วันเสาร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

No Country For Old Men ( 2007 ) Movie Review ** Contain Spoiler **

Movie Review
อีกหนึ่งผลงานอันยอดเยี่ยมของสองพี่น้องโคเอน



Movie Name : No Country For Old Men ( 2007 ) Crime / Drama / Thriller  [ Won 4 Oscar ]
Director : Ethan Coen , Joel Coen ( รวมถึงเขียนบทร่วมกัน )
Stars : Josh Brolin ( True Grit , Jonah Hex ) , Tommy Lee Jones ( Men In Black ) , Javier Bardem ( Skyfall ) 
Rating : R ( มีฉากที่รุนแรง , เนื้อหาที่รุนแรง )






REVIEW

                                                     No Country For Old Men เป็นภาพยนตร์อีกเรื่องหนึ่ง ที่ได้รับการพูดถึงในวงของนักวิจารณ์ภาพยนตร์ หรือแม้กระทั่งผู้ชมภาพยนตร์หลายๆคนอยู่ ถึงแม้ตัวภาพยนตร์จะสร้างและออกฉายมานานตั้งแต่ปี 2007 แล้วก็ตาม ด้วยความเป็น "Masterpiece" ของมันจึงทำให้ไม่สงสัยเลยที่ทำไมมันยังคงเป็นภาพยนตร์ที่ได้รับการกล่าวขวัญกันอยู่ถึงทุกวันนี้



No Country For Old Men เป็นผลงานที่เรียกได้ว่า ชิ้นโบว์แดง ของสองพี่น้องโคเอน ที่หลังจากภาพยนตร์เรื่องนี้กวาดรางวัลมากมาย รวมถึงเสียงวิจารณ์ที่ชมแล้วชมอีก จากต่างประเทศ จึงทำให้ทั้งสองพี่น้องมีผลงานต่อๆไปหลายๆเรื่องในปีถัดๆมา เช่น True Grit ที่ได้ Jeff Bridges เป็นดารานำแสดง , A Serious Man หรือภาพยนตร์ในปี 2013 นี้อย่าง Inside Llewyn Davis 


No Country For Old Men  นั้น วินาทีแรกที่ตัวภาพยนตร์เปิดตัวขึ้น จนจบภาพยนตร์นั้น ตัวภาพยนตร์ช่างมีความ "Intense" แรงกดดัน ถาโถมเข้ามาประทังใส่คนดูอย่างมากตั้งแต่วินาทีแรกของภาพยนตร์ และแรงกดดันนี้ มันไม่มีช่วงใดเลยในภาพยนตร์ ที่มันจะหายไปเลย หลายๆสาเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็น่าจะมาจาก ลายเซ็นของสองพี่น้องโคเอน อยู่แล้ว ที่เรียกได้ว่า เป็นสองพี่น้องที่"ไม่ค่อยชอบปรุงแต่ง" ในภาพยนตร์ซักเท่าไรนัก อย่างเช่นการใช้เสียงประกอบเป็นเสียงจากในสถานที่จริงๆ ไม่ใช้เสียง Soundtrack ชนิดที่เป็นเพลงเพื่อสร้างอารมณ์ หรือการตัดต่อในแต่ละ Scene แบบฉูดฉาดมากจนเกินไป ผลของมันก็คือ มันทำให้ตัวภาพยนตร์นั้นมีความ Realistic หรือ สมจริงมากขึ้นอย่างมหาศาล พร้อมกับแรงกดดันอย่างอัตโนมัติ เนื่องจากความสมจริงของมัน  ยังไม่รวมถึงเนื้อหาของภาพยนตร์ที่ตัวมันเองโดดๆก็ช่างกดดันมากๆพอตัวอยู่แล้ว และเทคนิคต่างๆในภาพยนตร์อื่นๆเช่น โทนสีของภาพยนตร์ในทุกๆฉากที่ถูกเลือกสรรค์มาเป็นอย่างดี การวางองค์ประกอบภาพที่น่าทึ่ง ถึงแม้ในบางครั้งมันจะนำทางผู้ชมมากไปหน่อยก็ตาม


อีกหนึ่งเรื่องที่น่าชื่นชมมากๆของสองพี่น้องโคเอนใน No Country For Old Men คือการเล่าเรื่องที่น่าทึ่ง การตัดต่อที่ไม่ทำให้รู้สึก "Disconnect" หรือไม่รู้สึกเชื่อมต่อกัน การตัดต่อของพวกเขานั้น ช่างไหลลื่น เชื่อมต่อกันระหว่าง 3 ตัวละครหลักได้อย่างดีเยี่ยม พร้อมยังเล่าเรื่องของพวกเขาในเวลาเดียวกันได้อีก อีกสิ่งหนึ่งที่ทั้งสองพี่น้องทำได้อย่างยอดเยี่ยมมากในภาพยนตร์ก็คือ การสื่อสารกับคนดูโดยใช้"ภาษาภาพยนตร์" ทางภาพ มากกว่าใช้คำพูด เสียง หรือตัวละครอื่นๆบอก ใน 1 ชั่วโมงแรก ของภาพยนตร์นั้น ตัวละครทั้ง 3 ตัวนั้นพูดน้อยมาก และหลายๆฉากที่ไม่มีเสียงพูดเลยหลายนาที แต่ 1 ชั่วโมงนี้ กลับเล่า Character ของตัวละครได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย น่าทึ่ง และมันทำให้คนดู"เชื่อ"โดยที่ไม่ต้องมีตัวละครไหน หรือมีเสียงไหนมาบอก



ยังไม่รวมถึงทั้งสามดาราระดับแถวหน้าของ Hollywood ที่มาประชันบทบาทกันไม่ว่าจะเป็น Josh Brolin , Tommy Lee Jones และที่สำคัญและเป็นตัวชูโรงที่สุด Javier Bardem จาก Skyfall นั้นเอง Javier Bardem นั้นต้องขอชมจริงๆเลยว่าเขาแสดงได้อย่างยอดเยี่ยม น่าทึ่ง หยุดทุกลมหายใจ จนทำให้รู้สึกว่า เราคงจะไม่มีวันลืมตัวละครนี้และบทบาทนี้ของเขาไปแน่นอน โดยเฉพาะในฉากร้านขายของในช่วงต้นเรื่องของภาพยนตร์ ที่เขาแสดงได้อย่างยอดเยี่ยมจนความตึงเครียดในฉากนั้นมันพุ่งทวีคูณ 3-4 เท่า และทำให้หัวใจของคนดูเต้นไม่เป็นจังหวะ ในฉากๆเดียว ทั้งๆที่ในฉากนั้นดูผิวเผินมันก็แทบจะไม่มีอะไรเลย นอกจากคนสองคนคุยกัน ซึ่งพูดได้เลยว่า สมแล้วกับการได้รางวัล Oscar นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมมากอดไว้


สิ่งสุดท้ายที่จะพูดถึงนั้นก็คือ Theme หรือ ข้อความของภาพยนตร์  ซึ่งเป็นข้อความที่หนักแน่นมากๆของภาพยนตร์จากการเล่าเรื่องที่ไหลไปเป็นธรรมชาติของสองพี่น้องโคเอน และไม่ทำให้รู้สึกว่าตัวภาพยนตร์จงใจเกินไปในเกือบทุกช่วง
No Country For Old Men เป็นภาพยนตร์ที่พูดถึง ความ"วิปริต"ของโลก , ของมนุษย์ และ ความ"โง่เขลา เย่อหยิ่ง"ของมนุษย์ตัวเล็กๆซึ่งพยายามที่จะควบคุมสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ หลายๆครั้งที่มนุษย์อย่างเราๆ นั้นตั้งคำถามว่า "ทำไมมันจะต้องเป็นเช่นนั้น , ทำไมมันจะต้องเป็นเช่นนี้ , ทำไมมันถึงเป็นแบบนั้น" และพยายามที่จะไปวาดกรอบให้กับมันในหลายๆสิ่งหลายๆอย่าง พยายามหาเหตุผลในหลายๆสิ่งหลายๆอย่าง ไม่ว่าจะเป็นกฏหมาย ศีลธรรม ความคิดต่างๆนาๆ หลายๆครั้งที่เรากับพบว่า เราไม่เข้าใจมันว่าทำไมมันเป็นเช่นนั้น หรือผลออกมาเป็นเช่นนั้น ซึ่งนั้นก็คือตัวละครของ Javier Bardem ในภาพยนตร์เรื่องนี้นั้นเอง การที่เขาฆ่าคนอย่างไร้เหตุผลในหลายๆครั้ง เขาทำก็เพราะ"เขาอยากทำ" หรือแม้กระทั่งฆาตกร หรือแม้กระทั่งคนทั่วไปอย่างเราๆ ที่บางครั้งเราก็หาเหตุผลไม่ได้ ว่าเราทำอะไรบางอย่างไปทำไม หรือ ตัวละครของ Josh Brolin ซึ่งก็คือตัวแทนของมนุษย์ผู้ซึ่งไหลไปตามธรรมชาติ และ ตัวละครของ Tommy Lee Jones ที่เป็นมนุษย์ผู้ซึ่งพยายามที่จะตีกรอบและควบคุมบางสิ่งบางอย่าง นั้นคือสิ่งที่ตัวภาพยนตร์นั้นต้องการจะบอกกับผู้ชม "จงอย่าพยายามที่จะไปควบคุมมัน เพราะ ไม่ใช่ทุกอย่างที่เราจะควบคุมได้ บางสิ่งบางอย่างและบางครั้ง มันก็เป็นไปตามของมันโดยปราศจากและไร้เหตุผล" 



