วันศุกร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2556

White House Down ( 2013 ) Movie Review

Movie Review
หลังจาก Olympus Has Fallen ก็มี White House Down ต่อไปจะเป็นเรื่องชื่ออะไรดีหว่า ?



Movie Name : White House Down ( 2013 ) , Action / Thriller
Director : Roland Emmerich ( ID4 , The Day After Tomorrow , 2012 )
Stars : Channing Tatum ( 21 Jump Streets , Magic Mike ) , Jamie Foxx ( Django : Unchained , Law Abiding Citizen ) , Maggie Gyllenhaal ( The Dark Knight ) , Richard Jenkins ( The Cabin in the Woods ) , Joey King ( The Conjuring ) , James Woods ( Casino ) 
Rating : PG-13







REVIEW



                                                                               White House Down เป็นภาพยนตร์เรื่องที่ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายที่เป็นภาพยนตร์ Action / Thriller แนวเดียวกันกับ Olympus Has Fallen เปะๆ แถมยังเข้าช้ากว่า Olympus Has Fallen อีก ทำให้เป็นภาพยนตร์ที่ถูกเปรียบเทียบเพราะความเหมือนกันอยู่มาก ผมต้องขอบอกตามตรงเลยว่า ผมไม่คาดหวังอะไรใน White House Down เลย เพราะ ดูจากตัวอย่างก็พอจะเดาออกว่ามันคงไม่ใช่ภาพยนตร์ที่ดีมากมายอะไรแน่นอน White House Down นั้นได้ผู้กำกับคือ Roland Emmerich ซึ่งเขาเป็นผู้กำกับเจ้าแห่งความหายนะของจริงอีกคนก็ว่าได้จากผลงานอย่าง ID4 , The Day After Tomorrow หรือ ภาพยนตร์โลกแตกที่โลกดันไม่แตกจริงอย่าง 2012



White House Down ถ้าให้พูดถึงส่วนใหญ่ของภาพยนตร์คงต้องบอกว่า มันจะไม่มีอะไรแปลกใจคุณเท่าไรนักเลย คุณจะรู้ว่าฉากต่อไปจะเป็นอย่างไร บทมันจะเป็นอย่างไร มันจะจบอย่างไร แม้กระทั่งคุณจะเดาตัวร้ายออกด้วยซ้ำไปถึงแม้ตัวหนังพยายามแล้วที่จะหักมุมแต่สุดท้ายคุณก็จะรู้ทันอยู่ดี รวมไปถึงพระเอกเปิด God Mode ไม่มีวันตาย ส่วนตัวร้ายก็ยังคงทำอะไรที่ไร้สติปัญญาหาเหตุผลไม่ได้ในบางฉากอยู่บ้าง หลายๆสิ่งหลายๆอย่างที่หาความสมเหตุสมผลไม่ได้ คุณไม่รู้ว่าทำไมมันถึงเป็นแบบนั้น สรุปก็คือ มันก็คือ Mindless Action Movie นั้นเอง โอเค บทที่คุณเดาได้แทบจะทุกอย่าง หักมุมที่ไม่เวิรค์ ความไม่สมเหตุสมผล เพราะฉะนั้นคำถามพันล้านจึงอยู่ที่ "แล้วมันสนุกไหม ?" 



ผมคงไม่สามารถที่จะโกหกได้เลย  White House Down เป็นภาพยนตร์ Action ที่ค่อนข้างจะสนุกทีเดียว ระเบิดตูมตาม วิ่งไล่กัน รวมถึงบางฉากค่อนข้างจะน่าตื่นเต้น สุดยอด และ สนุกอีกด้วย ผมไม่ค่อยจะรู้สึกเบื่อเท่าไรเลย รวมไปถึงตัวละครตลกประจำหนังก็ทำหน้าที่ได้ดี สร้างสีสันให้กับภาพยนตร์อยู่ตลอดเวลา ให้คุณไม่รู้สึกเบื่อ


รวมไปถึง Channing Tatum ที่ค่อนข้างเล่นได้โอเคทีเดียว ถึงแม้คนอื่นๆจะค่อนข้างไม่ได้อะไรมากมายก็ตาม ผมต้องขอยกเครดิตให้หนังว่าอย่างน้อยเขาก็พยายามที่จะพัฒนาบางสิ่ง อย่างเช่นตัวละครบางตัว ที่ดูมีมิติมากขึ้น(นิดนึง) เนื้อเรื่องทำให้ดูใหญ่มากขึ้น หรือ การดึงดาราอย่าง Jamie Foxx มาร่วมบู้ด้วย แต่นั้นก็ไม่ได้ช่วยมากเท่าไรนัก



White House Down ยังคงเป็นภาพยนตร์ Action ที่ยังคงเป็น Mindless Action หลายๆสิ่งหลายๆอย่างที่ยังคงไม่ค่อยจะดีนัก แต่อย่างน้อยตัวภาพยนตร์ก็บรรลุเป้าด้านความบรรเทิง ด้านความวินาศอยู่บ้าง ถ้าหากคุณว่างๆ แล้วอยากจะชมภาพยนตร์เรื่องนี้ โดยไม่ได้คิดอะไรและไม่หวังอะไรมากไปกว่าความสนุกแล้วล่ะก็ คุณน่าจะสนุกกับมันได้ไม่ยาก แต่ถ้ามากกว่านั้น อย่าจะดีกว่า เพราะสิ่งที่คุณจะได้คือความผิดหวังกลับไปเต็มกระเป๋าแน่นอน



จุดที่ภาพยนตร์ทำได้ดี :
+ ฉาก Action ที่สนุก ตื่นเต้น และ ฉากบางฉากที่ค่อนข้างจะทำได้ดี
+ Channing Tatum ที่เล่นได้ค่อนข้างดี
+ ตัวละครตลกในเรื่องสร้างสีสันได้ดี


จุดที่ไปไม่รอด :
- บทสุดแสนจะธรรมดาเหมือนภาพยนตร์ Action ทั่วไป ที่คุณเดาทุกสรรพสิ่งออก ไม่ว่าตัวภาพยนตร์จะพยายามหลบเท่าไรก็ตาม หักมุมเท่าไรก็ตาม และ ไม่มีอะไรที่เซอร์ไพรซ์คุณเลยแม้ซักอย่าง
- หลายๆสิ่งหลายๆอย่างที่ไม่สมเหตุสมผล
- ตัวละครเอกเปิด God Mode ส่วนตัวร้ายก็เป็นได้แค่ตัวร้ายดาษๆทั่วไปที่รอคอยวันที่พระเอกจะมากระทืบถึงแม้ตัวภาพยนตร์จะพยายามให้มันเป็นมากกว่านั้นแล้วก็ตาม



Final Score : [ C+ ] 

วันจันทร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2556

The Mortal Instruments : City of Bones ( 2013 ) Movie Review

Movie Review
เฮ้อ.....ภาพยนตร์ที่มีต้นแบบมาจากหนังสือขายดีอีกเรื่องที่ก็ยังคงห่วยแตก



Movie Name : The Mortal Instruments : City of Bones ( 2013 ) , Action / Adventure
Director : Harald Zwart ( The Karate Kid , The Pink Panther 2 )
Stars : Lilly Collins ( Priest , The Blind Side ) , Jamie Campbell Bower ( The Twilight Saga Breaking Dawn Part 1 & 2 ) , Jared Harris ( Sherlock Homes : Games of Shadows , Lincoln ) , Jonathan Rhys Meyers ( MI3 , Match Point ) 
Rating : PG -13







REVIEW


                                                                                ต้องขอบอกตามตรงเลยว่าผมค่อนข้างจะท้อกับภาพยนตร์แนว Action Fantasy Adventure พวกทำนองนี้ที่มีต้นแบบมาจากหนังสือนวนิยายเสียแล้ว เพราะ ช่วงหลังๆมา ถ้าไม่นับพวก The Hobbits , Harry Potter , The Lord of The Rings , The Hunger Games แล้วล่ะก็ มันมักจะห่วยแตกเสมอๆ ถึงแม้ต้องขอสารภาพเลยว่าผมค่อนข้างจะเป็นคนที่ชอบเรื่องราวอะไรแบบนี้เสียด้วย เช่น I Am Number Four เป็นภาพยนตร์อีกเรื่องที่ยอมรับเลยว่าค่อนข้างแย่ แต่ผมชอบมันมากๆและผมรู้ถ้าหากมันทำออกมาดีพอละก็ มันจะเป็นภาพยนตร์อีกเรื่องหนึ่งเลยที่น่ากลัวไม่แพ้พวก Harry Potter ถึงแม้ภาพยนตร์เหล่านี้ผมจะไม่เคยอ่านหนังสือเลยก็ตาม หรือ อย่างล่าสุด Beautiful Creatures ผมมองเห็น Potential หรือ ความเป็นไปได้ของมันที่ช่างสูงนัก รวมไปถึงนักแสดงหลายๆคนอย่างเช่น Jeremy Irons จาก Beautiful Creatures หรืออย่างในภาพยนตร์เรื่องนี้เองก็มีนักแสดงที่ผมชอบหลายคน อย่างเช่น Jared Harris หรือ Jonathan Rhys Meyers แต่ไม่รู้เป็นอะไรภาพยนตร์แนวนี้มันมักจะห่วยเสมอๆ ยิ่งผมได้ชมเรื่องนี้ผมยิ่งแทบจะสิ้นหวังไปเรียบร้อยแล้ว


