วันเสาร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2558

The Boy and the Beast ( 2015 ) Movie Review

The Boy and the Beast ( 2015 ) บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz


"สายสัมพันธ์ไร้ข้อจำกัด"


ท่ามกลางภาพยนตร์มากมายในช่วงนี้ไม่ว่าจะใหญ่หรือเล็ก The Boy and the Beast หรือในชื่อญี่ปุ่นว่า Bakemono no ko คือสุดยอดผลงานล้ำค่าส่งท้ายปี 2558 อย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่ามองอย่างผิวเผินทางด้านของเรื่องราวต่างๆจะค่อนข้างสูตรสำเร็จ แต่ตัวผู้กำกับ มาโมรุ โฮโซดะ ก็ดัดแปลงบทและผสมผสานให้เข้ากับธีมของภาพยนตร์ได้อย่างยอดเยี่ยม เฉกเช่นการสอดแทรกนวนิยาย The Whale หรือโมบี้ดิค ของเฮอร์มัน เมลวิลล์ ให้เข้ากับเรื่องที่เกิดขึ้นในภาพยนตร์ซึ่งพูดถึงการดิ้นรนและเอาชนะตัวเองของมนุษย์ได้อย่างน่าทึ่ง (ซึ่งจะว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องที่บังเอิญอย่างน่าตลกเพราะภาพยนตร์อย่าง In the Heart of the Sea ที่เข้าฉายในต้นเดือนที่ผ่านมาก็มีเรื่องราวจากโมบี้ดิคเต็มตัว)



ในด้านการกำกับของมาโมรุ โฮโซดะ ถือได้ว่าน่าทึ่ง เนรมิตและสร้างสรรค์โลกและสังคมแห่งสัตว์ได้อย่างน่าสนใจ ทั้งยังเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้อย่างเป็นธรรมชาติ น่าหลงใหล ชวนติดตาม และยังเชื่อมโยงตัวละครต่างๆได้เป็นอย่างดี การผจญภัยของสองตัวละครหลักคิวตะกับคุมะเท็ตสึก็เต็มไปด้วยสีสันทำให้ภาพยนตร์รู้สึกเคลื่อนที่และบันเทิงตลอดเวลา

อย่างไรก็ตามสิ่งที่ทำให้ The Boy and the Beast ไม่น่าจดจำเท่าที่ควร คงจะหนีไม่พ้นการตัดสินใจที่จะหันมาพูดถึงการต่อสู้ระหว่างตัวเอกกับตัวร้ายในที่สุด ซึ่งน่าเสียดายที่ตัวร้ายนี้ยังถูกปูเรื่องมาได้ไม่ดีพอ เอาจริงๆก็เป็นมาจากตัวภาพยนตร์เองที่ก็มัวแต่ไปสนใจกับสองตัวละครเอก ทำให้พอตัดหันมาพูดถึงตัวร้าย ตัวละครนี้ก็กลับจืดชืด ไม่มีความน่าสนใจหรือความน่าเห็นใจเท่าที่ควรไปแล้ว ทำให้บทสรุปของเรื่องไม่กระแทกจิตใจเท่าที่ควรจะเป็น

ในท้ายที่สุดแล้ว สิ่งที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำได้อย่างน่าทึ่งที่สุด ก็ดูจะเป็นการสอดแทรกประเด็นครอบครัว พูดถึงความสำคัญของสถาบันครอบครัว ความรักและการยอมรับจากพวกเขาที่สำคัญจนเป็นเสมือนปัจจัยสี่


แต่ The Boy and the Beast ก้าวหน้าไปอีกขั้นหนึ่งด้วยการพูดถึงว่าความรักเหล่านี้ไม่ได้ถูกแบ่งแยกหรือจำเป็นจะต้องมีอะไรมากำหนด ขอเพียงแค่คนๆนั้นรักเราอย่างแท้จริง ยอมที่จะทำทุกสิ่งเพื่อเรา โดยไม่หวังสิ่งใดๆตอบแทน เพียงเท่านี้ก็พอแล้ว ไม่ว่าเขาคนนั้นจะเป็นใคร มาจากไหน มีฐานะอย่างไร หรือกระทั่งเผ่าพันธุ์ใดก็ตาม นี้เป็นสิ่งที่ถูกถ่ายทอดออกมาได้อย่างกลมกล่อม ลึกซึ้ง และเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดของภาพยนตร์เรื่องนี้เลยทีเดียว

Final Score: [ 7.5 / 10 ]

วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2558

Goosebumps (2015) Movie Review


Goosebumps (2015) บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz



"ขนหัวลุกอย่างเพลิดเพลิน"


   ม่น่าเชื่อเลยว่า นวนิยายสุดโด่งดังอย่าง Goosebumps หรือในชื่อไทยสุดคุ้นหูอย่างชมรมขนหัวลุกจะได้โอกาสมาโลดแล่นบนจอภาพยนตร์เสียที หลังจากที่อยู่คู่กับคนทั่วโลกมานานแสนนานตั้งแต่ปี 1992

แน่ละว่าการมารับบทนำของ แจ็ค แบล็ค ก็ดูจะเป็นเรื่องที่ไม่แน่ใจว่าดีหรือไม่ดีกันแน่ เนื่องจากผลงานที่ขึ้นๆลงๆตลอดของเขา อย่างไรก็ตามถ้าหากใครได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้ก็อาจจะเชื่ออย่างเต็มเปาว่าคงไม่มีใครจะเหมาะไปกว่าแจ็ค แบล็คผู้นี้อีกแล้ว



อย่างไรก็ตามความรู้สึกในช่วง 30 นาทีแรกของความพยายามในการนำแฟรนไชส์หนังสือชื่อดังเรื่องนี้ มาถ่ายทอดลงบนจอภาพยนตร์ก็ดูน่าเป็นห่วงเอาการเพราะนี้เรียกได้ว่าเป็นจุดที่อ่อนแอที่สุดของภาพยนตร์เลยก็ว่าได้

ด้วยการเล่าเรื่องของผู้กำกับ ร็อบ เลทเทอร์แมน ที่ยังขาดชั้นเชิง ซ้ำร้ายบทก็แสนจืดชืด ซ้ำซากเหลือเกิน ว่าด้วยเรื่องราวของตัวละครที่ย้ายถิ่นฐานเข้ามาพบกับเพื่อนบ้านหรือคนใกล้ชิดที่แอบซ่อนความลับเอาไว้ จนนำไปสู่การผจญภัยอันแสนตื่นเต้น บลาๆ เรียกได้ว่าเป็นพล็อตสุดคลาสสิกที่เราคงเคยเห็นกันมาแล้วไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ ซึ่งนั้นไม่ใช่ปัญหา ปัญหามันอยู่ที่ Goosebumps ล้มเหลวในการสร้างความแตกต่าง หรือสร้างความโดดเด่นในส่วนนี้ของมันให้แตกต่างจากเรื่องอื่นๆต่างหาก

อีกสิ่งที่น่ารำคาญไม่ใช่น้อยเลย ก็คือความพยายามในการยัดเยียดหลายสิ่งอย่างเข้าไปในปากผู้ชม เฉกเช่นพอต้องการจะเล่าถึงปมหลังของตัวละครเอก ก็จะพูดซ้ำแล้วซ้ำอีกหลายต่อหลายรอบ แถมยังไปไกลถึงขนาดที่ให้ตัวละครพูดในทำนองที่ว่า "มันไม่มีอะไรหรอก" เพื่อเป็นการบอกใบ้อย่างสุดฤทธิ์ให้ผู้ชมรู้ว่ามันต้องมีอะไรแน่ๆอีกต่างหาก ในส่วนหนึ่งก็เข้าใจว่านี้เป็นภาพยนตร์ที่ดัดแปลงมาจากหนังสือนวนิยายเด็ก แต่ในเมื่อกลายมาเป็นภาพยนตร์แล้วข้ออ้างนั้นก็ดูจะเริ่มฟังไม่ขึ้นเข้าไปทุกทีๆ



แต่เป็นที่โชคดีสุดๆของ Goosebumps ที่มันเสมือนได้สติขึ้นมากลางคัน ตื่นขึ้นและเฉิดฉายขึ้นมาในกลางเรื่อง ซึ่งนั้นเป็นจุดที่เหล่าสัตว์ประหลาด ภูติผีปีศาจสุดแสนจะจินตนาการทั้งหลายต่างผุดขึ้นมากันอย่างไม่จบสิ้น และจุดนี้เองที่กลายเป็นสิ่งที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้โดดเด่น 

นอกจากเหล่าปีศาจนี้จะน่าสนใจแล้ว การเล่าเรื่องของ ร็อบ เลทเทอร์แมน ก็ดูจะดีขึ้นมาอย่างทันตาเห็น สร้างสรรค์การผจญภัยของเหล่าตัวละครได้อย่างน่าค้นหา น่าติดตาม และคอยหยอดมุขอยู่เนืองๆได้อย่างดี ถึงแม้ว่าจะแปกค่อนข้างบ่อยก็ตาม

ที่ดูจะน่าจับตามองจริงๆเลยก็คงจะหนีไม่พ้นนักแสดงที่แปะชื่อให้เห็นกันอย่างชัดเจนบนโปสเตอร์ภาพยนตร์เรื่องนี้อย่าง แจ็ค แบล็ค ซึ่งเขารับบทตัวละครใน Goosebumps ได้อย่างมีเสน่ห์ทีเดียว ไม่ว่าจะมองมุมไหนตัวละครนี้ก็ดูจะเหมาะสมกับแนวทางการแสดงของ แจ็ค แบล็ค ไปเสียหมด เสมือนจิ๊กซอว์ที่ต่อกันได้ลงตัวพอดิบพอดี



ในเมื่อพูดถึงตัวละครแล้ว ตัวละครที่จะไม่พูดถึงไม่ได้ในภาพยนตร์เรื่องนี้เลย ก็คือเจ้าหุ่นกระบอกวายร้ายสุดแสบอย่าง สแลปปี้ ซึ่งกระโจนขึ้นมากลายเป็นตัวละครที่โดดเด่นที่สุดในทันที จากความเจ้าเล่ห์ ความยียวนกวนทีน และเบื้องลึกเบื้องหลังที่สะท้อนปมขัดแย้งของตัวละครนี้ได้อย่างน่าติดตามเหลือเกิน ซ้ำปมขัดแย้งนี้ยังถูกถ่ายทอดและสะท้อนได้อย่างมีชั้นเชิง เข้าไปสัมพันธ์กับเนื้อของภาพยนตร์ได้อย่างลงตัวอีกด้วย