No Country For Old Men เป็นภาพยนตร์ที่เกือบที่จะ"Perfect" แล้วในทุกๆด้าน แต่ก็ยังมีส่วนเล็กๆบ้างที่ยังคงย้ำอยู่กับที่บ่อยจนเกินไปหรือจงใจมากจนเกินไป แต่เราก็ต้องไม่ลืมว่า ไม่มีสิ่งใดๆหรือภาพยนตร์เรื่องใดๆบนโลกที่ "Perfect" สำหรับ No Country For Old Men กฏนี้ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ในท้ายที่สุดแล้ว มันก็ยังคงเป็นภาพยนตร์ระดับ "Classic" ขึ้นหึ้งได้อย่างง่ายดาย ด้วยฝีมือการกำกับระดับมหากาฬของสองพี่น้องโคเอน และ นักแสดงระดับแนวหน้าที่แสดงและถ่ายทอดข้อความออกมาได้อย่างน่าทึ่ง น่าชื่นชม  




Final Score : [ A + ] & [ Must See Badge ]

วันเสาร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

The Hunger Games: Catching Fire ( 2013 ) Movie Review

Movie Review
การกลับมาของแคทนิส  เอเวอร์ดีนที่ยิ่งใหญ่สมศักดิ์ศรี




Movie Name : The Hunger Games : Catching Fire ( 2013 ) , Action / Adventure / Sci-Fi
Director : Francis Lawrence ( Constantine , I Am Legend , Water for Elephants ) 
Stars : Jennifer Lawrence ( X-Men : First Class , Silver Linings Playbook ,The Hunger Games ) , Liam Hemsworth ( The Hunger Games , The Expendables 2 ) , Josh Hutcherson ( Bridge to Terabithia , The Hunger Games ) , Woody Harrelson ( The Hunger Games , Zombie Land , Now You See Me ) , Donald Sutherland ( The Hunger Games , Ordinary People ) , Stanley Tucci ( The Hunger Games , Percy Jackson : Sea of Monsters ) , Philip Seymour Hoffman ( Money Ball , The Master ) , Jena Malone ( Sucker Punch , Into the Wild ) , Sam Claflin ( Snow White and The Hunts Man , United ) 
Rating : PG -13








REVIEW

                                                         นตอนนี้ คงจะพูดได้ว่าไม่มีใครที่จะไม่รู้จักภาพยนตร์ที่เรียกได้ว่ายักษ์ใหญ่มากที่สุดอีกเรื่องหนึ่งอย่าง The Hunger Games อย่างแน่นอน ตั้งแต่ภาคแรกในช่วงที่เข้าฉายทั่วโลกก็เกิดกระแส "Hype" กันมากมายจนทำให้หลายคนก็อดสงสัยไม่ได้ว่ากระแส Hype ต่างๆเหล่านี้ มันจริงหรือมันเป็นเพียงแค่กระแสที่แฟนๆสร้างขึ้นมาแบบ Twilight กันแน่ คงต้องขอปูพื้นกันหน่อย The Hunger Games นั้นเป็นภาพยนตร์ที่มีต้นแบบหรือสร้างมาจากหนังสือนวนิยายขายดีชื่อดัง ในชื่อเดียวกันของ  Suzanne Collins โดยในหนังสือซีรียส์นี้นั้นมีอยู่ 3 ภาคด้วยกัน นั้นก็คือ The Hunger Games , Catching Fire และสุดท้าย Mockingjay  โดยในฉบับภาพยนตร์นั้นก็จะเดินตามภาคต่างๆในหนังสือเช่นเดียวกัน จะแตกต่างกันตรงที่ในภาคสุดท้าย Mockingjay นั้นตัวภาพยนตร์จะแยกออกมาเป็น 2 ภาค แบบ Harry Potter และ Twilight นั้นก็คือ 3.1 และ 3.2 



ถึงแม้จะขอพูดเลยว่า รู้สึกเสียดายกับ The Hunger Games ในภาคแรก ที่ถึงแม้จะเป็นภาพยนตร์ที่มีโอกาสมากๆอีกเรื่องหนึ่ง แต่กลับไม่สามารถที่จะแสดงหรือเปล่งประกายมันออกมาได้อย่างที่ต้องการ โดยเฉพาะในองค์ 2 และ 3 ของภาพยนตร์ที่ผลออกมาได้ไม่สมกับองค์แรกที่ปูมาอย่างเข้มข้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ช่างน่าเสียดาย ซึ่งคำถามในภาคนี้ "Catching Fire" หลักๆก็คงจะมีอยู่ว่า "แล้วภาคนี้สามารถที่จะข้ามจุดๆนั้นและโบยบินไปสู่จุดหมายได้หรือไม่ ?"


The Hunger Games : Catching Fire เป็นภาพยนตร์ที่น่าจะเรียกได้ว่า "เดินมาถูกทาง"แล้วในหลายๆด้าน ด้านที่น่าจะเรียกได้ว่าสำคัญมากที่สุดนั้นก็คือ การที่ตัวภาพยนตร์นั้นเปลี่ยนผู้กำกับจากภาคที่แล้วซึ่งก็คือ Gary Ross มาเป็น Francis Lawrence ซึ่งในภาพยนตร์บางเรื่องการที่เปลี่ยนผู้กำกับอาจจะไม่ใช่เรื่องดีซักเท่าไรนัก อย่างเช่น A Good Day To Die Hard ของ John Moore แต่ใน Catching Fire การเปลี่ยนครั้งใหญ่ครั้งนี้นั้น กลับทำให้ภาพยนตร์นั้น "เฉิดฉาย" ขึ้นอย่างมาก ซึ่งจริงๆแล้วตัวผู้กำกับ Francis Lawrence ก็ถือได้ว่าเป็นผู้กำกับที่มีความสามารถมากมายอีกคนหนึ่ง จากผลงานอย่าง Constantine หรือ ภาพยนตร์ขวัญใจใครหลายๆคน I Am Legend เขาถือได้ว่าเป็นผู้กำกับอีกคนหนึ่งที่เล่าเรื่องได้เก่งน่าติดตามและรู้จักวิธีการสร้างความตึงเครียดในฉากต่างๆได้อย่างเก่งกาจ ที่สำคัญเลยก็คือ เขารู้จักวิธีที่จะขยี้หัวใจคนดูได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ซึ่งสิ่งเหล่าๆนี้นั้น ก็เป็นองค์ประกอบหลักๆในภาพยนตร์ Catching Fire ภาคนี้ที่ทำให้มันช่าง "น่าหลงใหล"



สิ่งที่พบเห็นและรู้สึกได้ชัดเจนเลยในภาคนี้นั้นก็คือ มันเป็นการรับไม้ต่อได้อย่างน่าทึ่ง และเป็นการรับไม้ต่อจากภาคที่แล้ว ที่ยิ่งเสริมและทวีคูณความเข้มข้นของภาพยนตร์อีกเหล่าเท่าตัว ไม่ว่าจะในด้าน Content หรือ เนื้อหาของภาพยนตร์ที่เข้มข้น ดุเดือด จริงจัง มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ถึงแม้ว่าการปูเรื่องในองค์แรกของ Francis Lawrence จะโซซัด โซเซ ไปบ้าง แต่การเล่าเรื่องใน องค์ที่ 2 และ 3 เขากลับเอามันได้อย่างอยู่หมัดเลยจริงๆ ซึ่งแตกต่างจากภาคที่แล้วอย่างเห็นได้ชัด ความตึงเครียดต่างๆที่ช่างถาถม ทวีคูณขึ้นเรื่อยๆ หลายๆครั้งที่คุณจะพบว่าตัวคุณเองรู้สึกเหมือนกำลังกลั้นหายใจ ท่ามกลางความตึงเครียดนี้ ซึ่งเป็นผลมาจาก การที่ภาพยนตร์นั้นสามารถที่จะทำให้ผู้ชม"หลงเชื่อ" ได้ ว่านี้คือของจริง นี้คือสมรภูมิจริง ที่คุณไม่อาจจะรู้ได้ว่าก้าวต่อไปของตัวละครหนึ่งอาจจะเป็นก้าวสุดท้ายในชีวิตของตัวละครนั้น และคุณก็หลงไหล หรือ อาจจะพูดได้ว่า "หลงรัก" ตัวละครเหล่านี้ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งมันทำให้คุณคอยลุ้นทุกก้าวของตัวละคร และ หวัง ส่งกำลังใจให้ ตัวละครเหล่านั้น ว่าพวกเขาจะไม่เป็นอะไรไป 


 ที่สำคัญอีกจุดหนึ่งเลยก็คึอ ฉาก Action ต่างๆของผู้กำกับ Francis Lawrence นั้นไม่ใช่ฉากที่เต็มไปด้วย "Shaky Cam" หรือ เทคนิคการถือกล้องด้วยมือซึ่งทำให้ภาพที่ออกมามีการสั่น และไม่อยู่กับที่ ซึ่งช่างน่ารำคาญ และคุณแทบจะมองอะไรไม่เห็นเลย ซึ่งมันเป็นเทคนิคที่เรียกได้ว่า "หน้าไม่อาย" เพราะมันคือการพยายามปกปิดว่าคุณทำฉาก Action ได้อย่างห่วยแตกจนต้องใช้เทคนิคนี้มาบดบัง ซึ่งมีผู้กำกับจริงๆไม่กี่คนในโลกเท่านั้น ที่จะใช้เทคนิคนี้ได้อย่างเป็น สไตล์จริงๆ ใน The Hunger Games : Catching Fire นั้นทุกๆฉาก Action เราจะได้เห็นทุกๆตัวละครกำลังฟาดฟันกันอย่างไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะมองไม่เห็นอะไร หลายๆครั้งฉาก Action เหล่านี้ มันมีความลึก ของรายละเอียดในฉากต่างๆ ที่น่าตื่นตาตื่นใจ กว่าภาพยนตร์ Action หลายๆเรื่องโดยไม่ต้องใช้เทคนิค Shaky Cam เสียอีก