The Mortal Instruments : City of Bones นั้นเป็นภาพยนตร์ที่มีต้นแบบมาจากหนังสือนวนิยายขายดีชุด The Mortal Instruments ที่มีประมาณ 6 เล่มแล้ว ณ ตอนนี้ ซึ่งขอสารภาพเลยว่าผมไม่เคยอ่านเลยซักเล่มจริงๆ และ หลายๆคนก็กังวลว่ามันจะกลายเป็น Twilight ไปอีกไหม ซึ่งผมก็ได้ยินมาว่าหลายๆคนที่เคยอ่านหนังสือมาก่อน บอกว่ามันไม่มีอะไรใกล้เคียงกับ Twilight เลย


The Mortal Instruments : City of Bones ต้องขอสารภาพเลยว่า ในช่วง 1 ชั่วโมงแรกของภาพยนตร์ ผมค่อนข้างจะสนใจมากๆ มันมีหลายๆสิ่งหลายๆอย่างที่ค่อนข้างน่าสนใจทีเดียว เช่น เรื่องราวต่างๆ ตัวละครต่างๆ มันช่างน่าสนใจเหลือเกิน นอกจากนั้นตัวภาพยนตร์ยังมีฉาก Action ตื่นเต้นที่ค่อนข้างจะสนุก และยอมรับเลยว่า ผมไม่ค่อยจะรู้สึกเบื่อเลยในภาพยนตร์เรื่องนี้ในช่วงแรก รวมไปถึง Jonathan Rhys Meyers ที่ผมว่าเขาเล่นตัวร้ายได้ซะใจดี  มีหลายๆช่วงในภาพยนตร์ที่ดูค่อนข้างดี และ น่าตื่นเต้นทีเดียวเลย



แต่หลังจาก 1 ชั่วโมงผ่านไป หนังก็เปลี่ยนไปหยั่งกะคนละเรื่อง แบบนึกว่ามานั่งดู Twilight อีกรอบ O M G ผมเคยบอกไปแล้วว่าผมไม่ได้เกลียดภาพยนตร์ Twilight อะไรมากมาย แต่ผมเบื่อมากกับภาพยนตร์หลายเรื่องที่ใช้ฉากเหล่านี้จนน่ารำคาญ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งมันมีแต่จะทำให้อะไรๆแย่ลง ใน 1 ชั่วโมงหลัง หนังทั้งเรื่องกลายเป็น Twilight แทบจะทุกสิ่ง ฉากรักที่ช่างแสนน่ารำคาญ และ ความรักของสองคนนี้ไม่น่าเชื่อถือด้วยซ้ำไป หลายๆครั้งที่ผมพูดออกมาว่า "จบเสียทีเถอะ พระเจ้า" เพราะ ผมรำคาญกับฉากรักในภาพยนตร์เรื่องนี้มาก ผมไม่เข้าใจเลยจริงๆว่าทำไมหนังแบบนี้มันจะต้องมีฉากอะไรแบบนี้ที่ทุกสิ่งทุกอย่างในฉากมันช่างน่าขันเหลือเกิน หรือ เพราะว่าทางค่ายบอกมาว่านี้มันหนังวัยรุ่นนะ เพราะ ฉะนั้นจะต้องมีฉากรักไร้ปัญญาหน่อย รึเปล่าถึงได้จะต้องมี นอกจากนั้นบทที่น่าสนใจก็จบกันหมดใน 1 ชั่วโมงหลัง เพราะ หนังเน้นไปที่ฉาก Action มากจนเกินไป จนทุกอย่างมันดูมั่วไปหมด และ พอไม่ Action ก็เข้า Romance ทันที จนหลายๆครั้งตัวหนังอธิบายหลายๆสิ่งหลายๆอย่างเร็วเกินไปจนพางงไปหมด  นอกจากนั้นบางสิ่งบางอย่างก็ไม่ได้อธิบายด้วยซ้ำ หลายๆสิ่งหลายๆอย่างที่ไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลยในภาพยนตร์แม้จะเป็นในโลกของ The Mortal Instruments ก็ตาม  ที่สำคัญคือ มันชื่อตอนว่า City of Bones แต่ทั้งเรื่องไปอยู่ใน City of Bones ราวๆ 3 นาที หรือ น้อยกว่า มันจะชื่อตอนว่า City of Bones ทำพระแสงอะไรมิทราบ มีบท/Dialog บางช่วงที่ทำให้รู้สึกว่าไม่พูดยังจะดีเสียกว่า คล้ายๆกับกรณีที่บอกว่า "เนี้ยเขาคนเนี้ยโคตรเทพเลยนะ โหดที่สุดในสามโลก" แต่พอเอาเข้าจริงกลับไม่ได้เฉียดที่พูดเลยแม้แต่น้อย นั้นก็คือ ภาพยนตร์พูดอวยเพื่อให้คุณเชื่อ แต่ตัวละครจริงๆไม่ได้เป็นแบบนั้น ซึ่งมันเลวร้ายมาก ไม่พูดยังจะดีซะกว่า แตกต่างกับตัวละครในบางเรื่อง อย่างใน Star Trek : Into Darkness ที่ตัวละครร้ายในเรื่องนั้นดูร้ายจริง ดูฉลาดจริง ที่ต่อให้หนังไม่ต้องพูดอะไรคนดูก็รู้เองได้ แต่มันไม่ได้เป็นแบบนั้นเลยในภาพยนตร์เรื่องนี้



สิ่งที่มันทำให้ผมรู้สึกโกรธนั้นมันมาจากสาเหตุหลายอย่าง อย่างหลักๆก็คล้ายๆกับเหตุผลที่ผมเกลียด R.I.P.D. เพราะว่า คุณมีนักแสดงที่ดี  ผมบอกได้เลยว่านักแสดงบางคนในเรื่องนี้ค่อนข้างดี อย่างเช่นใน R.I.P.D. คุณมี Jeff Bridges ที่ก็คงไม่ต้องพูดถึงว่าเขาเป็นนักแสดงที่สุดยอดแค่ไหน หรือ อย่าง Ryan Reynolds ที่ผมค่อนข้างจะชอบเขา ถึงแม้เขาจะโชคร้ายไปอยู่หนังเรื่องอะไรก็เฟลเพราะบทแทบจะทุกเรื่อง หรือ มันมี Potential ความเป็นไปได้ หรือ องค์ประกอบ Element ต่างๆในภาพยนตร์ที่ช่างน่าสนใจ น่าติดตาม จนคุณรู้ว่าเนี้ยมันเป็นภาพยนตร์ที่ดีได้แน่นอน"ถ้า"หากมันใช้ได้อย่างถูกต้อง Case เดียวกันกับใน The Mortal Instruments ภาพยนตร์เรื่องนี้นั้น มีบทที่ช่างน่าสนใจ น่าติดตาม element ส่วนประกอบต่างๆที่ช่างน่าสนใจ นักแสดงอย่าง Jared Harris หรือ Jonathan  Rhys Meyers และหลายๆคน แต่สุดท้ายมันกลับออกมาห่วย เหมือนคุณมีวัตถุดิบที่ดีแต่ เพราะคนทำมันห่วยทุกๆอย่างก็เหมือนจะสูญเปล่าไปในสายลมในทันใด ซึ่งมันทำให้ผมค่อนข้างจะโมโหอยู่บ้าง 



The Mortal Instruments : City of Bones ยังคงเป็นได้แค่ภาพยนตร์วัยรุ่นที่ดัดแปลงมาจากหนังสือนวนิยายขายดี ที่ยังคงห่วย ทั้งๆที่มีบทและองค์ประกอบต่างๆที่น่าสนใจ น่าติดตาม นักแสดงที่ดี และ 1 ชั่วโมงแรกที่มีความหวังอยู่บ้าง แต่ 1 ชั่วโมงหลัง มันคือหายนะชัดๆ ด้วยฉากรักที่ยัดเยียดน่ารำคาญเป็นที่สุด และ เป็นฉากรักที่ช่างปยอ.จริงๆ ทุกๆสิ่งทุกๆอย่างมันดูมั่วเละเทะไปหมด ได้โปรดเลิกเสียที เลิกทำตัวเป็น Twilight ได้แล้ว ณ ตอนนี้ ภาพยนตร์นั้นน่าจะมีภาคต่อไปค่อนข้างจะแน่นอนแล้ว ก็คือ City of Ashes แต่ผมค่อนข้างเป็นห่วงว่าถ้ายังเป็นผู้กำกับคนเดิมอยู่สุดท้าย มันก็อาจจะเป็นหายนะที่ไม่แตกต่างจากภาคแรกเลย


จุดที่ภาพยนตร์ทำได้ดี :
+ 1 ชั่วโมงแรกที่ดำเนินเรื่องได้อย่างน่าสนใจ น่าติดตาม
+ องค์ประกอบต่างๆในภาพยนตร์ที่ช่างน่าสนใจ
+ มี Potential หรือ โอกาสที่จะเป็นภาพยนตร์ที่ดีได้
+ มีนักแสดงที่ดีๆหลายคน
+ มีบางช่วงในภาพยนตร์ที่ดี