ซึ่งก็คือการให้กำลังใจต่อคนที่ถูกรังแกหรือปิดกั้นตนเองจากโลกภายนอก ให้ความกล้าในการหันกลับมาเผชิญหน้าความเป็นจริง ถึงแม้ว่าโลกแห่งความเป็นจริงมันจะช่างแสนโหดร้าย น่ากลัว และสยดสยองไม่ต่างจากเหล่าสัตว์ประหลาดเหล่านี้ แต่มันก็ยังมีเรื่องราวที่ช่างน่าตื่นเต้น น่าค้นหา และความสุขรอคอยอยู่เช่นเดียวกันนั้นเอง

ถ้าหากจะมีจุดใดที่ Goosebumps สามารถแก้ไขและพัฒนาไปได้มากกว่านี้ ก็คงจะเป็นทางด้านของเหล่าตัวร้ายทั้งหลาย ที่ในภาพยนตร์โดนทางสแลปปี้เบียดจนตกขอบกลายเป็นแค่ตัวประกอบฉากกันไปซะหมด ทั้งๆที่ตัวละครภูติปีศาจหรือสัตว์ประหลาดตัวอื่นๆทั้งหลายซึ่งถูกสร้างสรรค์โดยนักเขียนอย่าง อาร์.แอล. สไตน์ ก็ต่างมีความน่าสนใจและความโดดเด่นที่ไม่แพ้กันเลย การที่ตัวภาพยนตร์ตัดสินใจที่จะดึงตัวละครเพียงตัวเดียวออกมาใช้อย่างจริงจังถือได้ว่าเป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง ถึงแม้ว่าตัวละครที่ดึงออกมาจะยอดเยี่ยมมากเท่าไรก็ตาม



สุดท้ายแล้ว Goosebumps ก็ถือได้ว่าเป็นภาพยนตร์ที่นำเรื่องราวเหล่าภูติผีปีศาจและสัตว์ประหลาดของ อาร์.แอล. สไตน์ ออกมาใช้ได้ไม่เลวเลยทีเดียว ถึงแม้ว่าจะมีปัญหาทั้งใหญ่และเล็กผสมปนเปกันไปอยู่บ้าง แต่ท้ายที่สุด ผลที่ได้ออกมาก็เป็นประสบการณ์ที่เหมือนนั่งรถไฟเหาะตีลังกาขนาดย่อมๆ ผสมกับการเดินเข้าบ้านผีสิงจนกลายมาเป็นความทรงจำขนหัวลุกอย่างเพลิดเพลินที่ดีไม่น้อยเลยทีเดียว


Final Score : [ 6.5 / 10 ]

วันเสาร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2558

Star Wars: The Force Awakens (2015) [No-Spoil] Movie Review


Star Wars: The Force Awakens (2015) บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz (No-Spoil)



"The Return of the King ?"

     ถึงแม้ว่าส่วนตัวจะไม่ใช่แฟนพันธุ์แท้แฟรนไชส์ Star Wars หรือแม้แต่ Star Trek อะไรซักเท่าไรนัก แต่เชื่อเลยว่าคงไม่มีคอหนังคนไหนจะสามารถปฏิเสธความยิ่งใหญ่ของแฟรนไชส์ภาพยนตร์ไซ-ไฟที่อาจจะถึงขั้นพูดได้ว่า "คลาสสิก" จนกลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับภาพยนตร์อื่นๆมากมาย


อย่างไรก็ตาม Star Wars ภาคล่าสุด Episode I - Episode III ในปี 1999 จนถึงปี 2005 ดูจะเป็นผลงานสุดท้ายของคุณพ่อจอร์จ ลูคัสที่ไม่ค่อยน่าจดจำสำหรับแฟนๆซักเท่าไรนัก แน่ละว่าพอมีการประกาศภาคใหม่ The Force Awakens แถมยังได้ผู้กำกับมากฝีมืออย่าง เจ.เจ. อบรัมส์ มานั่งแท่นกำกับอีก เชื่อว่าเป็นใครก็คงจะอดตื่นเต้นไม่ได้ ถึงขั้นที่ว่ากระทั่งตัวภาพยนตร์ยังไม่ทันได้เข้าฉายก็เล่นทุบสถิติยอดจองตั๋วล่วงหน้ากันเป็นว่าเล่นเลยทีเดียวเชียว



Star Wars: The Force Awakens ว่าด้วยเรื่องราวหลังจากจักรวรรดิกาแลกติกได้พ่ายแพ้ลง ภัยอันตรายใหม่ได้คืบคลานเข้ามาอีกครั้งในนามของ 'The First Order' เหล่าฮีโร่หน้าใหม่และเก่าจึงต้องรวมตัวกันเพื่อกอบกู้จักรวาลให้พ้นภัยอันตรายอีกครั้ง


ถึงแม้ว่า The Force Awakens จะยังไม่ใช่ภาพยนตร์ที่สมบูรณ์แบบและเหนือความคาดหมายมากเท่าใดนัก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าผลงานที่อยู่ในมือการกำกับของ เจ.เจ. อบรัมส์นี้ คือการประกาศศักดาของการกลับมาสำหรับหนึ่งในแฟรนไชส์ฮอลลีวูดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเรื่องหนึ่ง


เจ.เจ. อบรัมส์ ยังคงพิสูจน์ว่าเข้าเป็นผู้กำกับที่เต็มไปด้วยวิสัยทัศน์อันกว้างไกลเช่นเคย ด้วยการกำกับที่ยังคงน่าทึ่ง วางปมต่างๆได้อย่างชาญฉลาด เล่าเรื่องได้อย่างลื่นไหลน่าติดตามไม่มีช่วงเวลาใดเลยที่รู้สึกน่าเบื่อหรือหลุดออกจากจังหวะของภาพยนตร์ ที่สำคัญคือเขาแนะนำตัวละครใหม่ได้อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่รู้สึกถูกยัดเยียดและยังพาตัวละครหน้าเก่ามาให้ชวนคิดถึงกันอีกด้วย 


ทีมโปรดัคชั่นก็ยังคงไร้ข้อกังขา ฉากต่างๆล้วนแต่อลังการงานสร้าง การเปิดเรื่องและเพลงที่ชวนย้อนนึกถึงอดีต พร้อมกับสอดแทรกเรื่องราวการผจญภัยของเหล่าตัวละครบทใหม่อันน่าตื่นเต้น ทำให้ The Force Awakens กลายเป็นการคืนชืพของภาพยนตร์ Star Wars ที่ยิ่งใหญ่ และเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังใหม่ที่พร้อมจะเดินไปข้างหน้าสู่โอกาสที่ยิ่งใหญ่ต่อไป ซึ่งชวนให้นึกถึงผลงานอีกชิ้นของดิสนีย์อย่างจักรวาลภาพยนตร์มาร์เวลมิใช่น้อย



อย่างไรก็ตามท่ามกลางสมรภูมินักรบเลือดใหม่อันแสนดุเดือดนี้ สิ่งที่ดูจะกลายเป็นจุดอ่อนของ The Force Awakens ก็คงจะหนีไม่พ้นฝั่งตัวละครด้านมืดหรือตัวร้ายของเรื่องนี้เอง


ในขณะที่ตัวละครใหม่ฝั่งด้านแสงสว่างหรือเรียกง่ายๆว่าฝ่ายดีมีเรื่องราวและปมขัดแย้งที่น่าสนใจ น่าติดตามสุดๆแทบจะทุกตัวละคร ตัวละครฝ่ายด้านมืดกลับค่อนข้างจืดชืด เอาเข้าจริงหลายส่วนก็ต้องโทษตัวบทภาพยนตร์ที่แสนจะธรรมดาเหลือเกินด้วยส่วนหนึ่ง จะว่าไปแล้วนี้ก็เป็นเรื่องที่น่าผิดหวังไม่ใช่น้อยถ้าหากเทียบกับผลงานเก่าของ เจ.เจ. อบรัมส์ อย่าง Star Trek Into Darkness ที่มีตัวร้ายอันแสนน่าสนใจ น่าค้นหา น่าเห็นใจ แต่กลับชั่วร้ายอย่างน่ากลัว ผิดไปจากตัวร้ายใน The Force Awakens อย่างลิบลับ


ซ้ำร้ายเข้าไปอีกคือนอกเหนือจากความผิดหวังแล้ว จุดอ่อนนี้ยังไปกระทบต่อจุดหักมุมอันแสนยิ่งใหญ่ของ The Force Awakens ที่ไม่น่าจดจำและไม่ทรงพลังเท่าที่ควรอีกด้วย ซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่าเสียดายโอกาสเป็นอย่างยิ่ง



แต่สุดท้ายแล้วถึงแม้ว่า Star Wars: The Force Awakens ของ เจ.เจ. อบรัมส์ จะยังมีจุดบกพร่องให้เห็นได้ชัดเจนเท่าไรก็ตาม เขาก็ได้ทิ้งภาระอันหนักหน่วงเอาไว้ให้แก่ผู้กำกับภาคต่อไปซึ่งก็คือ ไรอัน จอห์นสัน เจ้าของผลงาน Looper ที่จะต้องสร้างสรรค์ เนรมิต และให้กำเนิดโลกแห่ง Star Wars ให้ได้ยิ่งใหญ่ อลังการ เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังที่จุดประกายไฟลุกโชนดังนกฟีนิกซ์ที่ฟื้นคืนชืพขึ้นมาจากขี้เถ้าให้ได้อย่างไม่ต้องสงสัย


Final Score: [ 7 / 10 ]

วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

The Hunger Games: Mocking Jay Part 2 ( 2015 ) Movie Review



The Hunger Games: Mocking Jay Part 2 ( 2015 ) บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz


"ประกายไฟลุกโชน"