และอีกหนึ่งสิ่งสำคัญ ที่ไม่พูดเลยไม่ได้นั้นก็คือนักแสดงในภาพยนตร์ โดยเฉพาะ Jennifer Lawrence ที่เป็นอีกครั้งที่เธอพิสูจน์แล้วว่า เธอไม่ได้บท แคทนิส มาโดยฟลุ๊คๆ หรือ ได้รางวัล Oscar นำแสดงหญิงยอดเยี่ยม มาเพราะโชคดี แต่อย่างใด เพราะหลายๆครั้งในภาพยนตร์ที่เธอแสดงได้อย่างน่าทึ่ง และเรียกได้ว่าจัดการทั้งเรื่องได้อย่างอยู่หมัด ซึ่งในตอนนี้เธอถือได้ว่าเป็นนักแสดงหญิงที่มีความสามารถมากที่สุดอีกคนหนึ่ง และยังมีโปรแกรมแสดงในภาพยนตร์ใหญ่ๆอีกอย่างเช่น X-Men : Days of Future Past ซึ่งเป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์ยักษ์ใหญ่ ที่คนทั่วโลกจับตามองและคาดหวังมากอีกเรื่องหนึ่งในปี 2014 ยังไม่รวมถึง Jena Malone จาก Sucker Punch ที่ยังคงแสดงได้อย่าง "บ้าบิ่น"ซะจนทำให้ถูกใจตั้งแต่แรกพบจริงๆ 


สุดท้ายนี้แล้ว คงจะต้องขอพูดถึงจุด Climax ของภาพยนตร์ ซึ่งต้องขอสารภาพเลยว่า ตัวเองนั้น เป็นคนที่ดูภาพยนตร์ Hollywood โดยเฉพาะ ภาพยนตร์ตลาด มามาก จนแทบจะไม่รู้สึกว่า ตัวเองนั้นตกใจกับฉาก Climax ฉากหักมุมต่างๆหรือตื่นเต้นไปกับมัน เท่าไรอะไรอีกแล้ว  ซึ่ง The Hunger Games : Catching Fire ก็พิสูจน์แล้วว่าความคิดข้อนั้น "ผิด" เพราะมันช่างเป็นฉากจบที่ น่าทึ่ง ตระการตา คาดไม่ถึง ฉลาด ที่สำคัญก็คือสมเหตุสมผล และเป็นการเริ่มต้น ปูไปสู่จุดจบในภาค 3.1 และ 3.2 ได้อย่างชาญฉลาด สาเหตุและเหตุผลเต็มๆก็น่าจะมาจากการที่ไม่เคยอ่านหนังสือภาคใดๆของ The Hunger Games มาก่อนเลย ซึ่งในจุดนี้ก็คงต้องขอชมผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ Suzanne Collins ที่เขียนหนังสือมาได้อย่างน่าทึ่ง และ ผู้กำกับ Francis Lawrence ที่กำกับและถ่ายทอดมันออกมาได้อย่างตระการตา 



ใช่ The Hunger Games : Catching Fire นั้น ไม่ใช่ภาพยนตร์ที่ "Perfect" มันยังคงมีการสะดุด และล้มอยู่หลายครั้ง แต่ทุกๆครั้งที่มันได้ล้มลง มันกลับลุกขึ้นมาใหม่ ได้อย่างแข็งแกร่ง และทรงพลังมากขึ้นกว่าเดิมทุกครั้ง จนในท้ายที่สุดก็คงจะไม่มีใครสามารถที่จะปฏิเสธได้อีกว่า นี้คืออีกหนึ่งภาพยนตร์ที่ยิ่งใหญ่ สมการรอคอย และยิ่งใหญ่พอ ที่จะสามารถเดินตามรอยท้าว หรือแม้แต่ก้าวเคียง ไปกับภาพยนตร์ที่ยิ่งใหญ่มากที่สุดอีกเรื่องหนึ่งอย่าง Harry Potter ได้อย่างเต็มที่ และมีเกียรติ



Final Score : [ A - ] & [ Must See Badge ] 

วันศุกร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

The Family aka " Malavita " ( 2013 ) Movie Review

Movie Review
Robert De Niro + มาเฟีย จะเป็นไปได้อย่างไรที่ภาพยนตร์เรื่องนี้จะ Fail !!!.............. ?




Movie Name : The Family aka. "Malavita" , Comedy / Crime / Thriller
Director : Luc Besson ( Leon The Professional Killer , The Lady )
Stars : Robert De Niro ( The God Father Part II , Killer Elite , Star Dust ) , Michelle Pfeiffer ( Stardust , New Year's Eve ) , Dianna Agron ( I Am Number Four ) , John D'Leo ( The Wrestler ) , Tommy Lee Jones ( No Country For Old Man , Men In Black )
Rating : R








REVIEW

                                                    The Family หรือใช้ชื่อในไทยว่า Malavita นั้น เป็นภาพยนตร์ของผู้กำกับลุค เบซอง (มีส่วนเขียนบทเองด้วย) ที่ดูจากองค์ประกอบต่างๆแบบผิวเผินแล้ว มันน่าจะเป็นภาพยนตร์ที่น่าสนใจมากๆอีกเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว นอกจากดาราอย่าง Robert De Niro แล้ว ยังมี Michelle Pfeiffer มาร่วมแสดงอีกด้วย ซึ่งสองคนนี้อาจจะเคยผ่านๆกันมาบ้างใน ภาพยนตร์เรื่อง Star Dust หรือใน New Yer's Eve แต่สิ่งที่น่าสนใจจริงๆของภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คือ Plot ที่ว่าด้วยเรื่องราวของ ครอบครัวของ Blake ( Robert De Niro )ที่ย้ายบ้านหลบหนีมาอยู่ประเทศฝรั่งเศษภายใต้การโครงการคุ้มครองพยาน แต่สิ่งที่ท้าท้ายพวกเขาจริงๆนั้นกลับเป็นสัญชาติญาณนักเลง/มาเฟียเก่าภายใน ที่คอยที่จะปะทุขึ้นมาทุกเมื่อ 



แต่ช่างน่าเสียดายเหลือเกิน The Family นั้นกลับกลายเป็นภาพยนตร์ที่รู้สึกได้ถึงความกระจัดกระจาย และหลงทางเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะ บทและการกำกับที่ช่างหลงทางอย่างสุดขีด ชนิดที่เรียกได้ว่า เดินมั่วไปหมด หลายๆครั้งที่ทำให้สงสัยว่าตัวบทและผู้กำกับ Luc Besson ต้องการให้ The Family เป็นภาพยนตร์อะไรกันแน่ ตลกร้าย Irony เสียดสี ? ภาพยนตร์มาเฟีย ? ภาพยนตร์ Action ? ภาพยนตร์ Thriller ? เพราะมันช่างผสมปนเปกันอย่างไร้วัฒนธรรมเสียเหลือเกินในภาพยนตร์ และไม่ว่าจะในด้านใดๆที่กล่าวมาก็ดูช่างเบาบางไปเสียทุกด้าน อย่างเช่น ตลกร้าย Irony เสียดสีสังคม ที่ต้องยอมรับว่าเป็นจุดที่น่าสนใจ และพอที่จะให้ความบันเทิงได้บ้างจุดหนึ่ง แต่มุขตลกเหล่านั้นมันช่างตื้นเขิน ไร้พลัง ไร้ความน่าจดจำเป็นที่สุด หลายๆมุขนั้นเหมือนสร้างขึ้นมาอย่างไร้ขบวนการความคิดที่ไตร่ตรองถี่ถ้วนอย่างน่าเสียดาย หรือมันจะเป็น ภาพยนตร์ Thriller ก็ไม่ใช่อีก เนื่องจากภาพยนตร์แทบจะไม่รู้สึกถึงความตื่นเต้นเลย อย่างน้อยก็เกือบทั้งเรื่อง หลายๆครั้งในภาพยนตร์ที่ต้องขอชมว่า ผู้กำกับ Luc Besson ใช้การตัดต่อแบบเชื่อมกันใน Scene ต่างๆได้อย่างน่าสนใจ อยู่เหมือนกัน  แต่...



นั้นก็ไม่ได้ทำให้การเล่าเรื่องของภาพยนตร์มันดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย การเล่าเรื่องใน The Family มันช่างเหมือนกับการเดินวนอยู่กับที่หลายๆรอบที่ช่างแสนน่าเบื่อหน่าย ไร้ความน่าสนใจอย่างไม่น่าเชื่อ ซึ่งจริงๆแล้วการเล่าเรื่องแบบวนไปวนมาแบบนี้มันอาจจะดีขึ้นถ้าหากตัวภาพยนตร์มีความน่าสนใจ หรือ Charming บางอย่าง เช่น อาจจะมีข้อความ ความหมายอะไรที่แฝงไว้อย่างแยบยล ซึ่งเป็นสิ่งที่ Family ไม่มีเลยแม้แต่น้อย และ ผลของมันก็คือความไม่น่าสนใจ และซ่้ำซากอย่างไม่สร้างสรรค์ กระทั่งในด้านการแสดงก็ยังไม่ดีนักในภาพยนตร์เรื่องนี้ อย่างเช่น Dianna Agron ในภาพยนตร์เรื่องนี้หลายๆครั้งที่เธอแสดงได้ค่อนข้างจะแย่ ไร้อารมณ์ แม้แต่ฉากที่พยายามจะบีบอารมณ์ของเธออย่างเต็มที่แล้ว เธอก็ไม่เคยเลยที่จะไปถึงจุดๆนั้นเสียที แม้กระทั่งนักแสดงอย่าง Tommy Lee Jones ก็ช่างไร้พลัง ไม่น่าสนใจ ดูหมดแรง น่าผิดหวังอีกเช่นกัน ถึงกระนั้นก็ยังมีบางสิ่งบางอย่างที่ยังทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้พอที่จะ"ให้อภัย"ได้อยู่บ้าง เช่น Robert De Niro และ Michelle Pfeiffer ที่ทั้งคู่แสดงได้อย่าง ร้ายกาจ น่าสนใจ และค่อนข้างที่จะซะใจคนดูอยู่ไม่น้อยทั้งคู่เลยทีเดียว แต่นั้นก็คงช่วยอะไรไม่ได้มากนักกับสิ่งที่ภาพยนตร์ได้ทำล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่าไปเรียบร้อยแล้ว