จุดที่ไปไม่รอด :
- 1 ชั่วโมงหลังที่แทบจะกลายเป็น Twilight ไปทั้งเรื่อง
- ฉากรักที่ช่างแสนน่ารำคาญ ปยอ.
- การอธิบายสิ่งต่างๆในช่วงหลังที่เละเทะไปหมด 
- หลายๆสิ่งหลายๆอย่างที่ช่างงี่เง่า และ ไม่สมเหตุสมผล แม้ในโลกของ The Mortal Instruments
- ช่างน่าเสียดายโอกาสของสิ่งต่างๆในภาพยนตร์ที่น่าจะเป็นภาพยนตร์ที่ดีได้ (ซึ่งหวังว่าภาคหน้าจะดีขึ้น ??)
- ฉาก Action ช่วงหลังที่มั่วเละเทะไปหมด 
- ตกลงจะชื่อตอน City of Bones เพื่ออะไร
- ตัวภาพยนตร์พูดอวยตัวละคร แต่ตัวละครนั้นไม่ได้เป็นแบบที่ภาพยนตร์พูดจริงๆ



Final Score : [ C ] 

The Conjuring ( 2013 ) Movie Review

MOVIE REVIEW
ภาพยนตร์แนวผีที่เป็นทุกสิ่งทุกอย่างที่คนรักภาพยนตร์แนวสยองขวัญมองหาอย่างแท้จริง


Movie Name : The Conjuring ( 2013 ) , Horror / Thriller , Warner Bros. 
Director : James Wan ( Saw , Insidious )
Stars : Patrick Wilson ( Watchmen , Insidious ) , Vera Farmiga ( Up In The Air , Source Code ) , Lili Taylor ( Ransom )
Rating : R





REVIEW


                                                                              ถ้าพูดถึงภาพยนตร์แนวสยองขวัญ สั่นประสาท หรือ เรียกง่ายๆว่าหนังผีนั้น ต้องขอบอกเลยว่าหนังผี 99% สมัยนี้นั้น ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์จากประเทศใดๆก็ตาม ส่วนใหญ่มักจะเป็นภาพยนตร์ที่เน้นแต่ฉากตกใจ และ หลายๆครั้งที่แทบจะไม่ทำให้เรากลัวอย่างแท้จริงเลย เรามักจะแค่ตกใจเฉยๆ นอกจากนั้นหลายๆเรื่องก็ copy มุขกันมาจนคนดูเดาออกอย่างง่ายดายไปแล้ว เช่น มุขประตูปิดเสียงดังบ้าง ผีกรื้ดบ้าง โดยเฉพาะการใช้ Sound ถล่มเข้าหาคนดูอย่างรวดเร็วดังๆเพื่อทำให้คุณตกใจ ซึ่งมันเป็นอะไรที่ห่วยแตกมาก เพราะ มันทำให้คุณแค่ตกใจเท่านั้น และ สำหรับบางคนมันเป็นสิ่งที่อาจจะเรียกได้ว่า "Cheap Shot" อย่างน้อยสำหรับตัวผมแล้วนั้น ภาพยนตร์สยองขวัญควรจะทำให้คุณ "กลัว" ไม่ใช่ ตกใจด้วยมุขอะไรที่ไร้สาระ ดูถูกสติปัญญาคนดู ไม่นับถึงภาพยนตร์ผีหลายๆเรื่องที่ตัวละครมักจะทำอะไรสิ้นคิดเพื่อที่จะหาทางให้หนังมันเดินต่อไปได้อย่างน่าอนาจ หรือ ภาพยนตร์บางเรื่องที่หลอกคนดูได้อย่างหน้าไม่อาย รวมไปถึงบางเรื่องที่ทั้งเรื่องเราไม่ได้เห็นผีด้วยซ้ำไป หรือ บางเรื่องไม่มีผีเลยทั้งเรื่องยังมี !! ซึ่งเป็นอีกหลายเหตุผลที่ทำไมภาพยนตร์แนวสยองขวัญ สั่นประสาท หรือ หนังผี ส่วนใหญ่มักจะห่วยแตก และ แทบจะนับเรื่องได้เลยสำหรับภาพยนตร์แนวนี้ ที่ดีจริงๆ ซึ่งขอบอกเลยว่า The Conjuring เป็นหนึ่งในนั้นแน่นอน



สำหรับผู้กำกับของ The Conjuring นั้นเขาคือ James Wan แฟนๆภาพยนตร์แนวสยองขวัญ ไม่มีใครเลยที่จะไม่รู้จักเขา เพราะ เขาคือผู้กำกับภาพยนตร์สุดดังอย่าง Saw หรือ ภาพยนตร์สยองขวัญที่ทำเอาหลายๆคนกลัวแทบฉี่ราดไปแล้วอย่าง Insidious จึงพูดได้เลยว่า เขาคือเจ้าพ่อแห่งหนังสยองขวัญอีกคนแบบไม่ต้องสงสัยเลย 



The Conjuring นั้นเป็นภาพยนตร์สยองขวัญ สั่นประสาท ที่ช่างแสนฉลาด ต้องขอเริ่มจากสิ่งที่สำคัญที่สุดในภาพยนตร์สยองขวัญ นั้นก็คือฉากสยองขวัญต่างๆในภาพยนตร์ The Conjuring เป็นภาพยนตร์สยองขวัญที่ไม่เคยเลยที่จะดูถูกสติปัญญาคนดูด้วยมุขตกใจปัญญานิ่ม หรือ การถล่มเสียงอย่างดังๆเพื่อทำให้คุณตกใจแบบไร้สมอง หรือแม้กระทั่งตัวละครที่ทำอะไรสิ้นคิดเพื่อที่จะทำให้แค่หนังมันเดินต่อไปได้ แต่ฉากสยองขวัญในเรื่อง The Conjuring นั้น มันทำให้คุณ "กลัว" อย่างแท้จริง ไม่ใช่ตกใจ แต่เป็น "กลัว" และ สิ่งที่ผมชอบมากที่สุดเลยก็คือ ความฉลาดในฉากต่างๆ ที่ต้องยกเครดิตให้ผู้กำกับ James Wan จริงๆ เขารู้ว่าเขาจะต้องทำอย่างไรให้คนกลัว มีหลายๆฉากที่มุมกล้องนั้นใช้อย่างแสนฉลาด จนทำให้คุณกลัวไปทุกสิ่งทุกอย่างๆในเฟรมนั้น หลายๆครั้งที่คุณรู้สึกอยากที่จะหลบหน้าหนีเพราะความน่ากลัวของมัน  การวาง Set หรือ วางมุมกล้องที่แสนฉลาด เช่น เตียงตรงนี้ จะเห็นมุมกล้องอย่างนี้ และมันทำให้คุณกลัวมากๆไม่ว่าจะในฉากใดๆก็ตาม นอกจากนั้นยังมีหลายๆครั้งที่ตัวภาพยนตร์เล่นกับคนดู โดยเฉพาะคนที่ดูภาพยนตร์แนวนี้มาเยอะ คุณมักจะเดาเสมอๆในทุกๆฉากว่าผีจะโผล่มาตรงไหน ผู้กำกับ James Wan นั้นเล่นกับจุดนี้ได้เป็นอย่างดีในภาพยนตร์ทั้งเรื่อง และ หลายๆมุขในภาพยนตร์ที่คุณอาจจะไม่เคยเห็นเลยมาก่อนเลยก็เป็นได้ในภาพยนตร์แนวนี้เรื่องอื่นๆเพราะมีบางสิ่งบางอย่างในภาพยนตร์ผีส่วนใหญ่กลัวที่จะใช้มาก แต่ใน The Conjuring เขาไม่กลัวเลยที่จะใช้มัน



บทใน The Conjuring ก็ช่างน่าสนใจ น่าติดตาม รวมไปถึงตัวละครเหล่านี้ที่มีคาแรคเตอร์ที่น่าสนใจ ที่สำคัญคือ คุณเชื่อว่าตัวละครเหล่านี้นั้นเป็นคนจริงๆ และ พวกเขาไม่เคยเลยที่จะทำอะไรไร้สติปัญญาแบบในภาพยนตร์แนวนี้ในหลายๆเรื่องที่ตัวละครมักจะทำอะไรที่ช่างน่าสงสัยว่าทำไปทำไม อย่างเช่น เดินเข้าหาสถานการณ์ที่เลวร้าย เป็นต้น ซึ่งเรื่องนี้ไม่เลย กลับกัน ตัวละครใน The Conjuring นั้นกลับดูฉลาดและสมจริงเสียอีก 


การแสดงของนักแสดงทุกๆคนในภาพยนตร์เรื่องนี้ก็แสดงได้อย่างดีจริงๆ ในทุกๆฉาก อย่างเช่น Patrick Wilson Vera Farmiga โดยเฉพาะ Lili Taylor ที่แสดงได้อย่างยอดเยี่ยมจริงๆในทุกๆฉาก 