    เชื่อว่ามาถึงจุดนี้แล้ว ใครๆก็คงจะปฏิเสธได้ยากถึงความสำเร็จของแฟรนไชส์ The Hunger Games จากหนังสือนวนิยายชื่อดังสู่ภาพยนตร์ที่นอกจากจะสร้างชื่อเสียงของนักแสดง เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ ให้เป็นที่โด่งดังแล้ว ยังกลายเป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์จากหนังสือนวนิยายที่มีคุณภาพเหนือแฟรนไชส์ประเภทเดียวกันอื่นๆ โดยเฉพาะใน Catching Fire 


ถึงแม้ว่าการตัดสินใจที่จะหั่นหนังสือเล่มเดียวในภาคสุดท้ายเป็นสองส่วนจนพาเอาส่วนแรกกลายเป็นหายนะไปจะเป็นการตัดสินใจที่น่าตั้งคำถาม แต่อย่างไรก็ตาม บทสรุปของแฟรนไชส์ที่แทบจะเรียกได้ว่าสร้างประวัติศาสตร์ให้กับวงการภาพยนตร์ฮอลลีวูดอย่าง The Hunger Games ก็ได้ดำเนินมาถึงจุดจบเสียทีใน Mocking Jay Part 2 ซึ่งมันเป็นความรู้สึกที่น่าใจหายอย่างแปลกประหลาดอีกครั้ง เสมือนตอน Deathly Hallow ของ Harry Potter ในขณะที่เรากำลังเพลิดเพลินอยู่กับการเสกเวทย์มนตร์คาถา หรือเคร่งเครียดไปกับการเมืองอันดุเดือด รู้สึกตัวอีกที เราก็ดำเนินมาถึงจุดจบของอีกหนึ่งแฟรนไชส์ชื่อดังเสียแล้ว



The Hunger Games: Mocking Jay Part 2 ว่าด้วยเรื่องราวต่อมาจาก 3 ภาคที่ผ่านมา สงครามระหว่างแคทนิส กับ สโนว์ ได้เข้ามาถึงจุดแตกหัก ถึงคราวที่เธอจะต้องต่อกรกับเขาและสะสางเรื่องราวที่ผ่านมาให้หมดสิ้น แต่หนทางกลับเต็มไปด้วยกับดักอันร้ายกาจและแสนอันตรายมากมาย แคทนิส จึงต้องทำทุกวิถีทางในการหยุดยั้งสโนว์ให้ได้



ถ้าหากเปรียบเทียบกับภาคล่าสุดอย่าง Mocking Jay Part 1 แล้ว Part 2 นี้ดูจะกลายเป็นการพัฒนาชนิดพลิกหน้ามือเป็นหลังมืออยู่ไม่ใช่น้อย จากภาพยนตร์อันแสนน่าเบื่อชวนหลับ หาอะไรจับต้องแทบจะไม่ได้ กลายมาเป็น บทสรุปอันแสนลุ้นระทึก น่าตื่นเต้น เรื่องราวที่น่าค้นหาชวนติดตาม แต่อย่างไรก็ตาม Mocking Jay Part 2 ยังคงเต็มไปด้วยปัญหามากมายหลายประการ แม้ว่าตัวแฟรนไชส์จะดำเนินมาถึงจุดจบแล้วก็ตาม


ที่ดูจะส่งผลต่อหลากหลายส่วนของภาพยนตร์มากที่สุด ก็คงจะหนีไม่พ้นการกำกับของ ฟรานซิส ลอว์เรนซ์ ที่ยังคงแสดงให้เห็นปัญหาจากภาคที่แล้ว การเล่าเรื่องของเขานั้นถึงแม้ว่าจะไม่ได้ย่ำแย่อะไร แต่ก็ตรงไปตรงมาตามสูตรสำเร็จมากจนเกินไป ขาดความคิดสร้างสรรค์อย่างรุนแรง ทำให้การดำเนินเรื่องคาดเดาง่าย และปราศจากความสดใหม่ ให้ความรู้สึกเหมือนนั่งชมภาพยนตร์สูตรสำเร็จเดิมๆ 


กระทั่งตัวภาพยนตร์หลายส่วนเอง ก็ถูกเล่าเรื่องและผลักดันอย่างเร่งรีบ ไม่เว้นแม้แต่ฉากสำคัญๆที่ควรจะกระทบต่อจิตใจผู้ชมอย่างรุนแรง แต่กลับกลายเป็นฉากที่ถูกยัดเยียดเข้ามาอย่างลวกๆ ทำให้ฉากที่ควรจะน่าจดจำ ควรจะกลายเป็นฉากที่เราจะพูดถึงไปอีกนานแสนนาน หายวับไปกับตา จนแทบจะหาอะไรที่น่าจดจำไม่ได้ซักอย่าง



ที่ดูจะน่าเสียดายที่สุด ก็คือฉากแอ็คชั่นทั้งหลายในภาพยนตร์ที่เอาเข้าจริงน่าตื่นเต้น ลุ้นระทึก และเป็นจุดที่น่าจดจำที่สุดในภาคนี้ โดยเฉพาะฉากไล่ล่าใต้ดิน ที่ให้ความรู้สึกถึงภัยอันตรายที่ถาโถมรายล้อมเหล่าตัวละครของเราเข้ามาเสมือนคลื่นที่โหมกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง สร้างความรู้สึกที่เราไม่อาจจะหนีพ้นไปจากสถานการณ์เช่นนี้ จนเกิดอารมณ์ของความ 'สิ้นหวัง' ซึ่งเป็นจุดอารมณ์ที่สูงที่สุดของภาคนี้ และเรียกได้ว่าเป็นจุดที่ทำให้รู้สึกได้ว่านี้คือภาคบทสรุปและสิ่งที่ Mocking Jay Part 2 ตั้งใจจะเป็นอย่างแท้จริง ความรู้สึกที่ว่าภัยอันตรายนั้นอยู่ทุกหนทุกแห่ง และทุกย่างก้าวของเหล่าตัวละครอาจหมายถึงความตาย ไม่ต่างอะไรไปกับตอนที่พวกเขาอยู่ในสนามประลองในภาคก่อนๆ


แต่พอเมื่อฉากแอ็คชั่นเหล่านี้จบลง อารมณ์เหล่านี้ก็ถูกฉกฉวยไปจากผู้ชมอย่างรวดเร็ว และวนลูบกลับมาสู่การเล่าเรื่องอันแสนจืดชืดอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าใน Mocking Jay Part 2  จนเป็นเหตุทำให้บทสรุปของ The Hunger Games ไม่เต็มอิ่ม และไม่น่าจดจำเท่าที่ควร




โชคยังดีที่ทางด้านเทคนิคและทีมโปรดัคชั่นยังคงอลังการ สมจริงเช่นเคย การถ่ายและวางเฟรมภาพในจุดต่างๆก็ยังคงยอดเยี่ยม ทำให้ตัวภาพยนตร์ออกมาน่าดูชมตลอดเวลา การใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆน้อยๆของแต่ละฉากก็ยังคงอยู่ในจุดที่น่าทึ่ง


ที่สำคัญคือการแสดงของ เจนนิเฟอร์ ลอวเรนซ์ ก็ยังคงยอดเยี่ยม น่าทึ่งและแทบจะโอบอุ้มตัวภาพยนตร์เอาไว้บนบ่าของเธอ ซึ่งดูจะเป็นสิ่งที่ยังคงโดดเด่นไว้วางใจได้ไม่เปลี่ยนสำหรับแฟรนไชส์นี้


ถึงแม้ว่า Mocking Jay Part 2 จะอยู่จุดกึ่งกลางระหว่างบทสรุปที่ยอดเยี่ยม และบทสรุปที่น่าผิดหวัง แต่ในท้ายที่สุด สิ่งที่แฟรนไชส์ The Hunger Games ได้รับ จากการฝ่าฟันได้มาถึงจุดนี้ ก็ไม่สามารถเป็นอื่นใดไปได้นอกจากความสำเร็จและกลายเป็นอีกหนึ่งเสี้ยวประวัติศาสตร์ของวงการภาพยนตร์ฮอลลีวูด



สุดท้ายแล้ว The Hunger Games: Mocking Jay Part 2 ก็ยังคงไว้ซึ่งการสอดแทรกเนื้อหาที่สะท้อนถึงวงจรแห่งบาปซึ่งไม่มีวันสิ้นสุดของมนุษย์ชาติ ไม่ใช่แค่ในด้านการเมืองที่เต็มไปด้วยเกมแห่งการแสวงหาประโยชน์เพื่อตนเอง แต่ยังรวมถึงธรรมชาติของมนุษย์ที่ไม่ใช่แค่เป็นเผ่าพันธุ์ที่ช่างหยิ่งผยองจองหองเท่านั้น แต่ยังเต็มไปด้วยข้ออ้างล้านแปดประการ สิ่งเดียวที่เราทำได้ก็เพียงแต่หวังโลกในภายภาคหน้าจะเต็มไปด้วยความหวัง ความสงบสุข และใครซักคนที่จะลุกขึ้นมาต่อต้านกับการกระทำที่ไม่ถูกต้องนั้น เพื่อจุดประกายไฟให้ลุกโชน เสมือนสัญลักษณ์แห่งม็อกกิ้งเจย์


Final Score : [ 7 / 10 ]


วันศุกร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Spectre ( 2015 ) Movie Review



Spectre ( 2015 ) บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz



"ยานอนหลับชั้นดี"


 ห็นได้ชัดเลย ว่าช่วงนี้ตลาดภาพยนตร์กำลังตื่นตัวกับกระแสภาพยนตร์สายลับมากทีเดียว โดยเฉพาะการนำมันมาพลิกกลับด้านกลายเป็นมุขตลกโปกฮาอย่างเช่นใน Spy หรือ Kingsman: The Secret Service ซึ่งปฏิเสธไม่ได้เลยว่าภาพยนตร์เหล่านี้ต่างก็ได้รับแรงบันดาลใจมาจากภาพยนตร์สายลับรหัสเลขสามตัว 007 หรือ James Bond


โดยเฉพาะหลังจากความสำเร็จของ Skyfall ในภาคที่แล้ว ซึ่งยอดเยี่ยมจนหลายต่อหลายคนถึงกับเอาไปวางบนหิ้ง ซึ่ง Spectre ก็เป็นภาคต่อที่พยายามจะสานต่อความสำเร็จนี้อีกครั้งหนึ่ง 