The Family ในท้ายที่สุดก็เป็นเพียงได้แค่ภาพยนตร์ที่ผ่านๆไปไม่น่าจดจำอีกเรื่องหนึ่ง ช่างน่าเสียดาย Potential หรือความเป็นไปได้ ที่มันน่าจะเป็นภาพยนตร์ที่ดีได้ ด้วยบทและการกำกับที่ช่างหลงทางอย่างไร้ศิลปะ ไม่น่าสนใจ ตื้นเขิน ไร้พลังในทุกด้าน การเล่าเรื่องที่ช่างแสนน่าเบื่อหน่าย นักแสดงบางคนที่ล้มเหลวที่จะถ่ายทอดพลังออกมา ถึงแม้ตัวภาพยนตร์จะมีนักแสดงอย่าง Robert Deniro และ Michelle Pfeiffer เป็นตัวช่วยใหญ่ก็ตาม มันก็ไม่ได้ทำให้อะไรมันดีขึ้นซักเท่าไรเลย



Final Score : [ C- ]

วันเสาร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

Coraline ( 2009 ) Movie Review

MOVIE REVIEW
ภาพยนตร์อนิเมชั่นที่ยอดเยี่ยมมากที่สุดอีกเรื่องหนึ่ง



Movie Name : Coraline ( 2009 ) , Animation , Fantasy , Thriller 
Director : Henry Selick ( The Nightmare Before Christmas ) 
Stars (Voice ) : Dakota Fanning ( Man on Fire ) , Teri Hatcher ( Tomorrow Never Dies ) , Keith David ( Pitch Black ) , John Hodgman ( The Daily Show ) , Ian McShane ( Deadwwod TV-Series , Jack The Giant Slayer ) 
Rating : PG







REVIEW

                                                          Coraline เป็นภาพยนตร์ อนิเมชั่นจากฝีมือของผู้กำกับชื่อดัง Henry Selick จากผลงานที่คงไม่มีใครแล้ว ณ ตอนนี้ที่ไม่เคยได้ยินชื่อ นั้นก็คือ The Nightmare Before Christmas นอกจากนั้นเขายังเป็นคนที่เขียนบทภาพยนตร์ด้วยตัวเองอีกด้วยสำหรับใน Coraline 


Coraline ว่าด้วยเรื่องราวของ เด็กหญิง Coraline ที่เพิ่งย้ายบ้านเข้ามาใหม่ บ้านของเธอ พ่อแม่ของเธอและโลกของเธอนั้นช่างน่าเบื่อสำหรับเธอ จนวันหนึ่งเธอได้ค้นพบอีกมิติหนึ่งที่ทุกอย่างเป็นไปตามที่เธอต้องการและฝันถึงทั้งหมด แต่มีบางสิ่งบางอย่างที่ซ่อนเอาไว้ท่ามกลางมิติที่แสนสุขนั้น ?



Coraline เป็นภาพยนตร์ที่เมื่อดูจบแล้ว รู้สึกได้ทันทีเลยว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้นั้น มีความเป็น Original เข้าใจง่าย บทเรียนที่น่าสนใจ และหลายๆสิ่งหลายๆอย่าง ที่รวมกันมาได้อย่างน่าทึ่ง จนแทบจะเป็นนิทานเรื่องหนึ่งที่คุณควรจะเป็นให้ลูกๆของคุณดูหรือแม้กระทั่งตัวคุณเองหรือผู้ใหญ่ด้วยซ้ำไป ต้องขอชมทีมงานจริงๆที่ทำในสิ่งที่ต้องใช้ความพยายามอย่างมากเนื่องจาก Coraline เป็นภาพยนตร์อนิเมชั่นที่ไม่ใช่ CG ทั้งหมด แต่เป็นตุ๊กตาจริงๆเลยและใช้เทคนิคที่เรียกว่า "Stop Motion" นั้นก็คือเอาตุ๊กตานั้นๆมาถ่ายจริงๆและค่อยๆขยับตุ๊กตาที่ละเล็กทีละน้อย และถ่ายมัน ซึ่งมันดูเป็นเรื่องที่ยากและต้องอาศัยความพยายาม ความมุ่งมั่น และความอดทนอย่างมาก การที่คุณจะต้องมานั่งขยับมือตุ๊กตากระจิ๊ดนึงเดินไปถ่ายแล้วหยุดแล้วเดินกลับมาขยับอีกนิ๊ดหนึ่งแล้วเดินกลับไปถ่าย วนไปวนมาอย่างนี้ไปเรื่อยๆจนกว่าคุณจะได้ภาพเคลื่อนไหวที่ต้องการ มันเป็นอะไรที่ช่างน่าทึ่งมาก ในการถ่ายแต่ละฉากที่เราๆเห็นกันนั้นในภาพยนตร์มันอาจจะดูน้อยแต่เวลาถ่ายทำจริงๆนั้นใช้เวลานานมาก อย่างเช่นฉากนึงที่ยาวในภาพยนตร์ 20 นาที แต่ตอนสร้างจริงๆใช้เวลาทำถึง เกือบ 3 อาทิตย์เลยทีเดียว ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าชื่นชม และ น่าทึ่งมากๆเลยทีเดียว



ไม่ใช่แค่นั้นตัวภาพยนตร์ยังเรียกได้ว่าทำยอดเยี่ยมมากๆทุกด้านจริงๆ บทที่ช่างน่าสนใจ น่าติดตาม และเป็นเรื่องราวที่จริงๆแล้วไม่ไกลตัวเราๆเลยเหมือนตอนที่เราเคยคิดหรือฝันไว้ในตอนเด็กๆ เช่น เราเคยอยากให้พ่อแม่เราเป็นเช่นนี้ เช่นนี้ อยากให้เพื่อนเราเป็นเช่นนี้ เช่นนี้ ตามที่เราคาดหวังหรือฝันไว้ หรือ เราอาจจะเคยคิดที่อยากจะออกไปจากโลกปัจจุบันที่น่าเบื่อ Coraline เอาเรื่องราวและความคิดนั้นมาติดต่อและเล่าเรื่องใหม่ได้อย่างน่าทึ่งเป็นที่สุด และมันช่างมีความเป็น Original หรือความที่ไม่เหมือนใครได้อย่างน่าทึ่งจริงๆ นอกจากนั้นเรื่องราวและข้อความที่ตัวภาพยนตร์ต้องการจะสื่อถึงคนดูนั้น เข้าใจง่ายมาก แม้กระทั่งเด็กๆ แต่เป็นข้อความที่ช่างทรงพลังจากการที่ภาพยนตร์ทำทุกๆอย่างได้อย่างน่าทึ่ง การใช้ Symbolic หรือ สัญลักษณ์ต่างๆในภาพยนตร์ที่มีหลายครั้งและแต่ละครั้งช่างทำออกมาได้อย่างสวยงาม สื่อความหมายได้ทันทีง่ายดาย แต่ส่งผลได้อย่างน่าทึ่ง ตัวละครแต่ละตัวในภาพยนตร์ที่ช่างน่าสนใจ มีเอกลักษณ์ทุกๆตัวละคร และช่างเป็นตัวละครที่ออกแบบมาได้อย่างดีจริงๆ สำหรับตัว CG และ การใช้เทคนิค Stop Motion ตุ๊กตาต่างๆในภาพยนตร์นั้นช่างสวยงาม อลังการ ที่สำคัญคือ CG ในภาพยนตร์นั้น มักจะใช้เป็นการ Support ตัวตุ๊กตาในภาพยนตร์มากกว่าจะมาบดบังตัวภาพยนตร์ทำให้เรารู้สึกได้เลยว่าตัวภาพยนตร์นั้นมีหลักมีฐานจริงๆนั้นก็คือการใช้ตุ๊กตาและ Stop Motion เป็นพระเอก ไม่ใช่ CG นอกจากนั้นตัวตุ๊กตายังเคลื่อนไหวได้สมจริง ไม่มีสะดุดได้อย่างน่าทึ่ง แม้ในหลายๆฉากที่ดูจะเป็นเรื่องที่ยากมากก็ตาม หลายๆฉากที่ต้องมีการเคลื่อนไหวของสิ่งต่างๆในฉากที่เคลื่อนไหวแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ตัวภาพยนตร์ก็ถ่ายออกมาได้อย่างลื่นไหลไม่มีสะดุดหรือทำให้รู้สึกขัดๆ แต่อย่างใดเลย นอกจากนั้นอีกสิ่งที่เป็นตัวทำให้ภาพยนตร์รู้สึกน่าค้นหาหรือ"Charming" อยู่ตลอดเวลานั้นก็คือ การเล่าเรื่องที่ลื่นไหลไม่มีติดขัดตลอดตั้งแต่วินาทีแรกจนจบ และเป็นการเล่าเรื่องที่ฉลาดมากๆ เหมือนผู้กำกับ Henry Selick เขารู้จริงๆว่าในฉากนี้ ควรจะให้คนดูรู้อะไร อย่างไรบ้าง เพื่อที่จะทำให้คนดูเข้าถึงฉากต่อไปได้ และการเล่าเรื่องที่ช่างลื่นไหลนี้ มันทำให้คุณรู้สึกสนุก สนใจ และ Connect กับตัวภาพยนตร์อยู่ตลอดเวลาจริงๆ ไม่มีเวลาใดเลยในภาพยนตร์ที่คุณไม่รู้สึกอยากจะดูฉากต่อไป ว่าตัวละครทำอย่างไร ตัวละครจะเผชิญอย่างไร เพราะมันช่างน่าติดตาม และ สนุกเหลือเกิน  นอกจากนั้นตัวตุ๊กตาเหล่านี้ยังแสดงอารมณ์ต่างๆ สีหน้าต่างๆ ได้อย่างน่าทึ่ง ทรงพลัง ไม่แพ้คนแสดงจริงๆหรือภาพยนตร์อนิเมชั่น CG เรื่องอื่นเลย