นอกจากนั้นที่ไม่พูดถึงเลยไม่ได้ นั้นก็คือ การกำกับของผู้กำกับ James Wan ที่ช่างสุดยอดจริงๆ เขารู้จริงๆว่าจะทำยังไงถึงจะทำให้มันน่ากลัว จะทำให้ยังไงให้คนดูเอาใจช่วยตัวละครเหล่านี้ ลุ้นระทึกไปกับตัวละครเหล่านี้ และ ผมหมายถึงน่ากลัวจริงๆ ไม่ใช่ตกใจ รวมไปถึงการที่ไม่ดูถูกสติปัญญาคนดู แบบหนังผีส่วนใหญ่ในตอนนี้ 



The Conjuring เป็นภาพยนตร์สยองขวัญ สั่นประสาท ที่ควรจะเป็นแบบอย่างให้กับภาพยนตร์แนวนี้ยุคใหม่ ที่ควรจะเลิกใช้มุขตกใจแบบไร้สติปัญญา บทที่ซ้ำซากจำเจใช้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าสิบห้าล้านรอบ ตัวละครที่แสนจะไร้สติปัญญาที่ทำให้คุณตั้งคำถามว่าทำไมถึงทำแบบนั้น ที่สำคัญเลยก็คือ หนังผี มันควรจะทำให้คุณ "กลัว" อย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่ตกใจแล้วจบๆกันไป ซึ่งใน The Conjuring นั้นทุกๆอย่างช่างทำได้ดีเหลือเกิน เป็นภาพยนตร์ที่ช่างแสนน่ากลัวในทุกๆฉาก มุมกล้องที่แสนฉลาด มุขสยองต่างๆในภาพยนตร์ที่ช่างแสนฉลาดไม่ดูถูกสติปัญญาคนดู  ตัวละครที่ช่างน่าสนใจน่าติดตาม และมีส่วนในภาพยนตร์ทุกๆตัวละคร 


The Best Quote from " The Conjuring "
"Want to play a game of hide and clap?" - ??


จุดที่ภาพยนตร์ทำได้ดี :
+  มุขสยองต่างๆที่ช่างน่ากลัว ฉลาด
+  เป็นภาพยนตร์ที่ทำให้รู้สึก "น่ากลัว" อย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่ตกใจแล้วก็จบๆกันไปแบบภาพยนตร์แนวเดียวกันส่วนใหญ่
+ บทและตัวละครที่ช่างน่าสนใจ น่าติดตาม ฉลาด
+ การกำกับที่ช่างสุดยอดของ James Wan 
+ การแสดงที่ดีของนักแสดงทุกๆคนในเรื่อง
+ ตัวภาพยนตร์ไม่ดูถูกสติปัญญาคนดูด้วยการ ถล่มคุณด้วยเสียงดังๆเพื่อให้คุณตกใจ หรือ ตัวละครที่ช่างไร้สติปัญญาทำอะไรที่ทำให้คุณตั้งคำถาม เพียงเพื่อที่จะทำให้ภาพยนตร์ดำเนินต่อไปได้


จุดที่ดูเหมือนจะไปไม่รอด :
- ?


Final Score : [ A + ] & [ MUST SEE BADGE ]

วันเสาร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2556

Percy Jackson : Sea of Monsters ( 2013 ) Movie Review

MOVIE REVIEW
การกลับมาของ Percy !!! ที่....ไม่ค่อยจะยิ่งใหญ่เท่าไร


Movie Name : Percy Jackson : Sea of Monsters ( 2013 ) , Fantasy / Adventure
Director : Thor Freudenthal 
Stars : Logan Lerman ( Percy Jackson : Lightning Thief ) , Alexandra Daddario (  Percy Jackson : Lightning Thief  ) , Douglas Smith (  Percy Jackson : Lightning Thief  ) , Leven Rambin ( The Hungers Games ) , Brandon T.Jackson (  Percy Jackson : Lightning Thief ) , Jake Abel (  Percy Jackson : Lightning Thief  , I Am Number Four ) , Anthony Head ( Merlin TV Series ) , Stanley Tucci ( Jack The Giant Slayer , The Hunger Games , Captain America ) , Nathan Fillion ( Castle TV Series ) 






REVIEW


                                                                               Percy Jackson : Sea of Monsters เป็นภาพยนตร์ภาคต่อที่มีต้นฉบับมาจากหนังสือนวนิยาย ชุด  Percy Jackson โดยในภาคแรกนั้นก็คือ Percy Jackson : Lightning Thief นั้นเอง ซึ่งจากที่ผมเคยได้ยินมาหลายครั้ง หลายๆคนนั้นค่อนข้างจะชอบ หนังสือนวนิยายชุดนี้อยู่พอสมควรเลยทีเดียว และผมก็ค่อนข้างเข้าใจเมื่อเห็นภาพยนตร์ภาคแรกเข้าฉาย ถึงแม้ตัวผมจะไม่เคยอ่านหนังสือเลยก็ตาม ผมรู้สึกว่า Percy Jackson สามารถที่จะเป็นภาพยนตร์ที่ยิ่งใหญ่อีกเรื่องหนึ่งได้แบบ Harry Potter ที่ประสบความสำเร็จไปเรียบร้อยแล้วแบบไม่ต้องสงสัยใดๆ แต่เนื่องจาก Percy Jackson : Lightning Thief ในภาคแรกนั้น ค่อนข้างจะแย่... และ ไม่ค่อยน่าจดจำเท่าใดนัก ณ ตอนนี้ แฟนๆหลายๆคนจึงหวังว่าในภาคนี้อะไรหลายๆอย่างน่าจะดีขึ้น


ผมต้องขอสารภาพไว้ ณ ที่นี้เลยว่า ผมเป็นคนที่โคตรบ้าพวกตำนานกรีกอย่างมาก เช่นพวก Zeus Hades Poseidon Athena หรือแม้กระทั่งสัตว์ประหลาดในตำนานอย่างเช่น Cyclops Wywern Dragon และ สัตว์ประหลาดในตำนานตัวโปรดของผม "Hydra" ผมจึงอาจจะเรียกได้ว่ามีความรู้มากกว่าคนทั่วไปอยู่นิดหน่อย นิดหน่อยจริงๆ เพราะเรื่องราวของตำนานกรีกนั้นกว้างมหาศาลเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ประหลาดต่างๆ หรือ ประวัติของเทพองค์ต่างๆที่อ่านเท่าไรก็ไม่หมดเสียที ยังไม่นับตำนานของนอร์ธ เช่นพวก Thor Odin Loki ที่ยาวเยียดล้านแปดพันหน้าไม่แพ้กับตำนานกรีกเลยแม้แต่น้อย (เป็นอีกสาเหตุที่ผมค่อนข้างจะบ้า Series Supernatural หรือภาพยนตร์อย่าง Clash of Titans , Wrath of Titans มากกว่าคนทั่วไป ) ผมจึงค่อนข้างมีความหวังอยู่เล็กน้อยว่าภาคนี้ อะไรๆมันอาจจะดีขึ้น ?


Percy Jackson : Sea of Monsters นั้นยังคงได้นักแสดงหลักหลายๆคนชุดเดิมมาแสดงอย่างเช่น Logan Lerman หรือ Alexandra Daddario ยกเว้นเพียงคนเดียวนั้นก็คือ บทของ Chiron ซึ่งในภาคที่แล้วคนที่รับบทนี้ก็คือ Pierce Brosnan แต่ในภาคนี้นั้นได้เปลี่ยนคนเล่นเป็น Anthony Head แทนซึ่งในจุดนี้หลายๆคนอาจจะเสียดาย แต่ผมกลับมองว่าเป็นจุดที่คิดได้ดีซะอีก เพราะ ส่วนตัวผมว่า Pierce Brosnan ไม่ค่อยจะเหมาะสมกับบทนี้ซักเท่าใดนัก ต่างกับ Anthony Head ที่เหมาะสมอยู่ทีเดียวเลย และตัวภาพยนตร์ยังได้นักแสดงใหม่อีกหลายคนเข้ามาเสริมทัพ เช่น Stanley Tucci ที่ตอนนี้ป๋าแกไปอยู่ภาพยนตร์ที่มีต้นฉบับมาจากหนังสือชื่อดังหลายเรื่องไปจนแทบจะทุกเรื่องแล้ว อย่างเช่น The Hunger Games หรือ แม้กระทั่งภาคต่อ Caching Fire ที่จะเข้าฉายในปลายปีนี้ หรือ บางคนอาจจะจำเขาได้จากบทตัวร้ายใน Jack The Giant Slayer 



