ต รอดริเกซ กับ แฟรงค์ มิลเลอร์ อีกครั้ง โดยย้อนกลับไปภาคแรกเมื่อ 9 ปีก่อนที่ Sin City เปิดตัวได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจมากๆ ด้วยภาพที่ให้อารมณ์ฟิลม์นัวร์ มืดมน ชั่วร้าย และจริงจังได้อย่างเป็นเอกลักษณ์ ยิ่งไปกว่านั้น คือมันเต็มไปด้วยการดำเนินเรื่องที่เหนือชั้น น่าสนใจและน่าติดตาม จึงทำให้ Sin City กลายเป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์ดิสโทเปียที่หลายๆคนชื่นชอบไปอย่างไม่ต้องสงสัย

แต่พอมาถึงภาค A Dame to Kill For สิ่งที่ผู้เขียนเคยรู้สึกหรือชื่นชอบในตัวภาคก่อนหน้า ก็แทบจะหามันไม่เจอในภาคนี้ ด้วยบทภาพยนตร์ที่ซ้ำซาก ครึ่งๆกลางๆและยังขัดเกลามาไม่ดีพอ , ตัวละครที่ไม่น่าสนใจ ถูกตัดแปะมาจากแม่แบบ , การตัดต่อที่ไม่มีพลัง และตัวภาพยนตร์ก็เอาแต่พูดถึงสิ่งเดิมๆ ที่ภาคก่อนหน้ารวมถึงภาคนี้เคยพูดมาแล้วซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนพาเอาให้รู้สึกว่าผลงานที่ออกมาในครั้งนี้ เหมือนกับผลงานที่เอางานหลายๆชิ้นที่ต้องถูกเร่งให้ทำจบๆไปแล้วเอามากองรวมกันให้เป็นชิ้นใหญ่ๆ ซึ่งมันไม่ได้ช่วยอะไรเลย ขยะก็คือขยะ ต่อให้เอามันมารวมกันมากมายแค่ไหน สุดท้ายมันก็เป็นได้แค่ขยะและไม่สามารถเป็นอะไรได้มากกว่านั้นอีก

ที่ยิ่งทำให้น่าเสียดายเข้าไปอีก ก็คือทีมนักแสดงคุณภาพในตัวภาพยนตร์ ไม่ว่าจะเป็น จอรช์ โบรลิน , อีวา กรีน หรือ โจเซฟ กอร์ดอน เลวิตต์ ซึ่งทั้งสามคนนี้ก็พยายามที่จะแสดงผลงานเต็มที่ตลอดเวลา ทั้งๆที่ตัวละครที่พวกเขาได้รับมามันก็ช่างสุดแสนจะจืดชืดเหลือเกิน

ถึงแม้ว่าตัวภาพยนตร์จะเต็มไปด้วยเลือด ฉากฆาตกรรมอันรุนแรง ฉากทรมาณ หรือฉากโป๊เปลือยต่างๆ แต่ผู้เขียนกลับพบว่าตัวเองไม่รู้สึกสนุกสนานไปกับมันเท่าไรเลย ซึ่งนั้นเป็นปัญหาที่ร้ายแรงพอสมควรของตัวภาพยนตร์ เพราะฉากทารุณกรรม หรือวาบหวิวเหล่านี้ มันไม่ได้มีความหมายหรือแทบจะไม่ได้พาไปสู่อะไรเลยนอกจากความว่างเปล่า พูดง่ายๆว่ามันไร้ความหมาย รวมถึงฉากต่างๆเหล่านี้เราก็เคยเห็นมาก่อนแล้วในภาคที่แล้ว รวมถึงภาพยนตร์เรื่องอื่นๆที่บางเรื่องทำได้ดีกว่านี้ด้วยซ้ำไป 

มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น ที่ยังทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังคงเป็น Sin City ที่ผู้เขียนเคยรู้จักได้อยู่ นั้นก็คือการกำกับภาพของโรเบิร์ต รอดริเกซ ซึ่งยังคงน่าตื่นตาตื่นใจ และโดดเด่นเช่นเคย หากขาดส่วนนี้ไปภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คงจะน่าผิดหวังและเลวร้ายยิ่งกว่าที่มันเป็นอยู่อย่างแน่นอน ซึ่งจะว่าไปนี้ก็คงเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ตัวภาพยนตร์ไม่ได้ทำออกมาแบบสุกเอาเผากินเหมือนส่วนอื่นๆ 

ในท้ายที่สุดแล้ว จากการเปิดตัวที่น่าตื่นตาตื่นใจในปี 2005 สู่ภาคต่อปี 2014 ที่ให้ความรู้สึกถึงชิ้นงานที่ยังไม่เสร็จดี แต่ต้องจับมันมาขยำรวมกันให้เกิดเป็นชิ้นเป็นอันให้ได้ก่อนวันส่งงาน ด้วยบทภาพยนตร์ที่น่าผิดหวัง ตัวละครที่ไม่น่าสนใจ การตัดต่อที่ย่ำแย่ และการพูดวนซ้ำแต่สิ่งเดิมๆอยู่ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ถ้าหากปราศจากทีมนักแสดงที่ยอดเยี่ยม กับ สไตล์การกำกับภาพที่น่าสนใจของโรเบิร์ต รอดริเกซ ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คงจะกลายเป็นภาคต่อชนิดส่งตรงลง DVD และไม่มีโอกาสที่แม้แต่จะได้เข้าโรงภาพยนตร์เป็นแน่แท้

Final Score : [ C - ] 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น