แต่น่าเสียดาย เมื่อเทียบกับ Skyfall แล้ว Spectre แทบจะเปรียบเสมือนเด็กน้อยปั่นจักรยานข้างทางที่ดูจะไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรซักเท่าไรนัก กล่าวคือนี้เป็นภาคต่อของสายลับมาดเท่ห์ 007 ที่ปราศจากซึ่งความโดดเด่น ความน่าจดจำใดๆ ซ้ำร้ายยังเต็มไปด้วยความจืดชืด น่าเบื่อ ชวนง่วงหงาวหาวนอน



Spectre ว่าด้วยเรื่องราวต่อจาก Skyfall เจมส์ บอนด์ เดินตามรอยแห่งอดีตซึ่งทำให้เขาต้องพบกับศัตรูตัวร้ายคนใหม่ที่ร้ายกาจกว่าครั้งที่ผ่านๆมา


ที่ดูจะเลวร้ายที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้นบทภาพยนตร์ ช่างน่าเบื่อ แทบไม่มีความเป็นเอกลักษณ์ใดๆของเจมส์ บอนด์อยู่เลย เต็มไปเรื่องราวซ้ำๆซากๆ ตั้งแต่ พระเอกต้องเผชิญกับองค์กรร้ายที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ต่างๆ หัวหน้ากลุ่มที่มีความแค้นส่วนตัวกับพระเอก หรือ อดีตที่ตามมาหลอกหลอน  ที่แย่คือสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เพียงแค่ซ้ำซาก แต่ยังขาดชั้นเชิงอย่างมาก ส่งผลทำให้เรื่องราวไม่มีความน่าจดจำใดๆเลย

แต่สาเหตุที่แท้จริง ซึ่งทำให้ Spectre กลายเป็นภาพยนตร์ที่แสนน่าผิดหวัง ก็คือตัวละครร้ายทั้งหลายของภาพยนตร์ โดยเฉพาะตัวละครของนักแสดงรางวัลออสการ์ คริสตอฟ วอลซ์ ที่ถูกวางมาให้เป็นคู่ปะทะที่สูสีและอาจจะเหนือกว่า เจมส์ บอนด์ ด้วยซ้ำไป ก่อให้เกิดเรื่องราวการปะทะอันแสนดุเดือด แต่สิ่งที่เราเห็นกลับมีเพียงตัวร้ายที่ทำอะไรแทบไม่ได้นอกจากพล่ามแล้วพล่ามอีก พอถึงเวลาจริงก็กระจอกงอกง่อย น่าผิดหวังไม่ต่างอะไรกับ อัลตรอน ใน Avengers: Age of Ultron จุดนี้ทำร้ายตัวภาพยนตร์อย่างมาก เนื่องจากทำให้เรื่องราวอันแสนอลังการที่ถูกสร้างมาทั้งเรื่อง ไร้ความหมายไปในทันที เสมือนสิ่งก่อสร้างอันแสนศักดิสิทธิ์นับร้อยชั้นที่พังครีนลงมาเหลือเพียงแต่ซากปรักหักพังไว้ให้ดูชมอย่างเจ็บปวดรวดร้าว




ในหลายส่วนก็ต้องตั้งคำถามถึงการกำกับของ แซม เมนเดส เช่นกัน ไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา เพราะการกำกับของเขาใน Spectre นั้นแทบจะเหมือนยานอนหลับ ไม่ว่าจะเป็นการเล่าเรื่องที่จืดชืด ไร้พลัง การวางตัวละคร ปูปมขัดแย้งในจุดต่างๆที่ขาดชั้นเชิง และฉากแอ็คชั่นที่กลายเป็นระเบิดภูเขาเผากระท่อมไม่มีความน่าสนใจใดๆเลย ต่างก็ได้ส่อถึงปัญหาอะไรบางอย่างที่อาจจะเกิดขึ้นหลังจากภาคที่แล้ว


มีเพียงสองสิ่งเท่านั้นที่ Spectre ยังคงทำได้ดี นั้นก็คือด้านโปรดักชั่นที่ยอดเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ถ่ายทำ ฉาก หรือการจัดแสงต่างๆที่น่าทึ่ง และฉากเปิดเรื่องที่คลอเพลง Writing's On the Wall ของ แซม สมิธ ไปด้วย ช่างไพเราะ งดงาม และดูจะอลังการ น่าจดจำเสียยิ่งกว่าตัวภาพยนตร์จริงๆทั้งเรื่องเสียอีก




จริงๆ Spectre มีความน่าสนใจ ความเป็นไปได้ที่จะกลายเป็นอีกหนึ่งภาคของ เจมส์ บอนด์ ที่ยอดเยี่ยมได้ เช่นการจับเรื่องราวระหว่างตัวละครเอก เจมส์ บอนด์ กับ สาวบอน์ด ซึ่งเป็นหนึ่งเอกลักษณ์ของภาพยนตร์ชุดนี้อย่างจริงจัง พูดถึงการสูญเสียคนรักมากมาย บาดแผลในใจของ บอนด์ ที่อาจจะทำให้เขาต้องเปลี่ยนแปลงอะไรบางสิ่ง เสมือนกับเพลง Writing's On the Wall 

ถ้าหากมองข้ามความเป็นจริง ว่านี้คืออีกหนึ่งภาพยนตร์ของสายลับรหัส 007  Spectre ก็ดูจะเป็นประสบการณ์ที่ไม่เลวร้ายซักเท่าไรนัก แต่ในเมื่อความเป็นจริงมันไม่ใช่เช่นนั้น และผลงานที่ออกมาตอนนี้เป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวของสิ่งที่มันควรจะเป็น ท้ายที่สุดแล้ว Spectre ก็เป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากความผิดหวัง


Final Score : [ 6 / 10 ]

วันศุกร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2558

The Last Witch Hunter (2015) Review


The Last Witch Hunter (2015) บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz


"พี่วินก็เอาไม่อยู่"


  ถือได้ว่ากลายเป็นดาราแอ็คชั่นระดับยักษ์ใหญ่ งานเข้ามาไม่หยุดไม่หย่อนแล้วจริงๆสำหรับพี่ วิน ดีเซล ที่เชื่อว่าหลายคนคงจะจำเขาได้จากบทบาทใน Pitch Black หรือแฟรนไชส์ The Fast and the Furious


ซึ่งด้วยความโด่งดังนี้เอง ทำให้เขาจึงต้องถูกดึงตัวไปในภาพยนตร์ใหม่ๆ The Last Witch Hunter ก็เป็นหนึ่งในความพยายาม ที่จะใช้พลังของ วิน ดีเซล ในการดึงกระแส และสร้างความโดดเด่นให้กับภาพยนตร์


The Last Witch Hunter ว่าด้วยเรื่องราวของนักล่าแม่มดฝีมือเก่งกาจคนหนึ่งที่พบว่าเขากำลังเผชิญกับภัยอันตรายครั้งใหม่ ที่น่ากลัวยิ่งกว่าครั้งไหนๆ



ต้องพูดเลย ว่า วิน ดีเซล ผู้รับบทเป็น คาลเดอร์ นักล่าแม่มดอันเก่งกาจ เป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมและน่าจดจำที่สุดในภาพยนตร์เรื่องนี้ เขายังคงเป็นนักแสดงที่บู้ได้อย่างเมามันส์ แต่ก็เสริมเรื่องราวตัวละครในบทที่ตนเล่นได้ดี ยังคงเป็นนักแสดงที่เรารู้สึกถูกชะตาได้อย่างรวดเร็วทั้งๆที่เขาไม่ได้รับบท ริดดิค หรือ ดอม อีกต่อไปแล้ว

พูดตรงๆคือเขาเป็นเหตุผลเดียวที่ทำให้ The Last Witch Hunter อยู่ในจุดที่พอจะหาความบันเทิงได้บ้าง ท่ามกลางองค์ประกอบอันแสนย่ำแย่ส่วนอื่นๆ ตั้งแต่บทภาพยนตร์ที่แสนซ้ำซาก  หาความโดดเด่นได้ยากเย็นเหลือเกิน และในความซ้ำซากก็ยังจะทำออกมาได้จืดชืดซะอีก


ในด้านของตัวละครนอกจากตัวเอก โดยรวมๆก็ไม่ค่อยน่าประทับใจเท่าไรนัก เช่น ตัวละคร โคลอี้ ที่รับบทโดย โรส เลสลี่ ซึ่งถูกสร้างขึ้นมาให้มีความสัมพันธ์เชิงคนรักกับ คาลเดอร์ ความสัมพันธ์นี้ก็ถูกยัดเยียดเข้ามามากเกินจนเราไม่รู้สึกเชื่อเท่าไรนัก แต่กลับรู้สึกว่าไอ้สองคนนี้มันไปชอบกันตอนไหนเสียมากกว่า ที่ดูน่าสับสนที่สุดก็คงจะเป็นตัวละครของ เอไลจาห์ วูด ไม่แน่ใจว่ามีมาเพื่ออะไร เป็นตัวละครที่มีตัวตนอยู่ด้วยเหตุผลอันเบาหวิวอย่างมาก




แต่ ตัวละครที่ไม่น่าอภัยที่สุดใน The Last Witch Hunter เลย ก็คือตัวแม่มดสุดร้ายกาจ ที่ตัวภาพยนตร์อวยนักอวยหน้า ว่าเก่ง ว่าเทพ จะนำความวิบัติมากมายมาสู่โลก แต่เอาเข้าจริงกลับเป็นได้แค่อีกหนึ่งตัวละครดาษๆที่ทำอะไรแทบไม่ได้นอกจากพล่าม กลายเป็นว่าตัวละครอีกตัวอย่าง บีไลห์ ที่รับบทโดย โอลาฟูร์ ดาร์รี โอลาฟสัน ยังมีความน่าสนใจ และดูจะร้ายกาจเสียยิ่งกว่าอีก