Percy Jackson : Sea of Monsters เป็นภาพยนตร์ที่คงจะเขียนแยกให้เป็น ข้อดี/ข้อเสียยาก เพราะหลายๆอย่างในภาพยนตร์นั้น ไม่ได้แย่เลย แต่ก็ไม่ได้ดีเช่นกัน ค่อนข้างจะไปทางธรรมดาๆเสียมากกว่า อย่างเช่น บทที่ไม่ซับซ้อนใดๆเลย คุณแทบไม่ต้องคิดใดๆคุณก็เข้าใจมันได้อย่างง่ายดาย (ซึ่งก็ไม่แปลกสำหรับภาพยนตร์แนวนี้) CG ที่อยู่ในระดับโอเค ก็พอรับได้ ไม่ได้สวยงามอลังการแบบ The Hobbits แต่ก็ไม่ได้แย่แบบ R.I.P.D. หรือ แม้กระทั่งการแสดงที่นักแสดงแทบจะทุกคนเหมือนจะเข้าใจดีก็เลยไม่ได้เล่นแบบซีเรียสอะไร (และก็ไม่ควรจะซีเรียสด้วย เพราะ เหตุผลที่หลายๆคนเสียเงินเข้ามาชมภาพยนตร์เรื่องนี้ก็เพราะ อยากสนุก) 


มีบางจุดที่ยังพอจะนับเป็นข้อดีในภาพยนตร์อยู่ได้บ้าง อย่างเช่น Logan Lerman เขาเล่นได้เหมาะสม ค่อนข้างจะดีกว่าและโดดเด่นกว่าหลายๆคนอยู่หลายๆครั้งเลยทีเดียว ในหลายๆ Scene ที่จะต้องใช้อารมณ์เขาก็เล่นได้อย่างดี  Stanley Tucci ที่ยังคงเล่นได้ตลก และ เป็นคนที่ไม่ว่าอยู่ใน Scene ใดก็ทำให้สนุกได้อยู่เสมอๆ

หรือ ตัวภาพยนตร์ที่ผมต้องยอมรับจริงๆ ว่าค่อนข้างสนุกทีเดียวไม่รู้ว่าเพราะ เป็นตำนานกรีกด้วยรึเปล่าก็เลยทำให้ผมสนุก ก็ไม่อาจทราบได้


จุดที่ผมไม่ชอบในภาพยนตร์เรื่องนี้นั้นก็คือ ความง่ายของภาพยนตร์ ที่ผมเข้าใจดีว่าภาพยนตร์แบบนี้มันควรจะเป็นแบบนี้มันควรจะง่าย ไม่ควรจะคิดอะไรมาก หรือ เข้าใจยาก แต่ที่ผมว่า คือมันดูง่ายไปหมดทุกอย่าง การผจญภัย บททดสอบต่างๆที่ตัวละครได้พบเจอในเรื่อง มันช่างดูไร้พลัง ดูง่ายดายเหลือเกิน แตกต่างกับ Harry Potter โดยเฉพาะในภาคท้ายๆ ที่หลายๆครั้งที่มันทำให้คุณสิ้นหวังไปพร้อมๆกับตัวละคร และ รู้สึกไปกับตัวละครอย่างง่ายดาย เพราะ หลายๆสิ่งหลายๆอย่างในภาพยนตร์ แต่ใน Percy Jackson : Sea of Monsters หลายๆอย่างมันดูง่ายดายเหลือเกิน โดยเฉพาะฉาก Climax ที่ทำเอาผมอ้าปากค้างด้วยความอนาจของมัน 



Percy Jackson : Sea of Monsters นั้นก็ยังคงรักษาระดับหรืออาจจะขึ้นมานิดหน่อยจากในภาคแรก แต่นั้นก็ไม่ได้ทำให้มันเป็นภาพยนตร์ที่จะใกล้เคียง  Harry Potter ได้เลยแม้แต่น้อย หลายๆสิ่งหลายๆอย่างยังคงทำได้แค่ ธรรมดา ไม่ดีไม่แย่ ถึงแม้ตัวภาพยนตร์จะมีจุดที่ทำได้ค่อนข้างดีอยู่บ้างเช่น Logan Lerman ที่แสดงได้ค่อนข้างดี หรือ ตัวภาพยนตร์ที่ยอมรับเลยว่าค่อนข้างสนุก แต่นั้นไม่ได้หมายความว่าภาพยนตร์จะ"ดี" เลยแม้แต่น้อย โดยเฉพาะ ข้อเสียที่ตัวภาพยนตร์นั้นทุกอย่างมันกลับดูแสนง่ายดายหยั่งกับในการ์ตูนซึ่งมันเป็นสิ่งที่ไม่ควรเป็นอย่างยิ่งโดยเฉพาะในภาพยนตร์ และตัวภาพยนตร์ที่ยังคงไม่ได้สร้างความน่าจดจำเท่าใดนัก หรือ ก็คือตัวภาพยนตร์พอจบก็จบเลยคุณจะไม่นึกถึงมันอีก แต่ถึงกระนั้นถ้าหากคุณเป็นคนที่ชอบหนังสือนวนิยายชุดนี้ หรือ คุณอยากจะเข้าไปชมภาพยนตร์เรื่องนี้เพื่อความสนุก คุณอาจจะชอบมัน แต่ถ้าคุณหวังอะไรที่มันมากกว่านั้นล่ะก็ คุณจะได้ความผิดหวังกลับบ้านแน่นอน 


จุดที่ตัวภาพยนตร์ทำได้ดี :
+ Logan Lerman แสดงได้อย่างดีในหลายๆฉาก
+ เป็นภาพยนตร์ที่รู้สึกสนุกอยู่ในหลายๆช่วง
+ Stanley Tucci ไม่ว่าเขาอยู่ในฉากใด ก็สร้างความตลก และ สนุกได้อยู่ตลอดเวลา


จุดที่ดูเหมือนจะไปไม่รอด :
- ตัวภาพยนตร์ทุกอย่างมันดูง่ายเหมือนในการ์ตูนไปหมด การผจญภัย ความท้าท้ายต่างๆมันแทบจะไม่รู้สึกใดๆเลย
- Climax ที่สุดแสนอนาจ 
- ยังคงไม่สร้างความน่าจดจำใดๆ 




Final Score : [ C ] 

วันศุกร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2556

Ironclad ( 2011 ) Movie Review

Movie Review
สาเหตุเดียวที่ผมดูภาพยนตร์เรื่องนี้มีเหตุผลเดียว คือ " Brian Cox "


Movie Name : Ironclad ( 2011 ) , Drama / History / Action
Director : Jonathan English ( Ironclad : Battle for Blood )
Stars : James Purefoy ( John Carter , Solomon Kane ) , Brian Cox ( RED , RED 2 , Troy , X-Men 2 ) , Kate Mara ( 127 Hours ) , Jason Flemyng ( Clash of the Titans , X-Men : First Class ) , Paul Giamatti ( Sideways ) 
Rating : R ( Violence and Gore )







REVIEW
                                                                                 
                                                                                     Ironclad ผมขอสารภาพเลยว่า เหตุผลเดียวจริงๆเลยที่ผมดูภาพยนตร์เรื่องนี้ก็เพราะนักแสดงคนๆเดียวเลย คนๆนั้นก็คือ Brian Cox นั้นเองจริงๆผมเคยเห็นตัวอย่างภาพยนตร์เรื่องนี้ในโรงภาพยนตร์อยู่บ้างเหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้ไปดูในโรงภาพยนตร์ จนผ่านมา 2 ปี DVD ออกแล้วดัน Reprice พอดีก็เลยเห็นว่าน่าลองเอามาเก็บ เอามาดู ใน IMDB กับ Rottentomatoes นั้นดูเหมือนคนส่วนใหญ่จะออกแนวเฉยๆหรือไม่ค่อยชอบตัวหนังซักเท่าไร จากที่ IMDB ได้เพียง 6.1 คะแนน และ Metacritic 40 กว่าๆ หรือ Rotten tomatoes ที่ได้เพียง 40กว่า % (จริงๆก็ถือว่าไม่ได้น่าเกลียดอะไรมาก) แต่หลังจากผมได้ชม Ironclad จบผมกลับคิดว่าตัวหนังมันดีกว่าที่คิดพอสมควรเลยทีเดียว



อย่างแรกเลยก็คือบทใน Ironclad ที่เป็นเรื่องราวสมัยสงครามของประเทศอังกฤษ ซึ่งเรื่องราวของภาพยนตร์ทำให้ผมรู้สึกน่าสนใจอย่างมาก รวมไปถึงการเล่าเรื่องที่ทำให้น่าสนใจ น่าติดตามอยู่ตลอดเวลา และ หลายๆครั้งที่ตัวหนังทำให้คุณลุ้นอยู่ตลอดเวลา ทั้งๆที่มันไม่ใช่หนังที่่มีฉากรบใหญ่ๆแบบพวก Troy เลยแม้แต่น้อย แต่ด้วยความที่บทค่อนข้างฉลาด และ มีการใช้แทคติกในการรบต่างๆ มันยิ่งทำให้ผมรู้สึกน่าสนใจมากขึ้น และ น่าติดตามมากขึ้นว่าต่อไปตัวหนังจะมีอะไรออกมาอีก