สุดท้ายก็คือ การพากษ์เสียงที่ได้ทีมงานที่เหมาะกับตัวละครมากๆ อย่าง Dakota Fanning  ที่พากษ์ได้เหมาะสม ยอดเยี่ยมจริงๆ นอกจากนั้นตัวภาพยนตร์ยังมี Soundtrack  ที่ยอดเยี่ยม สนับสนุนผู้ชมได้ในทุกๆฉากอย่างง่ายดาย และตัว Soundtrack เองก็ช่างมีมิติ น่าสนใจ ไพเราะ และแฝงอะไรบางอย่างไว้ที่ช่างน่าค้นหา แม้จะไม่มีตัวภาพเองก็ตาม



Coraline เป็นภาพยนตร์อนิเมชั่นที่พูดถึงการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ได้อย่างน่าทึ่ง น่าติดตาม และยอดเยี่ยมมากๆ ด้วยการทุ่มเทอย่างมากมายลงไปในผลงานหรือชิ้นงาน ด้วยการใช้เทคนิค Stop Motion ที่อาศัยความอดทนและความพยายามอย่างมาก การเล่าเรื่องที่ลื่นไหลน่าติดตาม สนุกอยู่ตลอดเวลา ตัวละครต่างๆที่ช่างออกแบบมาได้อย่างยอดเยี่ยม และการพากษ์เสียงที่ยอดเยี่ยม ภาพในภาพยนตร์ที่ถ่ายมาได้อย่างสวยงาม น่าทึ่งอยู่ตลอดเวลา และไม่มีการใช้ CG มากจนเกินไป จนบดบังจุดเด่นของภาพยนตร์ที่แท้จริง Soundtrack ที่สนับสนุนตัวภาพยนตร์ได้อย่างยอดเยี่ยม และยังมีความโดดเด่นด้วยตัวของมันเองอีกด้วย หลายๆสิ่งหลายๆอย่างในภาพยนตร์เหล่านี้เมื่อมารวมกันในตอนท้ายสุดทำให้ Coraline เป็นภาพยนตร์ที่ควรจะเป็นภาพยนตร์ที่ควรจะมีติดเอาไว้ทุกบ้าน และควรจะเปิดให้ลูกๆของคุณดูหรือผู้ใหญ่ดูเองก็ยังได้ เสมือนกับการเล่านิทานก่อนนอน เพื่อสอนอะไรบางอย่างให้กับคนที่ได้ชมแบบที่ไม่ต้องใช้คำพูดใดๆเลย



I Give [ A+ ] & [ Must See Badge ] 

ต้มยำกุ้ง 2 3D ( 2013 ) Movie Review

MOVIE REVIEW
การกลับมาของภาพยนตร์ Action สัญชาติไทย ?




Movie Name : ต้มยำกุ้ง 2 ( 2013 ) , Action / Drama 
Director : ปรัญชา ปิ่นแก้ว ( องค์บาก , ต้มยำกุ้ง )
Stars : พนม ยีรัมย์ ( องค์บาก 1-3 , ต้มยำกุ้ง ) , เพ็ชรทาย วงษ์คำเหลา ( ต้มยำกุ้ง , แหยมยโสธร ) , ญาณิน วิสมิตะนันทน์ ( ช็อคโกแลต ) , รฐา โพธิ์งาม ( Only God Forgives , จิตสัมผัส 3D ) , อาร์ซ่า RZA ( The Man with the Iron Fists )
Rating : น 15+






REVIEW

                                                             ต้มยำกุ้ง 2 นั้นต้องขอสารภาพเลยว่าเป็นภาพยนตร์ที่ไม่คาดหวังอะไรเลยจริงๆตอนก่อนที่จะเข้าไปชม เนื่องจากกระแส และเสียงพูดกันมาด้านลบพอตัวในหลายๆที่ ซึ่งต้องขอพูดเลยว่า หลังจากที่ได้ชมต้มยำกุ้ง 2 จบ กลับคิดว่า มันไม่ได้เลวร้ายหรือแย่แบบที่หลายๆคนเคยพูดหรือเคยเขียนเอาไว้ซะทีเดียวเลย




ต้มยำกุ้ง 2 นั้นปัญหาที่ร้ายแรงที่สุดของภาพยนตร์เลยก็คือ บท ที่มันไม่มีตัวตนเลยจริงๆ ไม่มีเลยจริงๆ ในขณะที่คุณชมภาพยนตร์ จนจบภาพยนตร์ คุณจะไม่รู้สึกเลยว่า บทมันมีตัวตน คุณจะรู้สึกแค่ว่า คุณกำลังนั่งดูฉาก Action อย่างเดียวเท่านั้นเสียมากกว่า ซึ่งนั้นมาจากหลายๆสาเหตุ อย่างเช่น การตัดต่อที่ไม่ให้เวลา Intro ในฉากต่างๆเลย ซึ่งมันทำให้รู้สึกเหมือนแต่ละฉากพอย้ายไปฉากต่อไปมันเป็นการ Jump หรือ กระโดดไปเลย มันจึงไม่รู้สึกเชื่อมต่อกันเลยแม้แต่น้อย ตัวละครที่แบน และแทบจะไม่มีการปูตัวละครเลยด้วยซ้ำ  เนื่องจากเวลานั้นถูกโยนไปให้กับฉาก Action ซะ 70-80% ของทั้งเรื่อง ตัวละครบางตัวแย่ถึงขนาดที่ทำให้ตั้งคำถามว่า จะมีมาทำไม และตัวละครบางตัวก็สร้างความน่ารำคาญมากกว่าความบันเทิง Dialog ที่หลายๆครั้งเขียนมาได้แย่ บางฉาก Dialog แย่จนทำให้รู้สึกว่า เราควรจะตลก หรือ เราควรจะซีเรียสกันแน่ ? และที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์มากที่สุดก็คงจะเป็น CG ที่แย่ ไม่สมจริง ผลคือมันดึงคนดูออกจากฉาก และทำให้คุณไม่เชื่อสิ่งในฉากนั้นๆเลย ทั้งๆที่ ต้มยำกุ้ง เป็นภาพยนตร์ที่ไม่จำเป็นจะต้องพึ่ง CG เลยก็ยังได้ รวมไปถึงฉากจบที่ค่อนข้างจะแย่ อ่อนแอ และไม่สมจริงเอาเสียเลย


นอกจากนั้น บางฉากเช่นฉากแก๊งค์มอเตอร์ไซค์รู้สึกเหมือนฉากวิ่งไล่จับเสียมากกว่าฉาก Action ซึ่งมันน่าเบื่อ และ เป็นสิ่งที่ไม่ควรจะมีใน ต้มยำกุ้งเลย  ต้มยำกุ้งมันควรจะเกี่ยวกับ Martial Arts  การแลกหมัด การต่อสู้ ต่างๆนาๆ ไม่ใช่การวิ่งไปวิ่งมา ไล่จับกันอย่างกับ Tom and Jerry  สุดท้ายก็คือท่าต่อสู้ต่างๆ ที่น่าจะทำให้รู้สึกได้ถึงความแตกต่างมากกว่านี้ ชัดเจนกว่านี้ ในภาพยนตร์มันดูค่อนข้างจะมั่วซั่วไปหมด ทำให้ในบางฉากที่ตัวภาพยนตร์ต้องการจะสร้างท่าต่อสู้ที่แตกต่าง มันกลับไม่รู้สึกแตกต่างเลยแม้แต่น้อย


แต่ก็มีหลายสิ่งที่ตัวภาพยนตร์ทำได้โดดเด่นและดีเช่นกัน อย่างแรกเลยก็คือ ฉาก Action (ไม่นับฉากแก๊งค์มอเตอร์ไซค์) ทุกๆฉากค่อนข้างจะเป็นฉาก Action ที่สนุก ตื่นเต้น พอสมควร อยู่ตลอดเวลา  แต่ช่างมีหลายๆไอเดียในฉาก Action ที่คิดได้น่าสนใจเช่นกัน เช่นตัวละครที่มีท่า ต่อย 3 หมัดหนัก ที่ตัวภาพยนตร์บอกให้คนดูรู้ว่า ถ้าหากคนๆนี้ต่อยได้ครบ 3 หมัด คนที่โดนจะตาย และตัวภาพยนตร์ก็เล่นกับจุดนี้ได้ดีเลยทีเดียว หรือ นักแสดงและตัวละครอย่าง Twenty หรือ ญาญ่าญิ๋ง นั้นเอง ที่เธอแสดงได้ไม่เลวเลยทีเดียว Sexy ฉลาด ร้ายกาจ ตัวละครของเธอก็น่าสนใจ ไม่น้อยเลยทีเดียว ผมกลับรู้สึกว่า อยากจะเห็นเธอมากกว่านี้ มากกว่าตัวละครที่ปราฏตัวเยอะอย่าง Number Two เสียอีก และอาจจะเนื่องจากเธอได้ไปเล่นภาพยนตร์ Only God Forgives กับ Ryan Gosling ภาษาอังกฤษของเธอในเรื่องนี้ก็ถือได้ว่าอยู่ในระดับดีมากเลยทีเดียว นักแสดงอย่าง จีจ้า ในฉาก Action เธอก็แสดงได้ดีพอตัวเลยทีเดียวเช่นกัน นอกจากนั้นตัวภาพยนตร์ยังมีหลายๆฉากที่ทำออกมาได้น่าสนใจ บางฉากที่สร้างอารมณ์ขันหรือ Humor พร้อมกับแฝงอะไรบางอย่างได้อย่างดีเยี่ยม และที่สำคัญคือ คุณจะเห็นความพยายามในการยกระดับในหลายๆด้านได้อย่างชัดเจนในภาพยนตร์ ไม่ว่าจะเป็นบท Production Design ต่างๆ เพื่อให้เทียบในระดับ Hollywood จริงๆ เพียงแต่ว่ามันยังไม่เพียงพอ และบางส่วนมันยังไม่ Work เท่านั้นเอง