ซึ่งเหตุผลที่ตัวภาพยนตร์ประสบปัญหาอย่างที่เป็นนี้ หลายๆสาเหตุก็คงจะหนีไม่พ้นปัญหาที่มาจากในด้านของการกำกับเอง  เบรก ไอส์เนอร์ ดูจะเป็นผู้กำกับที่มีวิสัยทัศน์และมุมมองที่ไม่เหมาะกับงานที่ต้องอาศัยความสร้างสรรค์อย่างมากเช่น The Last Witch Hunter เสียเลย แทบจะทุกสรรพสิ่งในภาพยนตร์ต่างถูกกำกับออกมาอย่างจืดชืด ไร้ซึ่งสัญญาณชีวิต ตั้งแต่การเล่าเรื่องที่น่าเบื่อ การกำกับฉากแอ็คชั่นที่ตัดต่อรวดเร็วเกินไปดูอะไรแทบจะไม่รู้เรื่อง แถมยังออกแบบฉากต่อสู้ได้แห้งแล้ง ปราศจากซึ่งความอลังการหรือความน่าจดจำ โดยเฉพาะฉากไคลแม็กซ์สุดท้ายของเรื่องที่ให้ความรู้สึกเหมือนนั่งดูกำแพง ช่างแบนราบ แข็งกระด้าง และน่าเบื่อเสียนี้กระไร



สุดท้ายแล้ว The Last Witch Hunter ก็เป็นได้แค่อีกหนึ่งภาพยนตร์ดาษๆที่หาความน่าจดจำหรืออะไรที่เป็นเนื้อหาสาระแทบจะไม่ได้เลย ต้องยกนิ้วให้ วิน ดีเซล ที่ดูจะพยายามอย่างมากในการดึงภาพยนตร์ขึ้นมาหุบเหวมรณะ แต่ในเมื่อผู้กำกับล้มเหลวแทบจะสิ้นเชิงในการสร้างสรรค์ผลงานให้ออกมาน่าสนใจ มีพลัง หรือสร้างความแตกต่างจากภาพยนตร์แนวเดียวกันเรื่องอื่นๆ บทสรุปที่ออกมาก็คงจะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจากความหายนะ 


Final Score: 4.5 / 10

วันอังคารที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2558

Crimson Peak ( 2015 ) Movie Review



Crimson Peak ( 2015 ) บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz


"จิตใจมนุษย์ในคฤหาสน์สีเลือด"



                              ถ้าหากพูดถึงผู้กำกับที่มีความสามารถในการสร้างสรรค์ผลงานการดีไซน์ สร้างสรรค์สิ่งต่างๆในภาพยนตร์ให้ออกมาโดดเด่นและแตกต่าง หนึ่งในผู้กำกับที่คงจะไม่พูดถึงไม่ได้เลย ก็คือ กิลเลอร์โม เดล โทโร เจ้าของผลงานอย่าง Hellboy (2004), Pan's Labyrinth (2006) และ Pacific Rim (2013) ซึ่งในการสร้างสรรค์ออกแบบตัวละคร ฉาก เสื้อผ้า กระทั่งจนถึงธีมและอารมณ์ในภาพยนตร์ของเขา มักจะมีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์เสมอๆ จนเรียกได้ว่าเป็นผู้กำกับที่มีความโดดเด่นมากที่สุดคนหนึ่งของโลก


ซึ่ง Crimson Peak ก็เป็นผลงานเรื่องล่าสุดของเขา ว่าด้วยเรื่องราวของ อีดิธ หญิงสาวที่ตามคนรักของเธอเข้าไปอยู่ในคฤหาสน์เก่าแก่แห่งหนึ่ง แต่ระหว่างนั้นเองเธอกลับพบว่าคฤหาสน์แห่งนี้และคนรอบข้างของเธอ อาจมีความลับอันน่าสยดสยองแอบซ่อนไว้ 



Crimson Peak ยังคงเป็นอีกหนึ่งผลงานการกำกับของ กิลเลอร์โม เดล เทอโร ที่ยังคงโดดเด่นด้วยการออกแบบต่างๆในภาพยนตร์เช่นเคย ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า คฤหาสน์ หรือกระทั่งฉากต่างๆ ก็ถูกออกแบบมาอย่าง งดงาม น่าทึ่ง อลังการงานสร้าง แต่ก็แฝงไปด้วยความรู้สึกอันสยดสยอง และน่าค้นหา เข้ากับธีมของเรื่องได้ดี


ที่น่าชื่นชมมากๆอีกจุด ก็คือการถ่ายภาพ การจัดแสง และการวางองค์ประกอบของภาพในแต่ละฉากของภาพยนตร์ ที่ยอดเยี่ยมมาก ทำให้ทุกฉาก ทุกช่วงเวลาในภาพยนตร์ออกมางดงาม ตระการตาอย่างหาที่เปรียบได้ยาก ชนิดที่ภาพยนตร์จบลงแล้ว แต่เรายังไม่สามารถลืมฉากต่างๆในภาพยนตร์เรื่องนี้ลงได้เลย



ในด้านของเรื่องราวในภาพยนตร์นั้นถือได้ว่าน่าสนใจ น่าค้นหา และค่อนข้างมีความเป็นเอกลักษณ์ของ กิลเลอร์โม เดล เทอโร อยู่พอสมควร ให้กลิ่นอายที่ชวนนึกถึงภาพยนตร์สยองขวัญระดับคลาสสิกทั้งหลาย ที่ไม่ได้มีดีแค่ทางด้านเรื่องราวอันซับซ้อน สะท้อนถึงความวิปริตในมนุษย์ แต่ยังมีความน่าค้นหาแอบซ่อนอยู่ภายใน พูดถึงความเชื่อในการมีตัวตนของ 'ภูติ ผี ปีศาจ' ผ่านโศกนาฏกรรม และอดีตอันน่ากลัว สยดสยองอีกด้วย


ถึงกระนั้นก็ตาม เพราะด้วยความคลาสสิกของบทภาพยนตร์นี้เอง ทำให้หลายๆส่วนในภาพยนตร์ค่อนข้างจะให้ความรู้สึกซ้ำซากอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวของตัวละคร จุดหักมุม และบทสรุปของเรื่องที่เดาง่ายแสนง่าย ซึ่งก็เป็นเรื่องที่น่าเสียดาย



โชคยังดีที่ความซ้ำซากเหล่านี้ ถูกดึงขึ้นมาได้ด้วยทีมนักแสดงหลักของภาพยนตร์อยู่มาก ไม่ว่าจะเป็น จิม บีเวอร์,  มีอา วาซิโควสกา, ชาร์ลี ฮันแนม หรือ ทอม ฮิดเดิ้ลสตัน ทั้งสี่คนรับบทแต่ละตัวละครได้น่าเชื่อถือ น่าสนใจ และโดดเด่นไม่แพ้กัน 

แต่ปฏิเสธไม่ได้จริงๆว่าคนที่โดดเด่นที่สุดในภาพยนตร์ ก็คงต้องยกให้กับ เจสสิกา แชสเทน ที่รับบทตัวละคร ลูซิล ได้อย่างน่าทึ่งเป็นที่สุด การแสดงของเธอตลอดทั้งเรื่องนั้นแรงสะใจไม่ใช่น้อย ถือได้ว่าเป็นตัวละครและการแสดงที่น่าจดจำที่สุดของภาพยนตร์ก็ว่าได้



สุดท้ายแล้ว Crimson Peak ก็เป็นภาพยนตร์สยองขวัญที่โดดเด่นมากที่สุดเรื่องหนึ่งในปีนี้ แทบจะทุกสรรพสิ่งในภาพยนตร์ต่างถูกออกแบบได้อย่างเป็นเอกลักษณ์ ซ้ำยังสอดคล้องกับธีมเรื่องราวในภาพยนตร์ได้เป็นอย่างดี ถึงแม้เรื่องราวนั้นอาจจะซ้ำซากและเดาง่ายไปบ้าง ทีมนักแสดงหลายคนในภาพยนตร์ก็ช่วยในจุดนี้ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะ เจสสิกา แชสเทน ที่เชื่อว่าใครได้ชมก็คงต้องพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า "นางแซ่บจริงๆ"


Final Score : [ 7.5 / 10 ] 

วันอาทิตย์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2558

The Intern ( 2015 ) Movie Review


The Intern ( 2015 ) บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz


"ช่วงเวลาที่น่าจดจำ"



The Intern ว่าด้วยเรื่องราวของ เบน พ่อม้ายวัย 70 ที่เข้าไปเป็นเด็กฝึกงานในบริษัทแห่งหนึ่ง ทำให้เขาได้เจอกับ จูลส์ หญิงสาวผู้ซึ่งกำลังเผชิญปัญหามากมายในชีวิต เบนจึงต้องพยายามหาทางช่วยเหลือ จูลส์ ให้ผ่านเหตุการณ์ต่างๆไปให้ได้ ด้วยความรู้และประสบการณ์อันมากมายของเขา


ตั้งแต่วินาทีแรกที่ภาพยนตร์เริ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นวิธีการเปิดเรื่อง วิธีการตัดต่อ ถ่ายภาพ ยันเพลงประกอบ ก็ทำให้เราทราบได้ทันทีทันใดว่า The Intern เป็นภาพยนตร์ประเภทใด และเรากำลังนั่งชมอะไรอยู่



แน่นอนว่านี้ยังคงเป็นภาพยนตร์จากฝีมือการกำกับของ แนนซี่ เมเยอร์ เจ้าของผลงานอย่าง The Parent Trap (1998) , Something's Gotta Give (2003) และ It's Complicated (2009) ซึ่งการกำกับของเธอยังเต็มไปด้วยความโดดเด่นในด้านอารมณ์ของภาพยนตร์ที่รู้สึกสบายๆ ไม่เคร่งเครียด และผ่อนคลายตลอดเวลา ผสมผสานกับเรื่องราวที่ไม่ซับซ้อนมากนัก แต่ใครๆก็สามารถที่จะรู้สึกร่วมไปด้วยอย่างง่ายดาย ด้วยเหตุนี้เองทำให้ The Intern กลายเป็นภาพยนตร์ที่สามารถชมได้ทุกเพศทุกวัยอย่างแท้จริง ถึงแม้น่าเสียดายที่บทสรุปอาจจะถูกคลี่คลายง่ายดายไปนิด