ต่อมาเลยก็คือ นักแสดงในเรื่อง ที่นอกจาก Brian Cox ที่คงไม่ต้องพูดแล้วมั้งหลายๆท่านน่าจะรู้ดูว่าผมชอบป๋าแกมาก ในเรื่องนี้นักแสดงคนอื่นๆอย่างเช่น James Purefoy , Jason Flemyng (เป็นเรื่องแรกที่ผมดูแกแล้วแกไม่ได้แต่งหน้าให้กลายเป็นอย่างอื่นอย่างเช่น Azazel ใน X-Men : First Class ) และ Paul Giamatti โดยเฉพาะ Brian Cox กับ Paul Giamatti ผมว่าทั้งสองคนนี้แสดงได้ดีเลยทีเดียว อย่างเช่น Paul Giamatti ที่ตอนช่วงแรกๆผมค่อนข้างจะสงสัยว่าเขาจะรับบทได้ดีขนาดไหนกับการเป็น กษัตริย์ชั่วร้าย จนในช่วงแรกที่ผมค่อนข้างจะหมดข้อสงสัยเลยทีเดียว เขาเล่นได้ดีทีเดียวเลย 


ในเรื่องนี้นั้นมีจุดที่ผมไม่ชอบเลยชัดๆอยู่จุดหนึ่ง นั้นก็คือ การใช้เทคนิคกล้องแบบ Shaking Cam คือ กล้องสั่นทุกครั้งในเวลาเข้าฉาก Action ซึ่งเป็นสิ่งที่ภาพยนตร์ Action หลายๆเรื่องทำซึ่งสำหรับผมมันน่ารำคาญมากๆ มันมีตั้งหลายวิธีที่ทำให้ฉากดูตื่นเต้น ดูสนุก ดูเครียดได้ โดยไม่จำเป็นจะต้องใช้ กล้องแบบ Shaking Cam แต่ตัวหนังกลับใช้วิธีนี้ทุกครั้งที่เข้าฉาก Action มันสร้างความน่ารำคาญพอตัวเลยทีเดียว


รวมไปถึงในหลายๆจุดที่ผมอาจจะว่าเสียดายก็ว่าได้ เพราะ มีหลายๆจุดในภาพยนตร์ที่มันน่าจะพัฒนาไปได้มากกว่านี้ เช่น ตัวละครต่างๆ ความสัมพันธ์ของตัวละคร บท  แต่ก็ถือว่าทำได้ดีแล้วสำหรับภาพยนตร์ที่ไม่ได้ใหญ่อะไร


Ironclad นั้นเป็นภาพยนตร์ที่ดีกว่าที่คิดเอาไว้เยอะ ด้วยบทที่น่าสนใจ น่าติดตาม ค่อนข้างจะฉลาด แทคติกในการรบต่างๆที่น่าสนใจ การเล่าเรื่องที่ทำให้รู้สึกน่าสนใจ และสนุกอยู่ตลอดเวลา นักแสดงหลายๆคนที่แสดงได้ค่อนข้างดี น่าเสียดายที่ตัวภาพยนตร์ใช้เทคนิค Shaking Cam หรือ กล้องสั่นทุกครั้งในฉาก Action ซึ่งมันน่ารำคาญมาก รวมไปถึงหลายๆสิ่งหลายๆอย่างที่น่าจะพัฒนาไปได้มากกว่านี้ หรือ ความจริงที่ตัวภาพยนตร์เอาเข้าจริง ทั้งเรื่องก็อยู่แค่โลเคชั่นเดียวแทบจะทั้งเรื่อง แต่ Ironclad ก็เป็นภาพยนตร์อีกเรื่องหนึ่งที่ไม่เลวเลยที่คุณจะลองมาหาดูซักครั้งถ้าหากคุณมีเวลาว่าง

The Best Quote from " Ironclad "

"Only the weak believe that what they do in battle is who they are as men." - Marshall




+ จุดที่ตัวภาพยนตร์ทำได้ดี :
+ บทที่น่าสนใจน่าติดตาม
+ มีการใช้แทคติกในการรบที่น่าสนใจ
+ การเล่าเรื่องที่ทำให้รู้สึกสนุก ตื่นเต้น และน่าสนใจอยู่ตลอดเวลา
+ นักแสดงหลายๆคนที่เล่นได้ดี
+ Brian Cox 



- จุดที่ดูเหมือนจะไปไม่รอด :
- การใช้เทคนิค Shaking Cam หรือ กล้องสั่นในฉาก Action ซึ่งมันสร้างความน่ารำคาญอย่างมาก
- หลายๆสิ่งหลายๆอย่างที่น่าจะพัฒนาได้มากกว่านี้
- แทบจะทั้งเรื่องนั้นตัวภาพยนตร์มีอยู่เพียงโลเคชั่นเดียว ถ้านับจริงๆแล้ว


Final Score : [ B+ ] 
                                                            

วันศุกร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2556

R.I.P.D. ( 2013 ) Movie Review

MOVIE REVIEW
หลายๆครั้งที่คุณคิดว่า คงไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่านี้ จนวันนึงคุณได้รู้ว่า มันยังมีเลวร้ายกว่าเลวร้ายอีก



Movie Name : R.I.P.D. ( 2013 ) , Action / Comedy / Crime
Director : Robert Schwentke ( RED , Fightplan )
Stars : Jeff Bridges ( True Grit , Iron Man , Tron : Legacy ) , Ryan Reynolds ( Green Lantern , Safe House , Buried ) , Kevin Bacon (  X-Men : First Class ) 
Rating :  PG -13





REVIEW


                                                                                R.I.P.D เป็นภาพยนตร์ที่เรียกได้ว่ามีกระแสเลวร้ายมาตั้งแต่ต้น ตั้งแต่ต่างประเทศแล้ว ด้วยคะแนนและคำวิจารณ์ที่ค่อนข้างต่ำ เช่น Metacritic 25 /100 หรือ Rotten Tomatoes 12% / 100 % ซึ่งผมก็ทำใจอยู่แล้วล่ะว่ามันคงจะต้องไม่ค่อยดีแน่ แต่ผมก็ดันคิดติดตลกกับตัวเองว่า ปีนี้ผมได้ดู After Earth กับ A Good Day To Die Hard แล้ว มันจะมีเรื่องไหนที่ห่วยแตกกว่านี้อีกจริงไหม ? มันคงไม่แย่ขนาดนั้นหรอกมั้ง ? ......นั้นคือความคิดที่ผิดพลาดอย่างแรงของผมจริงๆ โอ้มายก๊อด....


ต้องขอบอกเลยว่าสิ่งที่ยากที่สุดสำหรับผมในภาพยนตร์เรื่องนี้คือ การหาข้อดี ท่ามกลางหายนะโคตรแห่งหายนะแห่งนี้  มันยากเหลือเกินที่จะหาข้อดีเจอ ซึ่งนั้นก็คงจะมีอยู่บ้าง นั้นก็คือ Casting ที่ค่อนข้างมีฝีมือหลายคน อย่าง Jeff Bridges ที่เขาได้รางวัลออสก้ามาจากภาพยนตร์เรื่อง True Grit และ หลายๆคนคงได้เห็นเขาจากภาพยนตร์หลายๆเรื่องเช่น Iron Man , Tron : Legacy หรือ อย่าง Ryan Reynolds ที่ถึงแม้ Green Lantern จะไม่ประสบความสำเร็จเท่าไรเลยก็ตามผมว่าไม่น่าจะใช่ควาผิดของเขาสักเท่าไร ผมกลับชอบเขานะ มีภาพยนตร์หลายๆเรื่องที่ผมว่าเขาทำได้ดีเลยทีเดียว อย่าง Safe House ในปีที่แล้วก็สนุกใช้ได้เลย หรือ Buried ภาพยนตร์อีกเรื่องนึงที่ผมโคตรชอบทั้งๆที่ทั้งเรื่องย้ำทั้งเรื่องใน Buried ไม่มีคนอื่นๆเลยนอกจาก Ryan Reynolds มีแต่เสียงของคนอื่นจากโทรศัพท์ ตัว Ryan เอง กับโลงแคบๆอันหนึ่ง ที่ตัวภาพยนตร์ทำได้สนุกและฉลาดมากๆ ลุ้นตลอดทั้งเรื่อง นอกจากนั้นยังมี Kevin Bacon ที่บางคนอาจจะจำเขาได้จากตัวร้ายใน X-Men : First Class ซึ่งผมว่าเขาเป็นอีกคนหนึ่งที่เล่นตัวร้ายได้ค่อนข้างดี .... นั้นแหละ จบแล้ว นี้แหละ มีแค่นี้แหละ ผมพูดจริงๆ ส่วนที่เหลือ... คุณคงรู้ว่าส่วนต่อไปจะเป็นอย่างไร



R.I.P.D. เป็นภาพยนตร์ที่หลังจากดูจบผมรู้สึกเหมือนดู After Earth + A Good Day To Die Hard ผสมกัน ทั้งความรู้สึกตลกอย่างบอกไม่ถูกจาก After Earth และ โมโหจาก A Good Day To Die Hard และ อาจจะผสมกับ RED 2 นิดๆด้วย มันทำให้ผมรู้สึกอยากจะร้องไห้ไปพร้อมๆกับขำไปพร้อมๆกัน เพราะ มันช่างเลวร้ายเหลือเกิน เลวร้ายจนทำให้ผมคิดว่า ผู้กำกับ Robert Schwentke ฟลุ๊คแน่ๆในภาพยนตร์เรื่อง RED ที่ผมชอบมากๆ หรือ อย่าง Flight Plan ที่ก็สนุกและลุ้นโอเคเลยทีเดียว (ซึ่งผู้กำกับคนนี้จริงๆแกกะสร้าง R.I.P.D. มาแข่งกับ RED 2 เพราะ ใน อเมริกา ทั้งสองเรื่องเข้าฉายใกล้ๆกันเลย)