ระบบ 3D นั้นในต้มยำกุ้ง 2 นั้นถือว่าทำได้อยู่ในระดับพอใช้ได้ แต่เมื่อดูจบ คุณก็จะรู้เลยว่ามันเป็นระบบที่ไม่จำเป็นเลยใน ต้มยำกุ้ง ภาพยนตร์ที่เหมาะสมกับ 3D ควรจะเป็นภาพยนตร์ที่พึ่ง 3D Depth of Field และใช้งานมันได้อย่างเต็มที่จริงๆ อย่างเช่น Gravity ที่จะต้องพึ่งความลึกเพื่อสร้างรายละเอียดใน Background หรือ Hugo ที่ต้องพึ่ง 3D เพื่อสร้างมิติในฉากต่างๆ แต่ในต้มยำกุ้ง 2 นั้น มันไม่ความจำเป็นจะต้องใช้ระบบ 3D เลยแม้แต่น้อย มันไม่ได้ทำให้ฉาก Action ดูน่าตื่นเต้นขึ้นแม้แต่น้อย มันไม่ได้ทำให้อะไรดูดีขึ้นเลย กลับกัน ตัวระบบ 3D เป็นตัวทำให้ภาพยนตร์นั้นถูกจำกัดและมีฉาก Gimmick แย่ๆมาผสม และทำให้ภาพยนตร์ดูแย่ขึ้นไปเสียอีก เช่นถ่ายท่าพระเอกกระโดดเตะมาทางหน้าคุณ เพื่อที่คุณจะได้รู้สึกเหมือนโดนเตะจริงๆ หรือ โยนอะไรเข้าหาคนดู ซึ่งเป็นสิ่งที่ภาพยนตร์ไม่ควรจะทำเลย เพราะ นอกจากมันจะแหกกฎเหล็กของภาพยนตร์ที่แล้ว ยังทำให้รู้สึกน่าอนาจ จากการที่ภาพยนตร์หมดมุขที่จะเล่นแล้วมากกว่าน่าตื่นเต้นเสียอีก




แต่แปลกนัก เพราะแทนที่หลังดูจบผมควรจะรู้สึกแย่และรู้สึกไม่ดีกับมัน กลับรู้สึกว่า ต้มยำกุ้ง 2 เป็นภาพยนตร์ที่น่าชื่นชมอีกเรื่องหนึ่งเสียอีก ไม่ว่าจะเป็นการ"กล้า"ที่จะแหวกกระแส และ ความเสี่ยงพอตัวเลยในการสร้างภาพยนตร์ Action ของประเทศไทยเอง โดยเฉพาะยิ่งช่วงนี้ที่มีภาพยนตร์ระดับใหญ่ยักษ์ของ Hollywood เข้ามามากมาย แทนที่จะไปทำแต่ภาพยนตร์วัยรุ่น รักๆ หรือ ผีๆ ซ้ำซากๆ แบบภาพยนตร์ไทยเรื่องอื่นๆที่เวลาเจ็บจากรายได้ก็ไม่เจ็บมากเท่าไรนัก รวมไปถึงการลงทุนไปมหาศาลถึงเกือบ 500 ล้าน และการพยายามที่จะทำอะไรใหม่ๆที่น่าชื่นชม แต่สิ่งที่ ต้มยำกุ้ง หรือ ภาพยนตร์ไทยตอนนี้ควรจะทำก็คือ การ"หา"สิ่งที่เป็นของตัวเอง มากกว่าการพยายามที่จะเดินตาม Hollywood อย่างเช่น ศิลปะมวยไทย Martial Arts ต่างๆ ความสวยงามทางวัฒนธรรมต่างๆ หรืออื่นๆ แทนที่จะไปพึ่งทางด้าน CG หรือ ระบบ 3D ซึ่งไม่จำเป็นเลย หาสิ่งๆนั้นให้เจอและทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด ก็น่าจะทำให้ภาพยนตร์ไทยมีความเป็นเอกลักษณ์และดีไม่แพ้ Hollywood ได้ไม่ยาก 



Final Score : [ C- ] 

Thor : The Dark World ( 2013 ) Movie Review

MOVIE REVIEW
การกลับมาของเทพเจ้าสายฟ้า ตอ เอ้ย... ธอร์ !!



Movie Name : Thor : The Dark World , Action / Adventure / Fantasy
Director : Alan Taylor ( Game of Thrones TV-Series )
Stars : Chris Hemsworth ( The Avengers , Cabin in the woods ) , Natalie Portman ( V for Vendetta , Black Swan ,  Thor ) , Tom Hiddleston ( War Horse , The Avengers ) , Anthony Hopkins ( Thor , Hannibal ) , Christopher Eccleston ( The Others ) , Stellan Skarsgard ( The Avengers , Thor ) , Idris Elba ( Pacific Rim , Prometheus , Thor ) 
Rating :  PG -13








REVIEW


                                                                 Thor : The Dark World เป็นภาพยนตร์ของค่าย Marvel อีกเรื่องสำหรับการปูทางไปสู่ Phase 2 ของ Marvel หรือ The Avengers 2 ก็ว่าได้ ซึ่งเนื่องจาก The Avengers ภาคแรกนั้น ดีจนเรียกได้ว่าเป็นภาพยนตร์ซุปเปอร์ฮีโร่ที่สุดยอดมากที่สุดอีกเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว จึงทำให้หลายๆคนหันมาสนใจ ว่า Marvel จะปูทางไปสู่ Phase 2 หรือ The Avengers 2 อย่างไร (ถ้าใครติดตามข่าวของภาพยนตร์ค่าย Marvel บ่อยๆก็คงจะทราบบ้างแล้วว่าตัวร้ายใน The Avengers 2 หรือ 3 น่าจะเป็นใคร)  สำหรับ ภาพยนตร์เรื่อง Thor นั้น ต้องขอพูดเลยว่าเป็นภาพยนตร์ที่ในภาคแรกนั้นทำได้ไม่ค่อยจะดีซักเท่าไรนัก แต่ออกไปทาง ธรรมดาๆเสียมากกว่า อาจจะมาจากส่วนหนึ่งที่ 60%-70% ของทั้งเรื่องดันอยู่แต่บนโลก และแทบจะไม่มีฉากต่อสู้เท่าไรเลย ซึ่งผลที่ออกมาก็คือเป็นภาพยนตร์ที่ไม่สุดเลยซักทาง ซึ่งเป็นสาเหตุที่ว่าในภาค 2  The Dark World นั้น หลายๆคนจึงหวังว่าจะเป็นการแก้ตัวของ Thor หรือไม่ 




ต้องขอบอกเลยว่า ช่างน่าเสียดายที่ในสุดท้ายแล้ว Thor : The Dark World นั้นไม่ค่อยจะสร้างความแตกต่างจาก Thor ภาคแรกเท่าใดนัก สาเหตุส่วนใหญ่ๆนั้นมาจากในภาคนี้ตัวภาพยนตร์โฟกัสไปทางด้านการถล่มฉาก Action และ ฉาก Special Effects ใส่คนดูมากจนเกินไป ซึ่งแรกๆมันก็น่าสนุกอยู่เหมือนกันแต่พอมันถล่มใส่คุณมากจนเกินไปมันจะเปลี่ยนจากสนุกเป็นน่าเบื่อไปแทน เหมือนกับเวลาที่คุณรับประทานอาหารจนคุณอิ่มแล้ว คุณก็คงไม่อยากจะทานต่อไปแน่นอน จนทำให้ตัวภาพยนตร์ขาดหายสิ่งที่เรียกว่า "Charm" หรือสิ่งที่ทำให้ตัวภาพยนตร์นั้นน่าสนใจและบางสิ่งบางอย่างที่จะทำให้คุณรู้สึกอยากที่จะรู้ว่าฉากต่อไปจะเป็นอย่างไร ไปอย่างมาก ซึ่งสาเหตุที่ตัวภาพยนตร์โฟกัสไปทางนี้ก็น่าจะมาจากภาคที่แล้วที่ตัวภาพยนตร์นั้นไปโฟกัสทางด้านตัวละครอย่าง Thor ที่อยู่บนโลกมนุษย์มากกว่า และทำให้หลายๆคนผิดหวังที่ตัวภาพยนตร์นั้นแทบจะไม่มีฉาก Action ใดๆเลย ทางค่ายจึงจัดให้สำหรับหลายๆคนที่ผิดหวังมาจากภาคที่แล้ว เพียงแต่ว่าการจัดเต็มครั้งนี้นั้น มันมากจนเกินไปอยู่มากเลยทีเดียว