แต่อีกสิ่งหนึ่งที่โดดเด่นไม่แพ้การกำกับของ แนนซี่ เมเยอร์ และเป็นองค์ประกอบที่ทำให้ The Intern โดดเด่นและค่อนข้างน่าประทับใจไม่ใช่น้อยเลย ก็คือนักแสดงหลักทั้งสองคน โรเบิรต์ เดอ นีโร กับ แอน แฮทธาเวย์



ซึ่งนอกจากทั้งคู่จะแสดงผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม น่าเชื่อถือแล้ว เคมีของทั้งสองคนก็เข้ากันได้อย่างลงตัว ทำให้ตัวละครของทั้งคู่ออกมาโดดเด่น น่าติดตาม น่าหลงใหล ที่สำคัญคือเรารู้สึกเชื่อถึงความสัมพันธ์ที่เปรียบเสมือน 'อาจารย์-ลูกศิษย์' หรือ 'พ่อ-ลูก' ของทั้งสองคนนี้อย่างมาก ผ่านปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นในภาพยนตร์ 


แม้ว่าภายนอก The Intern จะดูเหมือนภาพยนตร์ที่เต็มไปด้วยความคิดอันเก่าแก่ และล้าสมัย จากอายุของตัวละครเอกและเรื่องราวที่เกิดขึ้นในภาพยนตร์


แต่เอาจริงๆแล้ว ภาพยนตร์เรื่องนี้กลับสะท้อนถึงสภาพโลก และสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปได้อย่างน่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า ทันสมัย จนทำให้คนรุ่นก่อนต้องพยายามปรับตัวเข้ากับกระแสสังคมในขณะนี้
หรือสังคมที่เพศชายและหญิงมีความเท่าเทียมกันมากขึ้น หญิงแกร่งก็สามารถหันมาทำงานได้อย่างเก่งกาจไม่แพ้เพศชาย แต่ก็สอดแทรกปัญหาการไม่ยอมรับในประเด็นนี้ของสังคม การเรียกร้องสิทธิสตรีได้น่าสนใจ



สุดท้ายแล้ว The Intern ก็เป็นอีกหนึ่งผลงานการกำกับของ แนนซี่ เมเยอร์ ซึ่งยังคงความเป็นเอกลักษณ์ทั้งด้านเทคนิค อารมณ์ และเนื้อหา ที่ดูง่าย สบายๆ ไม่ต้องคิดอะไรมาก แต่ภายใต้ก็สอดแทรกและสะท้อนเรื่องราวในสังคมได้เข้ากับยุคสมัย ที่ยอดเยี่ยมเข้าไปอีกก็คือสองนักแสดง โรเบิรต์ เดอ นีโร กับ  แอน แฮทธาเวย์ ซึ่งเข้ากันได้อย่างลงตัว ทำให้ The Intern กลายเป็นประสบการณ์ชมภาพยนตร์ที่เราไม่รู้สึกอยากที่จะให้มันจบลงเลยเสียจริงๆ


Final Score : [ 7.25 / 10 ]

วันพุธที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2558

White God (2014) Movie Review


White God ( 2014 ) บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz



"จากหมาที่บ้าน มาชมหมายึดเมือง"


                สำหรับผู้เลี้ยงหรือผู้รักสัตว์เลี้ยงมากๆแล้ว การได้เห็นฉากในภาพยนตร์ ที่สัตว์ต่างๆเหล่านี้ ต้องประสบชะตากรรมอันแสนลำบาก บางครั้งถึงขั้นเลือดตกยางออก เป็นอะไรที่แสนจะหดหู่ และทรมาณอย่างอธิบายไม่ได้ โดยสำหรับส่วนตัวผู้เขียนเอง การชมภาพยนตร์อย่าง War Horse (2011) หรือ John Wick (2014) ก็ทำให้รู้สึกไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูกทุกครั้งโดยเฉพาะ War Horse ที่เล่าเรื่องผ่านตัวละครหลักที่เป็นสัตว์อย่างม้าท่ามกลางพื้นหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 แทบจะทั้งเรื่อง




แต่ในเมื่อภาพยนตร์ที่มีคนพูดถึงและได้รับการยกย่องจากนักวิจารณ์เป็นจำนวนมากอย่าง White God เข้ามาฉายในประเทศไทย ก็ทำให้เราเกิดจิตใจสองแง่สองง่าม ใจหนึ่งก็อยากที่จะชมมากเนื่องจากมันเป็นภาพยนตร์ที่ขึ้นชื่อว่านักวิจารณ์หลากคนชื่นชอบ แต่อีกใจก็กลัวว่าจะทนดูมันไม่ได้เช่นเดียวกัน 


White God เป็นภาพยนตร์จากประเทศฮังการี ซึ่งว่าด้วยเรื่องราวของสุนัข ฮาเก้น ที่ถูกทอดทิ้งหลังจากพ่อของลิลลี่เจ้าของสุนัขไม่ยอมรับมันเข้ามาเลี้ยง ฮาเก้นจึงต้องพบเจอกับประสบการณ์อันแสนสาหัส ความเจ็บปวดและความเคียดแค้นที่สั่งสม มันจึงตัดสินใจที่จะลุกขึ้นมานำกองทัพสุนัขจรจัด เพื่อล้างแค้นเหล่ามนุษย์ที่กระทำกับมันไว้ให้สาสม !!




ต้องพูดเลยว่า สำหรับตัวผู้เขียนเองแล้ว เรื่องการมีอารมณ์ร่วมในภาพยนตร์นั้น ดูจะเป็นส่วนสำคัญในลำดับรองลงมา สำหรับประสบการณ์การชมภาพยนตร์ แต่ White God เป็นภาพยนตร์ที่ปฏิเสธไม่ได้เลย ว่าดึงตัวผู้เขียนและอาจจะผู้รักสัตว์หรือผู้เลี้ยงสุนัขบางท่าน เข้ามาอยู่ในประสบการณ์การชมภาพยนตร์ที่เต็มไปด้วยอารมณ์แทบจะทั้งหมดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อเทียบกับภาพยนตร์หลากหลายเรื่องแล้ว White God ดูจะเหนือชั้นในด้านของความหดหู่ เศร้า และทรมาณระหว่างชมขึ้นไปอีกระดับ


ซึ่งเอาจริงๆนั้นดูจะเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของภาพยนตร์เรื่องนี้ และเป็นสิ่งที่น่าชื่นชมมากที่สุดสิ่งหนึ่ง White God เป็นภาพยนตร์ที่ช่างสะเทือนอารมณ์อย่างรุนแรง มันทั้งโศกเศร้า หดหู่ กระทั่งชวนให้เบือนหน้าหนีในฉากบางฉาก แต่ก็เป็นภาพยนตร์ที่ช่างงดงาม และทรงพลังมากที่สุดเรื่องหนึ่งในชีวิต


แน่นอนว่าหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ White God เป็นเช่นนี้ ก็ต้องขอชื่นชมการกำกับของ กอร์เนล มุนดรักโซ จากการกำกับที่ยอดเยี่ยม ควบคุมและถ่ายทอดอารมณ์ในแต่ละช่วงของภาพยนตร์ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะในช่วงกลางถึงท้ายเรื่อง ที่หนักแน่น ตึงเครียด น่าหดหู่โดยไม่มีท่าทีจะลดลงไปแม้แต่น้อย 
การเล่าเรื่องตัดสลับระหว่างมุมมองของ ฮาเก้น กับ ลิลลี่ ถ่ายทอดปัญหาของสองฝ่ายที่คล้ายคลึงกันอย่างไม่น่าเชื่อ ถ้าหากจะมีจุดติก็คงจะเป็นในจุดไคลแมกซ์ของเรื่อง ซึ่งแลดูสูตรสำเร็จเดาง่ายแสนง่ายไปบ้าง



สำหรับในด้านโปรดักชั่น โดยรวมถือว่าทำได้ค่อนข้างดี เช่นการจัดแสงและองค์ประกอบภาพที่สวยงาม น่าทึ่ง เต็มไปด้วยพลังจนชวนขนลุก ด้านของการกำกับภาพโดยรวมถือว่าได้ดี แต่ในบางฉากมีการใช้เทคนิคการถ่ายทำแฮนด์เฮล กล้องสั่นไปมา ผสมกับการตัดต่อที่รวดเร็วมากเกินไปหน่อย ทำให้รู้สึกน่ารำคาญอยู่บ้าง


ส่วนด้านตัวละครต่างๆในภาพยนตร์สัญชาติฮังการีเรื่องนี้ โดยรวมก็ถือว่าค่อนข้างน่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ระหว่างลิลลี่กับพ่อของเธอ หรือความสัมพันธ์ระหว่างสุนัขตัวเอกของเรื่องอย่างฮาเก้นกับแทบจะทุกตัวละครในภาพยนตร์ ซึ่งในหลายๆส่วนก็ต้องขอชมผู้ฝึกสุนัขและการแสดงของสุนัขสองตัว ลุค กับ บอดี้ ที่สลับกับรับบทเป็นฮาเก้น ในหลายๆฉากจะทรงพลัง น่าจดจำ และเดินหน้าไปต่อได้ยากลำบากมากทีเดียวถ้าหากปราศจากการแสดงอันยอดเยี่ยมของเจ้าสองตัวนี้



สิ่งหนึ่งที่ White God สื่อออกมาได้อย่างชัดเจนตั้งแต่ต้นเรื่อง ก็คือการประณามการทารุณสัตว์ และสะท้อนถึงความโหดร้ายของเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่เบียดเบียนผู้อื่นเพื่อผลประโยชน์ของตนอย่างไม่มีขีดจำกัด


แต่ในอีกด้านหนึ่ง สุนัขและสัตว์เหล่านี้ก็เปรียบเสมือนกระจกสะท้อน 'ชนชั้นล่าง' ของสังคม ที่ถูกกระทำอย่างทารุณ ปรนนิบัติเยี่ยงสัตว์เดรัจฉาน ผ่านประสบการณ์อันแสนเลวร้ายจนต้องลุกขึ้นมาสู้ในท้ายที่สุด ซึ่งในภาพยนตร์ที่ทรงพลังอย่าง White God ก็ได้เปลี่ยนความคิดเรื่องการแก้แค้น ให้มาเป็นความชอบธรรมในสายตาผู้ชมอย่างปฏิเสธไม่ได้ 