จุดที่เลวร้าย ไม่น่าให้อภัย และ น่าขันที่สุดใน  R.I.P.D. ก็คือ บท ที่ผมให้คุณลองนึกดู บทที่ว่าด้วยเรื่องราวของ พระเอกมือใหม่ กับ คนแก่มือเก๋าอีกหนึ่งคน ไล่ล่ากำจัดสัตว์ประหลาด คุณจะคิดถึงภาพยนตร์เรื่องอะไร ? แน่นอน M.I.B. ภาพยนตร์เรื่องนี้ลอกหลายๆสิ่งหลายๆอย่างมาจาก M.I.B. ค่อนข้างเยอะ ไม่ว่าจะเป็นบท Design ฉากต่างๆ ซึ่งการลอกบทสำหรับผม โอเค ถ้าหากมันทำออกมาดี หรือ แตกแยกออกไปเล่าเรื่องราว หรือ ตีความแตกต่างไปจากต้นฉบับ ให้มุมมองใหม่ๆ หรือ อย่างน้อยไม่ห่วยแตกก็พอรับได้ แต่ R.I.P.D. ไม่น่าเชื่อว่าเอาบทที่น่าสนใจ สนุก น่าติดตาม และ สมเหตุสมผล จาก M.I.B. แล้วทำให้มันเป็นภาพยนตร์ที่สุดยอดในด้านของความเลวร้ายอย่างไม่น่าเชื่อ


บทที่นอกจากลอกมาแล้วยังหาความสมเหตุสมผลไม่เจอเลยจริงๆ ทุกๆ 10 นาที คุณจะนั่งคิดว่า แล้วไอ้นี้มันมาได้ยังไง ทำไม อย่างไร ซึ่งตัวหนังก็ไม่แม้แต่ที่จะอธิบายด้วยซ้ำไป ปล่อยให้คุณงงอยู่อย่างงั้น ในช่วงแรกที่ยังอยู่ในจุดที่พอจะรับได้แต่หลังจากที่คุณดูไปเรื่อยๆ ความไม่สมเหตุสมผลแทนที่มันจะคลี่คลายกลับมีแต่จะทวีคูณมากขึ้นจนถึงจุดที่คุณเริ่มจะขำอย่างคนบ้ากับความไม่สมเหตุสมผลของตัวหนัง อะไรใหม่ๆใน R.I.P.D. ก็ไม่น่าสนใจเอาเสียเลย แถมแทบจะหาอะไรใหม่ๆไม่เจอ อะไรที่ลอกเขามาก็ทำได้เลวร้ายสุดๆ แถมตัดบางอย่างที่ทำให้ M.I.B. สมเหตุสมผลไปซะงั้น ไม่เข้าใจจริงๆ



CG ที่สวยงามอลังการมาก.....ถ้า R.I.P.D. มันฉายใน 10 ปี ที่แล้วอะนะ สำหรับในตอนนี้ปี 2013 นั้น CG ใน R.I.P.D. ดูเลวร้าย หยั่งกะไม่ได้ตั้งใจทำด้วยซ้ำไป ไม่แน่ใจว่างบหมดหรือว่าอย่างไร นอกจากนั้น CG ก็ไม่ได้ทำให้ตัวหนังมันดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย กลับยิ่งทำให้แย่ลงไปอีก


ความสัมพันธ์ของตัวละครของ Jeff Bridges กับ Ryan Reynolds ที่ไม่เวิรค์สุดๆ และทำให้คุณคิดว่าเอาใครหน้าไหนมาใส่บทนี้ก็ได้ไม่จำเป็นจะต้องเป็นสองคนนี้เลย เพราะ มันดูไม่เข้ากันด้วยซ้ำไป ซึ่งนั้นไม่ใช่ความผิดของตัวนักแสดงทั้งสองคนเลย แต่เป็นบทที่ใส่เข้ามาแบบมั่วซั่วพยายามที่จะทำให้มันตลกและเข้ากันได้ แต่กลับทำให้ทุกอย่างมันยิ่งแย่ไปกว่าเดิม รวมไปถึง Dialog หรือบทพูดบางที ที่ดูเหมือนยัดๆเข้ามา คาแรคเตอร์ที่สับสนสุดๆ รวมไปถึงคาแรคเตอร์ของ Kevin Bacon ที่หลายๆคนก็น่าจะเดาออกอยู่แล้วว่าเขาเล่นเป็นอะไรแถมตัวละครของเขามันก็เป็นได้แค่ตัวร้าย ที่ก็ตัวร้ายอะ มันก็ต้องร้าย ไม่รู้ทำไม คุณไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงร้าย แต่มันต้องร้ายอะ ไม่งั้นมันจะเรียกตัวร้ายได้ยังไงใช่ไหม !!! เป็นอย่างนั้นจริงๆ


บางท่านอาจจะคิดว่า เอาน่า อย่างน้อยบทมันห่วยแตก CG มันห่วยแตก แต่มันอาจจะสนุกก็ได้นะ !! ไม่....ไม่ใช่เลย ตัวหนังมันช่างน่าเบื่อออออออออออ เหลือเกิน ตั้งแต่วินาทีที่เปิดเรื่อง ที่การเปิดเรื่องก็ไม่ค่อยจะดีไม่สร้างความน่าสนใจอยู่แล้ว ตัวหนังยังเนิบๆเรื่อยๆในตอนแรก ทำให้ผมนั่งคิดว่า "อืมม์... มันจะดีขึ้นไหมเนี้ย ?" พอผนวกกับความเลวร้ายของบท กับ CG ที่เลวร้าย มันทำให้รู้สึกเหมือนนั่งอยู่บนเก้าอี้ไฟฟ้า ช่างแสนทรมาณเหลือเกิน นอกจากไม่สนุกแล้ว ไม่เฉยๆไม่เรื่อยๆแล้ว ตัวหนังก็แย่ขึ้นเรื่อยๆจนถึงจุดที่ทำให้ผมคิดว่า "โอ้พระเจ้าได้โปรด จบเสียที...ได้โปรด" ตัวหนังที่พยายามเหลือเกินที่จะทำให้มันสนุก มันตลก แต่มันไม่เวิรค์เอาเสียเลย ในโรงที่ผมดูผมแทบจะนับคนที่ขำได้เลยในภาพยนตร์เรื่องนี้ แถมใส่เข้ามามากจนเกินไปจนน่ารำคาญเสียด้วย



R.I.P.D. เป็นภาพยนตร์ที่ลอกชาวบ้านเขามาหลายๆสิ่งหลายๆอย่างแต่ทำได้แย่กว่าหลายเท่า ความไม่สมเหตุสมผลที่มีแต่จะมากขึ้นมากขึ้น ไร้การอธิบาย และ ช่างน่าขัน  ภาพยนตร์ที่เข้าฉายในปี 2013 แต่มี CG อย่างกับปี 2003 ภาพยนตร์ที่ไม่ทำให้คุณสนุก ไม่ทำให้คุณเฉยๆ แต่ทำให้คุณรู้สึกทรมาณจนต้องขอร้องให้ภาพยนตร์มันจบเสียที จะมีอะไรเลวร้ายไปกว่านี้อีก ? อย่างน้อยใน After Earth ผมก็รู้สึกได้ว่ามีหลายๆอย่างที่น่าสนใจ และ พอที่จะเวิรค์อยู่บ้าง เช่น อารมณ์ต่างๆ หรือใน A Good Day To Die Hard ที่ถ้าเปลี่ยนชื่อตัวภาพยนตร์ให้เป็นเรื่องอื่น มันก็คงจะไม่แย่ขนาดนั้น แต่นี้ R.I.P.D. มันไม่เหลืออะไรเลยจริงๆ มัน......คือ หายนะ ชัดๆ ยิ่งไปกว่านั้นตัวภาพยนตร์มีบทที่ถ้าทำออกมาดีๆน่าจะเป็นภาพยนตร์ที่สนุก  และ ดีได้ มีนักแสดงอย่าง Jeff Bridges , Ryan Reynolds หรืออย่าง Kevin Bacon แต่ทุกอย่างเหมือนจะไร้ความหมาย เพราะ ตัวภาพยนตร์มันก็มีดีแค่นั้นจริงๆ ที่เหลือมันคือหายนะชัดๆ ภาพยนตร์ที่ทำให้ผมรู้สึกอยากจะร้องไห้ พร้อมกับโมโหไปในเวลาเดียวกัน R.I.P.D. เป็นภาพยนตร์ที่ติดเข้าชิงรางวัลภาพยนตร์ที่เลวร้ายที่สุดแห่งปีอย่างไม่ต้องสงสัยเลยแม้แต่น้อย