นอกจากนั้นจุดอีกจุดที่แย่ไม่แพ้กันหรืออาจจะมากกว่าด้วยนั้นก็คือ เหล่าตัวร้ายโดยเฉพาะต้วร้ายหลักอย่าง  Malekith ที่ช่างไม่น่าสนใจ แบน อ่อนแอ ตัวภาพยนตร์ไม่ได้ทำให้เราเชื่อเลยแม้แต่น้อยว่าเขาจะเหนือกว่า Thor โดยเฉพาะฉากต่อสู้ที่ทำให้ตัว Malekith เอง ดูอ่อนแอเหลือเกิน ซึ่งมันไปส่งผลถึงหลายๆฉาก อย่างเช่นฉาก Climax ที่ทำให้เราไม่รู้สึกตื่นเต้นกับมันเลย เพราะคุณจะรู้สึกว่า Malekith ไม่มีทางที่จะชนะ Thor ได้เลยแม้แต่น้อย กลับกันตัวละครอย่าง Loki ที่ตัวภาพยนตร์ไม่ได้โฟกัสเป็นอันดับหนึ่งในภาคนี้ กลับดูน่าสนใจ น่าติดตาม ลึก กว่าหลายเท่าตัวเสียอีก และ ความสัมพันธ์ระหว่าง Thor กับ นางเอกอย่าง Jane ที่ยังคงไม่น่าสนใจเท่าใดนัก สุดท้ายก็คือตัวละครรองหลายๆตัวที่ยังคงไม่น่าสนใจเท่าไรนักอีกเช่นกัน



แต่ก็มีหลายๆสิ่งเช่นกันที่ตัวภาพยนตร์นั้นทำได้ดีเลยทีเดียวในภาคนี้ อย่างแรกเลยก็คือ Production Design ที่สวยงาม อลังการ ไม่มีการเผางานเลยแม้แต่น้อย CG ที่สวยงาม และ รู้สึกได้ว่า Thor ภาคนี้ได้ลงลึกไปในด้านความ Spectacle มากกว่าภาคแรกอยู่มากเลยทีเดียว สิ่งที่เรียกได้ว่าเป็นจุดที่แข็งที่สุด ดีที่สุด น่าสนใจที่สุดในภาคนี้เลยก็คือ Thor กับ Loki ซึ่งเป็นคู่พี่น้องที่ช่างเข้ากันได้อย่างดิบดี รวมไปถึงการปู Characters มาตั้งแต่ Thor ภาคแรก ยัน The Avengers ยิ่งทำให้สองตัวละครนี้ยิ่งน่าสนใจเข้าไปอีก  หาก Scene ใดที่ทั้งสองคนนี้มาอยู่ใน Scene เดียวกันมันมักจะเป็นฉากที่สนุกและน่าสนใจเสมอๆ รวมไปถึงนักแสดงทั้งสองคนนั้นก็คือ Chris Hemsworth และ Tom Hiddleston ที่แสดงกันได้เข้าขาอย่างยอดเยี่ยมจริงๆ 





Thor : The Dark World ในท้ายที่สุดก็ยังคงไปได้ไม่ไกลซักเท่าไรนัก และน่าผิดหวังอยู่บ้าง แต่ก็ยังคงเป็นภาพยนตร์ที่ทำได้คงเส้นคงวาในหลายๆส่วน อย่างน้อยก็ยังดีที่ตัวภาพยนตร์ไม่แย่หรือเลวร้ายกว่าเดิม และมันยังมีบางสิ่งที่ยังคงทำให้ตัวภาพยนตร์นั้นน่าสนใจ เพียงแต่ว่าสิ่งๆนั้นมันยังไม่เพียงพอ กับสิ่งอื่นๆที่ยังคงกระจัดกระจายกันอย่างเข็มในมหาสมุทร



  Final Score : [ C+ ] 

วันจันทร์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

X-Men: First Class ( 2011 ) Movie Review

Movie Review
จุดเริ่มต้นแห่งสงครามของความเป็น "มนุษย์"





Movie Name : X-Men : First Class ( 2011 ) , Action / Adventure / Sci-Fi
Director : Matthew Vaughn ( Stardust , Kick-ass )
Stars : Jame McAvoy ( Wanted ) , Michael Fassbender ( Shame , Prometheus ) , Kevin Bacon ( R.I.P.D , Apollo 13 , Mystic River ) , Jennifer Lawrence ( Silver Linings Playbook , The Hunger Games ) 
Rating : PG -13







REVIEW

                                       X-Men: First Class ( 2011 ) เป็นภาพยนตร์ที่ดูผิวเผินมันจะพูดถึงเผ่าพันธุ์ที่วิวัฒนาการไปแล้วนั้นก็คือ "Mutant" หากแต่แท้ที่จริงแล้ว มันพูดถึงความเป็น"มนุษย์" เสียมากกว่าอีก ความโกรธ ความเกลียด อารมณ์ สิ่งที่ตัวเองไม่อยากเจอ ความเคียดแค้น ความหยิ่งยะโส ความเหงา ด้านมืดในจิตใจของมนุษย์ ด้านสว่าง และอีกมากมายที่เป็นอารมณ์ต่างๆของมนุษย์ ถ้าหากเราควบคุมและเข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้ เราก็จะเข้าใจซึ่งกันและกันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นชนชั้นใด ไม่ว่าเราจะแตกต่างกันเท่าไรก็ตาม และตัวภาพยนตร์ก็ได้แสดงให้เห็นถึงผลที่เราไม่เข้าใจมันให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่า มันก็ไม่ต่างอะไรกับหายนะ ระเบิดเวลาที่พร้อมจะทำลายตัวพวกเราเองได้ทุกเมื่อ นอกจากนั้น X-Men : First Class ถือได้ว่าเป็นภาพยนตร์แนวซุปเปอร์ฮีโร่ที่่สร้างขึ้นมาได้อย่างดีอีกเรื่องหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็น Characters หรือ ตัวละครหลักอย่าง Erik (Magneto) หรือ Charles  (Professor X)  ที่ช่างน่าสนใจ น่าติดตาม เขียนมาได้อย่างดิบดี ที่น่าสนใจอีกอย่างก็คือ สองตัวละครนี้เป็นสิ่งหลักในภาพยนตร์ที่คอยจูงมือตัวภาพยนตร์ให้ดำเนินหน้าไปได้อย่างน่าสนใจ และตัวภาพยนตร์ยังให้ "อิสระ" กับคนดู ในการ"เลือก" ที่จะตัดสินว่า คุณจะอยู่ฝั่งใคร หรือ จะไม่อยู่ฝั่งใครเลยก็ยังได้ 


เนื่องจากการที่เป็นภาพยนตร์ซุปเปอร์ฮีโร่ ส่วนมากนัก ภาพยนตร์ชนิดนี้จะมีการกำหนดตัวร้ายที่ชัดเจน ง่ายๆ มองแวบเดียวรู้ทันทีว่าใครตัวดี ใครตัวร้าย แต่ใน X-Men : First Class ปูทั้งสองตัวละครเหล่านี้ และยังให้เหตุผลที่หนักแน่นกับคนดูว่าทำไมเขาทั้งสองคนถึงได้เป็นเหมือนทุกวันนี้ พวกเขาแชร์ความฝันเดียวกัน มีอุดมการณ์ที่หนักแน่นเดียวกัน และดูๆไปแล้วเขาทั้งสองคนไม่น่าที่จะแตกต่างกันเลยแม้แต่น้อย น่าเสียดายที่ Erik นั้นหันหลังและปฏิเสธ ความเป็น"มนุษย์" และอารมณ์ของตัวเองไปเรียบร้อยแล้ว จึงทำให้ทั้งคู่ไม่อาจที่จะเดินเส้นทางเดียวกันได้ เป็นเรื่องที่น่าสนใจจริงๆกับการปู Characters ที่เหมือนไม่มีใครเป็น"ตัวร้าย"ทั้งๆที่เป็นภาพยนตร์ Genre ที่ค่อนข้างจะมีแนวทางที่ชัดเจน  นอกจากนั้นตัวภาพยนตร์ยังมี CG ที่สวยงาม อลังการ Production Design ที่สวยทีเดียวเลยถึงแม้จะมีบางฉากที่ดูจะด้านและจำเจไปบ้างก็ตาม ต้องขอชม DP หรือ Director of Photography ในเรื่องนี้จริงๆ ที่สามารถทำให้ภาพยนตร์ออกมาในแต่ละ Scene ช่างสวยงาม รู้สึกได้ถึงความตั้งใจ ใส่ในรายละเอียด การผสมเรื่องราวของสงครามโลกเข้าไปด้วย ก็ยิ่งตอกย้ำถึง Theme หรือ Message ของภาพยนตร์ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย นักแสดงทีมคุณภาพที่แสดงได้เหมาะสม เข้าถึงตัวละครได้แท้จริงหลายๆคนเลยทีเดียว 



ถึงแม้จะน่าเสียดายที่ตัวภาพยนตร์โฟกัสไปที่ 2 ตัวละครหลักและตัวละครรองอย่าง มิสทีค ตัวเดียว มากไปหน่อย จนให้เวลากับ Side Characters หรือตัวละครรองน้อยไปพอสมควร ทำให้หลายๆตัวละครที่ควรจะน่าสนใจกลับรู้สึกได้ถึงความแบน และ อ่อนแออยู่บ้าง  Dialog บางครั้งที่ตรงไปตรงมากจนเกินไปจนทำให้รู้สึกได้ถึงความ Cliche ถึงกระนั้นก็ตาม 



X-Men : First Class ก็เป็นภาพยนตร์ที่ทำได้อย่างยอดเยี่ยมในหลายๆด้านเลยทีเดียว ถึงแม้อาจจะยังห่างไกลไปบ้างกับคำว่า "Perfect" แต่ก็เป็นภาพยนตร์ที่ช่างน่าติดตามถึงการพัฒนา การดำเนินเรื่องต่อไป ในภาคต่อไปที่จะเข้าฉายในปีหน้านี้แล้ว พบกันใหม่ที่ X-Men : Days of Future Past ( 2014 ) สุดท้ายนี้แล้วขอฝากด้วยประโยคที่ว่า " Mutant and Proud " 




Final Score : [ A ] & [ Must See Badge ] 