สุดท้ายแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดในภาพยนตร์เรื่องนี้ ก็คือทุกชีวิต ทุกเผ่าพันธุ์ ทุกชนชาติ และทุกชนชั้น ต่างก็มีหัวจิตหัวใจไม่ต่างกัน การกดขี่ข่มเหงหรือรังแกผู้อื่น โดยเฉพาะผู้ที่ไร้ทางสู้ เป็นเรื่องที่ไม่อาจให้อภัยได้อย่างเด็ดขาด




Final Score : [ 9 / 10 ]

วันพุธที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2558

Sicario ( 2015 ) Movie Review


Sicario (2015) บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz




"เด็กน้อยท่ามกลางฝูงหมาป่า"



เดนนิส วิลเลอเนิฟ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเป็นอีกหนึ่งผู้กำกับฝีมือระดับหาตัวได้ยากของฮอลลีวูด จากผลงานก่อนๆอย่าง Prisoners และ Enemy ซึ่งภาพยนตร์ของเขา มักจะเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด สถานการณ์อันกดดันจนหายใจลำบากในทุกๆวินาที ซึ่งนี้เป็นสิ่งที่ผู้กำกับน้อยคนนักจะทำได้เป็นเอกลักษณ์อย่างคงเส้นคงว่าเท่า เดนนิส


ซึ่ง Sicario ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น นี้ยังคงเป็นภาพยนตร์ที่เต็มไปด้วยบรรยากาศอันตึงเครียด กดดัน และสมจริง ว่าด้วยเรื่องราวของ เคท FBI สาวมือฉกาจที่ถูกส่งไปร่วมช่วยเหลือต่อต้านขบวนการค้ายาและเข้าเมืองอย่างผิดกฏหมายที่ชายแดนระหว่าง สหรัฐอเมริกา กับแม็กซิโก แต่การมาของเธอครั้งนี้ทำให้เธอได้รู้ซึ้งถึงความอันตรายครั้งใหม่



สาเหตุที่ทำไม Sicario เป็นภาพยนตร์ที่ช่างลุ้นระทึก กดดัน และตึงเครียด ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าส่วนสำคัญมาจากผู้กำกับ เดนนิส วิลเลอเนิฟ ซึ่งยังคงเล่าเรื่อง และสร้างสถานการณ์ได้อย่างน่าทึ่ง ไม่ว่าจะผ่านบทพูด หรือ ภาพบนจอภาพยนตร์ ที่ทำให้ผู้ชมรู้สึกว่าเหล่าตัวละครนั่นตกอยู่ในสภาวะที่เป็นภัย และความรู้สึกที่อะไรจะเกิดขึ้น เมื่อใดก็ได้ตลอดทั้งเรื่อง

ยิ่งผนวกเข้ากับการตัดต่อของ โจ วอล์คเกอร์ เข้าไป ก็ยิ่งทวีคูณความเคร่งเครียดให้กับสถานการณ์ในภาพยนตร์ขึ้นไปอีกขั้น


ในด้านของนักแสดงทั้งหลายในภาพยนตร์ ทุกคนก็ยังคงแสดงพลังผ่านเรื่องราวอันตึงเครียดได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็น เอมิลี่ บลันท์ ซึ่งรับบทหญิงแกร่งในต้นเรื่อง สู่หญิงผู้บอบบางอ่อนแอในท้ายเรื่อง หรือ จอช โบรลิน ที่นอกจากจะรับบทจริงจังได้แล้ว ยังเป็นคนที่คอยใส่มุขกวนๆเข้ามาสร้างสีสันในภาพยนตร์ท่ามกลางสถานการณ์อันตึงเครียดได้ตลอดเวลา


แต่บุคคลที่เป็นตัวเอกที่แท้จริงของภาพยนตร์ ก็คงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก เบนิซิโอ เดล โทโร ซึ่งรับบทเป็นตัวละครอันแสนโหดเหี้ยม น่ากลัว และน่าเกรงขามที่สุดในภาพยนตร์ นอกจากนั้น ความสัมพันธ์เสมือน 'พ่อสั่งสอนลูก' ระหว่างตัวละครของเขา กับ ตัวละครของ เอมิลี่ บลันท์ ก็ช่างน่าสนใจเสียจริงๆ



ถ้าหากจะมีสิ่งหนึ่งที่ Sicario ยังทำได้ไม่โดดเด่นเท่าไรนัก ก็คงจะเป็นพื้นหลังการวางเรื่องราวปมปัญหาระหว่างประเทศอเมริกาและแม็กซิโก ที่ยังคงดูเดิมๆ ไม่น่าจดจำและไม่น่าสนใจเท่าไรนัก 
การสอดแทรกประเด็นศีลธรรมในมนุษย์ก็ค่อนข้างจะโดนส่วนอื่นเบียดจนตกไป แตกต่างจากในผลงานก่อนอย่าง Prisoners ที่ตัว เดนนิส เล่นจุดนี้ได้ดี ได้น่าจดจำกว่ามากซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย


ถึงแม้ว่าในช่วงปัจจุบันเราจะได้เห็นและได้ชมการยอมรับพลัง สิทธิ เสรีภาพและความเท่าเทียมระหว่างเพศชาย กับเพศหญิงที่มากขึ้นแล้ว ไม่ว่าจะนอกหรือในโลกภาพยนตร์ แต่ช่างน่าแปลกใจที่ Sicario กลับเป็นภาพยนตร์ที่ตอกย้ำถึงพื้นที่หรือโลกบางส่วนที่มีแต่ผู้ชายเท่านั้นที่จะอยู่รอดได้ และเป็นที่ๆเพศหญิงหรือผู้อ่อนแอไม่อาจมีชีวิตรอด ซึ่งในภาพยนตร์เปรียบเปรยโลกๆนี้ว่าเป็น 'โลกแห่งหมาป่า' ที่ๆซึ่งเหยื่อผู้อ่อนแอจะถูกกำจัดอย่างง่ายดาย


ซึ่งตัวละครของ เอมิลี่ บลันท์ ก็เปรียบเสมือนตัวแทนความแข็งแกร่งของเพศหญิง ที่เข้ามาถูก บดบี้ ขยี้ และถูกฉีกเป็นชิ้นๆ ในโลกของผู้ชายหรือโลกของหมาป่าแห่งนี้ เสมือนเป็น เด็กน้อยท่ามกลางฝูงหมาป่า อย่างแท้จริง



สุดท้ายแล้ว Sicario ก็เป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์ฮอลลีวูดที่น่าจับตามองมากที่สุดในปีนี้ ไม่ว่าจะเป็นการกำกับ เล่าเรื่อง ตัดต่อ หรือการแสดง ต่างก็อยู่ในระดับที่น่าทึ่ง ยิ่งไปกว่านั้น การสอดแทรกความคิดที่มีโลกหรือพื้นที่บางส่วนซึ่งผู้หญิง หรือ ผู้อ่อนแอไม่ควรเข้ามายุ่งเกี่ยว และเป็นโลกของผู้ชาย ฝูงหมาป่าอันแข็งแกร่งเท่านั้นที่จะอยู่ได้ ก็เป็นแนวความคิดที่น่าสนใจไม่ใช่น้อย Sicario อาจไม่ใช่ภาพยนตร์ที่สมบูรณ์แบบ แต่นั้นก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงด้านที่ดีงามของภาพยนตร์เรื่องนี้ไปซักเท่าไรนัก


Final Score : [ 8 / 10 ]

วันศุกร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2558

Maze Runner: The Scorch Trials ( 2015 ) Movie Review




Maze Runner: The Scorch Trials ( 2015 ) บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz



"รสชาติเดิมๆ"


   ท่ามกลางกระแสภาพยนตร์ที่สร้างมาจากหนังสือขายดีทั้งหลาย ต้องพูดตามตรงเลยว่า Maze Runner เป็นแฟรนไชส์ที่ผู้เขียนประทับใจน้อยที่สุดเรื่องหนึ่ง จากภาคแรกที่ไม่มีความน่าจดจำเลยแม้แต่น้อย อย่างไรก็ตาม The Scorch Trials ก็มาถึง ด้วยขนาดตัวภาพยนตร์ที่ใหญ่ขึ้น ไม่แน่นี้อาจจะเป็นการแก้ตัวที่ประสบความสำเร็จก็เป็นได้ !?


Maze Runner: The Scorch Trials ว่าด้วยเรื่องราวต่อจากภาคที่แล้วของกลุ่มผู้รอดชีวิตจากเขาวงกตที่พบว่าตัวเองเข้ามาอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายเสียยิ่งกว่าเดิม ท่ามกลางการไล่ล่าของกลุ่มผู้ไม่หวังดี และสภาพแวดล้อมที่เป็นอันตรายไม่แพ้กัน พวกเขาจะหาทางเอาชีวิตรอดได้หรือไม่ ?