จุดที่ตัวภาพยนตร์ทำได้ดี (?) :
+ มีนักแสดงที่ค่อนข้างจะดีหลายคนในภาพยนตร์


จุดที่ดูเหมือนจะไปไม่รอด :
- หลายๆสิ่งหลายๆอยางที่ลอกมาจาก M.I.B. แต่ทำได้เลวร้ายกว่าหลายเท่า
- อะไรใหม่ๆใน R.I.P.D ก็ไม่น่าสนใจ และ แทบจะไม่มีอะไรใหม่ๆเลยด้วยซ้ำไป
- ความสมเหตุสมผลที่หาไม่เจอและยิ่งตัวภาพยนตร์ดำเนินไป แทนที่จะคลี่คลายความไม่สมเหตุสมผลนั้น กลับยิ่งทวีคูณความไม่สมเหตุสมผลเข้าไปอีก มันทำให้ตัวภาพยนตร์รู้สึกน่าขัน
- CG ที่อย่างกับสร้างมาเมื่อ 10 ปี ที่แล้ว
- ภาพยนตร์ที่ไม่แม้แต่สนุก ไม่แม้แต่เฉยๆเรื่อยๆ แต่กลับรู้สึกทรมาณ และแทบจะอ้อนวอน ให้ได้โปรดจบเสียที
- ภาพยนตร์ที่พยายามเหลือเกินที่จะให้มันสนุก มันตลก แต่มันกลับไม่ตลกเอาเสียเลย แถมกลับน่ารำคาญในบางครั้งด้วยซ้ำ เพราะ ตัวภาพยนตร์พยายามและใส่มันมากจนเกินไป
- Dialog บางครั้งที่เหมือนถูกบังคับให้ใส่มา
- คาแรคเตอร์ที่สับสน แย่ 


Final Score : [ D- ] & [ COMPLETELY GARBAGE BADGE ] 

วันอาทิตย์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2556

2 Guns ( 2013 ) Movie Review

Movie Review
Denzel Washington กับ Mark Wahlberg ในเรื่องเดียวกันหรอ YESSSS!!!




Movie Name : 2 Guns ( 2013 ) , Action / Crime 
Director : Baltasar Kormakur ( Contraband )
Stars : Denzel Washington ( Book of Eli , Man on Fire ) , Mark Wahlberg ( The Fighter , Contraband ) , Paula Patton ( Deja Vu , Mission: Impossible - Ghost Protocol ) , Bill Paxton ( Aliens , Titanic ) 
Rating : R





REVIEW


                                                                                       2Guns เป็นภาพยนตร์ Action / Crime อีกเรื่องหนึ่งของ Baltasar Kormakur ที่ทำหน้าที่เป็นผู้กำกับ ซึ่งก่อนหน้านี้เขากำกับภาพยนตร์เรื่อง Contraband ซึ่งมีนักแสดงนำก็คือ Mark Wahlberg นี้แหละ 2 Guns นั้นได้ดารานำแสดงชาย 2 คนที่เรียกได้ว่ามีชื่อเสียงเลยทีเดียวนั้นก็คือ Denzel Washington จาก Man on Fire ภาพยนตร์ที่ผมค่อนข้างจะชอบมากอีกเรื่องนึง หรือ Mark Wahlberg จาก The Fighter , Broken City หรือ ภาพยนตร์หมีบ้าแต่โคตรน่ารักอย่าง Ted (ที่มีข่าวว่าจะมีภาคสองแน่ๆอีกด้วย) Mark Wahlberg นั้นเคยได้รับเข้าชิงรางวัลออสก้า 2 ครั้ง แต่ Denzel Washington นั้นได้รางวัลออสก้ามาแล้ว 2 ครั้งเช่นกัน ซึ่งถือว่าเป็นคู่ที่น่าสนใจเลยทีเดียว



บทใน 2 Guns นั้นเรียกได้ว่าน่าสนใจ และ น่าติดตามมากๆ แต่ผมต้องขอบอกเลยว่า ใครที่จะเข้าไปชมภาพยนตร์เรื่องนี้ อย่าดู Trailer ไปก่อนเด็ดขาดครับ เพราะ ตัวเทรลเลอร์มันดันสปอยตัวภาพยนตร์ครึ่งเรื่องแบบเต็มๆเลยซะนี้มันทำให้ตัวภาพยนตร์สนุกน้อยลงพอตัวเลยทีเดียว ซึ่งในจุดนี้ผมขอโทษไปที่ทีมทำ Trailer เต็มๆเลย


นักแสดงทั้ง 2 คนในเรื่องนี้เล่นได้ โคตรเมพทั้งคู่ ไม่ว่าจะเป็น Denzel Washington ที่ผมว่าเขาค่อนข้างจะใส่เต็มทุกๆเรื่องที่เขาเล่นอยู่แล้ว หรือ Mark Wahlberg ที่ฮามากๆในเรื่องนี้ เขาเป็นอีกจุดนึงเลยที่ทำให้ภาพยนตร์สนุกขึ้นพอตัวเลย รวมไปถึงผมรู้สึกว่าเขาค่อนข้างจะใส่เต็มในเรื่องนี้ จากใน Broken City ที่ผมว่าเขาค่อนข้างจะไม่ใส่เต็มเลย นอกจากนั้น ทั้งคู่นั้นเล่นเข้าขากันได้ค่อนข้างดีมากอีกด้วย



2 Guns นั้นเป็นภาพยนตร์ที่สนุกใช้ได้เลยอีกเรื่องนึงไม่ว่าจะเป็น จากตัวนักแสดงเอง หรือตัวฉาก Action ต่างๆ การเล่าเรื่องต่างๆ ที่สนุก ตื่นเต้น และ ทำให้คุณขำได้ในหลายๆฉาก


รวมไปถึงตัวละครหลายๆตัวใน 2 Guns นั้นก็เป็นมากกว่าตัวร้ายที่มีมาให้พระเอกกระทืบ พวกเขามีบทบาทค่อนข้างพอตัวเลย และ ค่อนข้างได้โชว์พาวเวอร์กันทุกคน โดยเฉพาะ ฉากสุดท้ายที่ยิงกันหูดับตับไหม้ สนุกใช้ได้เลยทีเดียว


น่าเสียดายที่ตัวภาพยนตร์ประสบปัญหาบางประการที่คล้ายๆกับ Contraband ซึ่งจุดนี้น่าจะมาจากตัวผู้กำกับแน่นอน จุดแรกเลยก็คือ การที่ตัวภาพยนตร์พยายามมากเหลือเกินที่จะทำให้บทมันเครียด มันเทพ มันสุดยอด และ ยกระดับภาพยนตร์ขึ้นให้เป็นมากกว่าภาพยนตร์ Action ธรรมดาทั่วๆไป แต่มันกลับไม่เวิรค์นี้สิ คล้ายๆใน Contraband และมันกลับเป็นผลเสียต่อภาพยนตร์ด้วยซ้ำ แทนที่จะใส่เต็มจัดเต็มเอาให้สนุกสุดๆไปเลย แต่กลับพยายามในจุดนี้มากจนเกินไป ทำให้บางจุดหนังรู้สึก Force คนดูอยู่บ้าง และ รู้สึกอึดอัดบ้างเป็นบางครั้ง ซึ่งสาเหตุที่มันไม่เวิรค์ก็มาจากหลายๆสาเหตุ เช่นบท ที่ไม่ได้ดีขนาดนั้นออกจะธรรมดาด้วยซ้ำพอคลายปมหมดแล้ว หรือ กระทั่งนักแสดงบางคนที่ยังไม่สามารถไปได้ถึงขนาดนั้นอีกด้วย



2 Guns เป็นภาพยนตร์ที่สนุก บทที่น่าสนใจ น่าติดตาม รวมไปถึงตัวละครต่างๆที่ค่อนข้างจะดีกว่าภาพยนตร์ Action ทั่วๆไปอยู่บ้างโดยเฉพาะตัวร้าย และ Mark Wahlberg ที่ทำให้คุณขำได้ตลอดเวลา แต่ภาพยนตร์กลับมาตกม้าตายตรงที่พยายามมากจนเกินไปที่จะทำให้ตัวภาพยนตร์มันเป็นมากกว่าภาพยนตร์ Action ทั่วๆไป จนทำให้รู้สึกอึดอัด และ เหมือนถูกบังคับอยู่บ้าง แต่ 2 Guns ก็ถือว่าเป็นภาพยนตร์ที่สนุกใช้ได้อีกเรื่องหนึ่ง


จุดที่ตัวภาพยนตร์ทำได้ดี :
+ Denzel Washington , Mark Wahlberg ที่เล่นอย่างเต็มที่ สนุก และ เข้ากันได้ค่อนข้างดี
+ บทที่น่าสนใจ น่าติดตาม
+ ตัวละครที่มีบทแทบจะทุกตัว โดยเฉพาะตัวร้าย
+ สนุก ตื่นเต้น และ ตลกอยู่ตลอดเวลา คุณจะไม่รู้สึกเบื่อเลย


จุดที่ดูเหมือนจะไปไม่รอด :
- ผู้กำกับพยายามมากเกินไปที่จะทำให้มันเป็นมากกว่าภาพยนตร์ Action ทั่วๆไปทั้งๆที่ตัวภาพยนตร์ในส่วนต่างๆไม่ได้ดีเยี่ยมขนาดนั้น ทำให้รู้สึกถูกบังคับ และ อึดอัดอยู่บ้าง



Final Score : [ B ]