Ender's Game ( 2013 ) Movie Review

MOVIE REVIEW
ยินดีต้อนรับ สู่โลกของ Ender




Movie Name : Ender's Game ( 2013 ) , Sci-fi  / Action / Adventure
Director : Gavin Hood ( X-Men Origins : Wolverine , Tsotsi  ) also writing screenplay
Based on the book "Ender's Game" by Orson Scott Card
Stars : Asa Butterfield ( Hugo ) , Harrison Ford ( Starwars  , Blade Runner ) , Ben Kingsley ( Prince of Persia : Sands of Time , Hugo , Shutter Island ) , Hailee Steinfeld ( True Grit )
Rating : PG -13







REVIEW


ภาพยนตร์เรื่อง Ender's Game ว่าด้วยเรื่องราวของโลกในอนาคตที่ถูกรุกรานจากเผ่าพันธ์เอเลี่ยนจนตกที่นั่งลำบากมาครั้งหนึ่งแล้ว Ender Wiggin เด็กหนุ่มรุ่นใหม่ที่มีความฉลาดปราดเปรื่องซึ่งนำเขาไปสู่สงครามครั้งยิ่งใหญ่ที่จะเป็นตัวกำหนดชะตากรรมของโลกและเผ่าพันธ์มนุษย์



                                                             Ender's Game เป็นภาพยนตร์อีกเรื่องหนึ่งที่สร้างขึ้นมาหรือมีต้นแบบ มาจากหนังสือมาก่อนในชื่อเดียวกัน ซึ่งต้องขอบอกก่อนเลยว่า ทางผู้เขียนไม่เคยอ่านหนังสือมาก่อนเลย เพียงแต่จะพอได้ยินคร่าวๆมาบ้างประมาณว่า เป็นหนังสือที่พูดถึง แทคติกในการรบค่อนข้างจะมาก และการที่ตัวผู้เขียน Orson Scott Card เอง ได้เคยพูดเอาไว้ว่า "ภาพยนตร์เรื่อง Ender's Game นั้น เป็นภาพยนตร์ที่ไม่น่าจะสร้างขึ้นมาได้ เพราะ Ender's Game นั้นพูดถึงเรื่องราวที่อยู่ในหัวของ Ender " เพียงเท่านั้น จึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียวสำหรับผู้กำกับอย่าง Gavin Hood ที่เขาจะทำอย่างไรที่จะเสนอหรือถ่ายทอดข้อความสำคัญของภาพยนตร์จากสิ่งที่เป็นเพียงแค่ความคิดของตัวละครๆเดียวเท่านั้น ถึงแม้เขาจะเป็นผู้กำกับที่มีผลงานบางชิ้นที่ไม่ค่อยน่าจดจำเท่าไรนักอย่าง X-Men Origins : Wolverine ที่หลุดกรอบมากจนเกินไป แต่ผมก็ต้องขอพูดเลยว่า



Ender's Game นั้นเป็นภาพยนตร์ที่มีฉากในช่วงท้ายหรือ Climax ของภาพยนตร์ ที่น่าตื่นตาตื่นใจ สนุก ตื่นเต้น ลุ้นระทึกมากๆอีกเรื่องหนึ่ง นอกจากนั้นยังมีการ Design ฉากต่างๆได้อย่างน่าสนใจ ไม่น้อยเลยทีเดียว
ตัวละครเอกอย่าง Ender ก็ช่างน่าสนใจ น่าติดตาม และค่อนข้างจะสมจริง รวมถึงยังเขียนมาได้ดีเลยทีเดียว  CG ที่ช่างสวยงาม อลังการ การแสดงที่น่าทึ่งมากๆของ Asa Butterfield (ซึ่งฉากไหนที่มี Ben Kingsley กับ Asa Butterfield อยู่ใน Scene เดียวกันแทบจะทำให้รู้สึกเหมือนกับว่ากำลังชม Hugo 2 อยู่อย่างงั้นเลยทีเดียว) Harrison Ford ที่แสดงได้อย่างยอดเยี่ยม รวมถึง Hailee Steinfeld ที่แสดงได้ดีเลยทีเดียว บทสรุปและข้อความของภาพยนตร์ที่น่าสนใจ ฉลาด แต่สิ่งที่น่าทึ่งและน่าตื่นตาตื่นใจมากที่สุดเลยก็คือ การที่ภาพยนตร์นั้นนำการใช้ประเด็น "แทคติก" ต่างๆในการรบมาพูดถึง เช่น ถ้าหากคุณมีเรื่องกับใครซักคน แทนที่คุณจะชนะแล้วเดินจากไป คุณซ้ำเขาหลายๆครั้ง ไม่ใช่เพราะคุณนั้นชอบความรุนแรง แต่เพื่อที่คุณจะได้"ชนะ"เขาในการต่อสู้ครั้งต่อๆไป หรือ แม้กระทั่ง"หยุด" การต่อสู้ไปให้ไม่เกิดขึ้นด้วยซ้ำไป 



แต่..... Ender's Game ก็เป็นภาพยนตร์ที่มีปัญหาหลายๆเรื่องหนักเอาการเลยทีเดียว จุดที่ร้ายแรงที่สุดและส่งผลกระทบอย่างหนักถึงทั้งเรื่องเลย นั้นก็คือ การเล่าเรื่องในช่วงแรก-กลางเรื่องของภาพยนตร์ที่เร่งมากจนเกินไป และทำให้รู้สึกเหมือนกำลังเล่นวิดีโอเกมอยู่ นั้นก็คือ สู้บอส ไปด่านต่อไป สู้บอส ไปด่านต่อไป ประมาณ 3 ครั้งในภาพยนตร์ ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องที่ดีเลยแม้แต่น้อยในภาพยนตร์ เพราะ นอกจากจะเร่งจนทำให้รู้สึกว่าตัวบทพยายามที่จะ"ผลัก"ตัวละครมากจนเกินไปแล้ว ยังทำให้ในช่วงเวลาเหล่านี้ ในรอบๆข้างตัวละครหลักนั้นทุกๆอย่างจะ Drop หรือ ถูกลดความสำคัญไปเสียหมดเนื่องจากการเร่งของมันนี้อีกด้วย จนเป็นสาเหตุที่ทำให้บางส่วนในภาพยนตร์ช่างไม่น่าสนใจ เช่น ตัวละครรอง หรือ Side Characters ที่ช่างไม่น่าสนใจ เดาทางง่าย จำเจ ไม่มีอะไรใหม่ หรือ Cliche นั้นเอง เนื่องจากตัวภาพยนตร์แทบจะไม่มีเวลาให้ในการปูตัวละครเหล่านี้เพียงพอเลย ยังไม่รวมถึงนักแสดงที่น่าเสียดายอย่าง Ben Kingsley ที่ตัวภาพยนตร์นั้นให้เวลากับเขาน้อยเหลือเกิน ทั้งๆตัวละครของเขานั้นน่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว
หรือ ในบางช่วงที่ภาพยนตร์พยายามจะสร้างอารมณ์ร่วมให้กับคนดูซึ่งทำได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว แต่พออารมณ์ในจุดนี้กำลังจะไปแตะจุดที่กำลังจะขยี้หัวใจคนดูได้แล้ว มันก็กลับ Drop ลงมาอย่างรวดเร็วเสียก่อนซึ่งเป็นเรื่องที่ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก ซึ่งก็เป็นสาเหตุมาจากการเล่าเรื่องที่เร่ง ต้องการจะไปจุดต่อไปให้เร็วขึ้น มากจนเกินไปอีกเช่นกัน  จะดีกว่าไหมถ้าหากตัวภาพยนตร์จะตัดเรื่องการย้ายไปด่านต่อไปแบบวิดีโอเกมให้เหลือจำนวนครั้งน้อยลง ให้เวลาในการปูฐานตัวละคร และใส่ใจในรายละเอียดรอบข้างมากกว่านี้ เสมือนกับการปลูกต้นไม้ ที่ควรจะค่อยๆปลูกให้มันโตขึ้นมาเป็นต้นไม้ที่สวยงามที่ละต้น เพียงไม่กี่ต้น ซึ่งเราจะใส่ใจในแต่ละต้นได้มากกว่า ต้นไม้หลายๆต้นที่สุดท้ายเราก็มีเวลาให้มันในแต่ละต้นที่ช่างน้อยนิดนัก สุดท้ายเลยก็คือข้อความหรือ Message ที่ตัวภาพยนตร์นั้นต้องการจะสื่อให้ถึงผู้ชมนั้น มันน่าสนใจก็จริง แต่พลังในการเล่ามันยังไม่รุนแรง หรือ ยังไม่ส่งผลกระทบต่อคนดูมากพอที่จะนำมันไปคิดต่อยอดได้เลย



Ender's Game นั้นเป็นภาพยนตร์ที่ดูจากองค์ประกอบทุกๆด้านในภาพยนตร์แล้ว ภาพยนตร์ยังคงมีความสามารถที่จะไปได้ไกลมากกว่านี้อีกมากเลยทีเดียว ด้วยเรื่องราวต่างๆที่ช่างน่าสนใจเหลือเกิน น่าเสียดายที่ ณ ตอนนี้มันยังไปได้ไม่ไกลเท่าใดนัก แต่ถ้าหากมองในมุมกลับกันแล้วล่ะก็ อย่างน้อย Ender's Game ก็เป็นภาพยนตร์ที่ทำหลายๆสิ่งหลายๆอย่างได้"ดี"เลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นฉาก Climax ที่ช่างน่าตื่นตาตื่นใจ ตื่นเต้น ลุ้นระทึก อลังการ การ Design ฉากต่างๆที่ช่างน่าสนใจ รวมไปถึงการแสดงที่ยอดเยี่ยมของนักแสดงหลายๆท่าน ทำให้ในท้ายที่สุดแล้ว Ender's Game จึงเป็นภาพยนตร์ที่น่าติดตามในการ"ก้าว"ครั้งต่อไปมากๆอีกเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว




Final Score :  C +