The Scorch Trials โดยรวมก็ยังคงเป็นภาพยนตร์ที่แทบจะไม่มีการพัฒนาใดๆจากภาคแรก นี้ยังคงเป็นภาพยนตร์ที่สร้างมาจากหนังสือขายดีที่หาความโดดเด่น ความแตกต่าง และความน่าจดจำไม่ได้เลย ทุกๆสิ่งยังคงเต็มไปด้วยความซ้ำซาก นำเสนอเรื่องเดิมๆที่ภาพยนตร์แนวเดียวกันเรื่องอื่นทำมาแล้วไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แถมบางเรื่องยังทำได้ดีกว่าอีกด้วย เฉกเช่น The Hunger Games ที่อย่างน้อยก็สอดแทรกเรื่องราวการเมืองเข้ามาได้อย่างเป็นเอกลักษณ์


บทภาพยนตร์ของ The Scorch Trials ก็ยังคงเต็มไปด้วยปัญหา ความจืดชืด เหมือนคัดลอกชาวบ้านเขามายังไงก็เอามาลงแบบนั้นทุกขั้นตอน แทบจะไม่เห็นซึ่งความพยายามในการปรับเปลี่ยน หรือการสร้างเอกลักษณ์ใดๆ ทำให้ทุกๆสิ่งในภาพยนตร์ช่างน่าเบื่อหน่าย เดาได้อย่างง่ายดายว่าใครจะตายหรือใครจะอยู่ สถานการณ์ต่อไปจะเป็นอย่างไร ซึ่งความซ้ำซากมันยังพอให้อภัยได้ถ้าหากมันน่าจดจำ มันถ่ายทอดอารมณ์ออกมายอดเยี่ยมพอ แต่อารมณ์ที่ได้จากภาพยนตร์เรื่องนี้คือความคิดที่ผุดขึ้นมาในหัวทุกครั้งที่ภาพยนตร์ทำอะไรซ้ำๆว่า "อีกแล้วหรอ"



ในด้านของตัวละครต่างๆก็ไม่ได้อยู่ในสถานะที่ดีไปกว่ากันเท่าไรนัก ทุกตัวละครยังคงเป็นชนิดตัดแปะมาจากแม่แบบ เดิมๆ ขาดมิติ ตัวละครเอกอย่างโทมัสก็ยังคงเป็นมหาเทพ รู้ดีมันซะทุกอย่างทั้งๆที่คนอื่นก็หนีรอดมาจากเขาวงกตได้เหมือนๆกัน  แต่ดูเหมือนจะมีแค่ โทมัส ที่สามารถจะต่อกรกับเหล่าร้ายได้ รู้ว่าควรจะหลบ ควรจะซ่อนตอนไหน หลบหลีกได้ทันเวลาอันน้อยนิดตลอด ด้วยสาเหตุที่ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าเพราะอะไร เขาอาจจะเป็นพระเจ้าก็เป็นได้


ถึงแม้ว่าในช่วงท้ายเรื่องค่อนข้างจะเข้มข้นชดเชยความน่าเบื่อจืดชืดของภาพยนตร์ช่วงแรกถึงกลางเรื่องไปได้บ้าง แต่นี้ก็ดูเหมือนจะคล้ายภาพยนตร์อย่าง Transformers เข้าไปทุกที ที่แทบจะทุกช่วงในภาพยนตร์ชวนหลับแต่สุดท้ายก็ทิ้งอะไรไว้เหมือนเป็นความหวังให้แก่ผู้ชมประมาณว่า "ภาคต่อไปมันจะต้องสุดยอดมากแน่ๆ" ซึ่งมันก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงความจริงที่มากกว่า 70% ของทั้งเรื่องนั้นชวนหลับแค่ไหน



สุดท้ายแล้ว Maze Runner: The Scorch Trials ก็ยังคงเป็นภาพยนตร์แฟรนไชส์สร้างจากหนังสือขายดีที่เดินย่ำอยู่กับที่ไม่ไปไหน แทบจะทุกสรรพสิ่งในภาพยนตร์ก็ยังคงออกมาจืดชืดน่าเบื่อ ขาดเอกลักษณ์หรือความโดดเด่น ถึงแม้ว่าในภาคนี้จะมีจำนวนฉากแอ็คชั่นที่เยอะขึ้น แต่นั้นก็ยังคงทำได้แค่ให้เราไม่หลับซะก่อนที่ภาพยนตร์จะจบลง ซึ่งดูจะเป็นอะไรที่ไม่น่าให้อภัยสำหรับภาพยนตร์ที่ดำเนินมาถึงภาคที่สองแล้ว


Final Score : [ 5 / 10 ]

วันพุธที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2558

ฟรีแลนซ์ ( 2015 ) Movie Review



ฟรีแลนซ์..ห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามรักหมอ ( 2015 ) บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz


"ส่วนผสมที่ลงตัว"


 ถือได้ว่าเป็นอะไรที่น่าสนใจสำหรับวงการภาพยนตร์ไทยเสียจริง กับการเข้ามาร่วมงานในค่ายภาพยนตร์กระแสหลัก GTH ของผู้กำกับอินดี้ เต๋อ นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์ ที่พาเอาแฟนๆและคอหนังหลายคนตื่นเต้น ว่านี้อาจจะเป็นความหวังสำหรับภาพยนตร์ไทยที่กำลังค่อนข้างจะซบเซาช่วงนี้ก็เป็นได้ !?


ฟรีแลนซ์..ห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามรักหมอ ว่าด้วยเรื่องราวของ ยุ่น ชายอายุ 30 ที่รับงานฟรีแลนซ์อย่างดุเดือดชนิดไม่หลับไม่นอน จนทำให้วันหนึ่งเกิดผื่นขึ้นที่ตามตัวของเขา แต่เมื่อเข้าไปโรงพยาบาลเขาก็ได้เจอกับหมออิมที่ทำให้เขารู้สึกกระวนกระวายอย่างบอกไม่ถูก ท่ามกลางงานที่ถาโถมเข้ามาไม่หยุด และการทำลายสถิติไม่นอนติดต่อกันหลายวัน เขาจะสามารถหายจากโรคนี้และเข้าใกล้หมออิมไปอีกได้หรือไม่



ฟรีแลนซ์ คือส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างภาพยนตร์นอกกระแส และกระแสหลักที่ยอดเยี่ยม ไม่ว่าจะในด้านรูปแบบหรือเนื้อหา ที่ยังคงความเป็นผู้กำกับ เต๋อ นวพล คนเดิม เช่นเทคนิคการถ่ายทำแบบต่อเนื่อง Long Take , การใช้กล้องแบบถือเดินติดตามตัวละคร หรือเรื่องราวที่สอดแทรกปัญหาที่เข้ามารุมเร้าตัวละครหลัก 


แต่ที่จะมีโดดเด่นขึ้นมามากกว่าปกติ ก็คือการสอดแทรกเสียงพูดในหัวของตัวละครเอก ยุ่น เข้ามา ซึ่งเสียงในหัวนี้เป็นตัวเพิ่มสีสัน เพิ่มความฉูดฉาดให้กับสถานการณ์ต่างๆในภาพยนตร์มากขึ้น ซึ่งในอีกด้านหนึ่งเสียงพูดนี้ก็เปรียบเสมือนความพยายามในการปรับภาพยนตร์ให้เข้ากับกระแสหลักและผู้ชมทั่วไปมากขึ้น เพราะเสียงในหัวส่วนใหญ่ของเรื่องก็ค่อนข้างมาเป็นจังหวะ สร้างมุขตลกชวนหัวเราะได้ดี แต่ในบางส่วนก็รู้สึกว่ามันมาขยายเรื่องราวในเรื่องให้ใหญ่ ตรงไปตรงมามากจนเกินไป โดยเฉพาะในช่วงท้ายเรื่องที่มีส่วนอารมณ์ค่อนข้างจะจริงจังอยู่มาก ซึ่งฉากเหล่านี้น่าจะทรงพลังมากกว่านี้ถ้าหากปราศจากเสียงพูดในหัวของตัวละครเอกที่คอยแทรกเข้ามาอยู่หลายครั้ง



สำหรับในด้านของนักแสดง แทบจะทุกคนในเรื่องต่างก็แสดงผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็น ซันนี่ ที่รับบทตัวละครหลักอย่างยุ่น ก็ถ่ายทอดตัวละครที่ตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกได้ดี หรือ ดาวิกา ผู้รับบทเป็นหมออิม ก็ยังคงสาวสวย และสะท้อนถึงความยากลำบากในวิชาชีพหมอได้น่าสนใจ เป็นธรรมชาติ อีกคนก็คือ วิโอเลต วอเทียร์ ที่รับบทเป็นเพื่อนของยุ่นในเรื่อง ก็เป็นอีกตัวละครที่น่าสนใจไม่แพ้สองตัวละครหลัก และยังแสดงได้น่าประทับใจไม่แพ้สองนักแสดงหลักเลยทีเดียว


ฟรีแลนซ์..ห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามรักหมอ เป็นภาพยนตร์ที่สะท้อนถึงปัญหาของคนทำงานได้เป็นอย่างดี ไม่ใช่แค่เฉพาะอาชีพฟรีแลนซ์เหมือนตัวละครเอก เฉกเช่น การทำงานที่สุดแสนจะลำบาก ลากเลือด เพื่อนร่วมงานที่บางครั้งเห็นงานสำคัญกว่าชีวิตของเรา หรือ ความกดดันจากสังคมการทำงานที่แข่งขันกันอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่มันก็กลับเป็นสิ่งที่ไม่ว่าใครๆก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าคือสิ่งจำเป็นเพื่อการมีชีวิตรอด



ซึ่งสิ่งที่ภาพยนตร์สอนให้กับผู้ชม ก็คือการที่เราต้องไม่ลืมถึงคุณค่าของชีวิตตัวเราเอง การทุ่มเทในการทำงาน หรือ ทำสิ่งบางสิ่ง มันเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าหากมันทำร้ายชีวิตหรือร่างกายของเรา มันก็อาจจะเป็นการแลกเปลี่ยนที่ไม่เท่าเทียมซักเท่าไรนักเลย เพราะถึงแม้ว่างานชิ้นนั้นเราอาจจะรอคอยมาทั้งชีวิต แต่สุดท้ายแล้วถ้าหากเราไม่มีแม้แต่ชีวิตให้เหลือใช้ การรอคอยนั้นก็ยิ่งกว่าสูญเปล่า นี้คือสิ่งที่ ฟรีแลนซ์ ถ่ายทอดออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม


สุดท้ายแล้ว ฟรีแลนซ์..ห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามรักหมอ ก็กลายเป็นผลงานส่วนผสมระหว่างภาพยนตร์นอกกระแส กับ ภาพยนตร์กระแสหลักที่เรารอคอยและคาดหวัง นี้เป็นภาพยนตร์ที่เต็มไปด้วยเอกลักษณ์ที่โดดเด่น น่าสนใจ สอดแทรกเนื้อหาที่หนักแน่น แต่กลับเป็นภาพยนตร์ที่ผู้ชมทั่วไปก็สามารถเดินเข้าไปชมได้โดยไม่รู้สึกถูกทิ้งไว้กลางทาง ถ้าหากจะมีสิ่งหนึ่งที่ ฟรีแลนซ์ อาจจะพลาดไปบ้าง ก็คือจำนวนเสียงพูดในหัวที่ดูจะเยอะและเข้ามาแทรกในส่วนสำคัญมากๆของเรื่องมากเกินไป แต่นั้นก็ดูจะเป็นเพียงจุดผิดพลาดเล็กน้อยในภาพยนตร์ที่น่าทึ่งเช่นนี้

Final Score : [ 8 / 10 ]